ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 97
ตอนที่โดนทำร้ายตัวใหญ่มีอายุเพียงสองพันปี ส่วนตัวเล็กยังอยู่ในผ้าห่อทารก ของวิเศษต่างๆ ข้างกายล้วนโดนขโมยไป และไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ลู่ยายังคิดให้พวกเขานำผมนำเล็บมาให้ดู แต่เพราะเรื่องเกิดขึ้นนานจนถูกฝังไปแล้ว จึงไม่มีร่องรอยให้ตาม แต่คิดดูแล้วคงหนีไม่พ้นใช้วิธีการเดียวกัน
มู่จิ่วบันทึกของวิเศษที่หายไปทั้งหมด นับดูแล้วมีสิบกว่าชิ้น ยังไม่รวมจิตจิ้งจอกของมู่หรงรุ่ยเจี๋ย
และแต่ละชิ้นต่างก็เป็นของวิเศษที่มีค่า ของที่หายไปจากเขาเนินอารามก็ไม่อาจเปรียบได้กับของเหล่านี้ หรือว่าคนพวกนี้จะมาเพราะต้องการสิ่งของมีค่าจริงๆ?
แต่เขาจะรวบรวมของมีค่ามากมายขนาดนี้ไปทำอะไร? เขามีเป้าหมายอะไร?
นางมองมู่หรงหลิวเย่ “ช่วงนี้องค์หญิงออกไปข้างนอกบ่อย เคยได้ยินว่าในสามภพมีการเคลื่อนไหวอะไรประหลาดหรือไม่? อย่างเช่นมีคนบำเพ็ญตนเลื่อนขั้นเดินผิดทาง เข้าสู่วิถีมารอะไรแบบนั้น?
มู่หรงหลิวเย่ขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยว่าจะมีคนอาศัยของวิเศษบำเพ็ญวิถีมาร?”
มู่จิ่วหมายความตามนั้น แต่นางกลับไม่อาจแน่ใจได้ “จริงๆ แล้วรวบรวมของวิเศษไปมากขนาดนี้ นอกจากเอาไปทำของที่ยิ่งยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นแล้ว ก็ต้องเข้าสู่วิถีมาร ข้าไม่เคยได้ยินว่าบนสวรรค์มีคนอยากจะสร้างของวิเศษอันยอดเยี่ยมขึ้น และถึงแม้พวกเขาต้องการทำ ก็สามารถขอได้อย่างเปิดเผย ถึงขั้นต้องสังหารคน แน่นอนว่าไม่ธรรมดาแล้ว”
ในสองพันปีนี้ หลิวหยางทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจถ่ายทอดความรู้มากมายให้นาง เพียงแต่นางเลือกจำแต่เรื่องที่สนใจ เรื่องที่ไม่สนใจก็ทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ นางค้นพบว่าความรู้ที่ตนเองซึมซับไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ยังมากกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก อย่างเช่นนางไม่เพียงรู้ว่าของวิเศษของเซียนสามารถช่วยให้กลายเป็นมารได้ ทว่ายังเข้าใจประโยชน์ของของวิเศษธาตุทองในโลกนี้สักแปดส่วน
แต่นางพูดเรื่องเหล่านี้กับพวกหลิวเย่ ในสายตาพวกเขากลับมีท่าทีตกใจอยู่บ้าง
“ไม่มี” หลิวเย่พูดเสียงนิ่ง “ข้าไม่ได้ยินมาก่อน โลกปีศาจหลังจากทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก ในภพทั้งสามหากมีคนหรือปีศาจกลายเป็นมาร หวนหลางเจวี๋ยจิ้งแห่งสวรรค์ชั้นเก้าทางตะวันตกต้องเคลื่อนไหวแล้ว”
ในความเป็นจริง หวนหลางเจวี๋ยจิ้งเป็นจักรวาลเล็กๆ ที่ถูกควบคุมโดยโลกปีศาจ มักจะมีคนฝึกตนเป็นมาร หวนหลางเจวี๋ยจิ้งก็จะฟาดอสุนีบาตลงมา พูดโดยทั่วๆ ไปแล้ว หากสวรรค์เป็นสถานที่มีอำนาจสูงสุดในโลกมนุษย์ เซียน และเทพแล้วละก็ หวนหลางเจวี๋ยจิ้งก็เป็นสถานที่มีอำนาจสูงสุดในโลกวิญญาณ ปีศาจ และมาร หลายปีมานี้เพราะการพ่ายแพ้ของทงเทียนเจี้ยวจู่ โลกปีศาจจึงสงบราวกับไม่มีอยู่
ไม่มีการเคลื่อนไหว แสดงว่าหลังม่านก็ไม่ใช่ปีศาจหรือมารแล้ว
แต่คนผู้นี้รวบรวมของวิเศษเหล่านี้ไปเพื่ออะไร?
“เช่นนั้นทุกคนรู้หรือไม่ว่าใครมีปัญหากับวิมานหลีเฮิ่น?” นางถามอีก หากว่าสองเรื่องข้างบนล้วนไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นตามการคาดเดาของลู่ยาในตอนแรก คนผู้นี้ต้องการสร้างความบาดหมางให้แต่ละเผ่าพันธุ์กับลัทธิฉ่าน
“เฮอะ หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านล่วงเกินผู้คนไปมาก! ในสามภพยื่นมือลงไปจับก็ย่อมจับได้กำมือใหญ่ ยังต้องถามอีก?” ซ่างกวนสุ่นกระฟัดกระเฟียดพูด
ราชาจิ้งจอกเอ่ย “พวกเราชิงชิวกับสวรรค์ไปมาหาสู่กันน้อย ข่าวคราวเหล่านี้ไม่ค่อยชัดแจ้งมากนัก แต่ซ่างกวนเหล่าชี (ลำดับที่เจ็ดแห่งซ่างกวน) พูดมาก็มีเหตุผล ลัทธิฉ่านมีศัตรูอยู่ข้างนอกมาก ใครต่างก็ไม่กล้าพูดว่าเป็นใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด พวกเราชิงชิวก็ต้องสืบให้กระจ่าง!”
มู่จิ่วพยักหน้า
เรื่องแบบนี้เกิดกับใครล้วนต้องโกรธแค้น การแก้แค้นหลังจากนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ขอเพียงอย่าขัดขวางการทำคดีของนางก็พอ
ไต่ถามเรื่องราวมาถึงจุดนี้ โดยพื้นฐานก็ถือว่าจบแล้ว
หลังจากเลิกการประชุม นางก็เตรียมกลับสวรรค์
ราชาจิ้งจอกรับปากว่าหากพวกนางมีปัญหาอะไรสามารถมาได้ตลอด และรับปากว่าช่วงนี้จะไม่หาเรื่องกับลัทธิฉ่าน ถึงแม้สายตาของมู่หรงเสวี่ยจีที่มองมายังคงเหมือนกับใบมีด แต่คนอื่นที่เหลือทั้งหมดนับได้ว่ามองพวกนางเป็นเพื่อนแล้ว
ก่อนมู่หรงหลิวเย่จะไปยังหันกลับมาพูดกับมู่จิ่ว “ได้ยินว่าสองวันมานี้ในชิงชิวเจ้าได้รับความลำบากไม่น้อย?”
มู่จิ่วถอนหายใจ
หลิวเย่ยิ้มพลางพูด “ข้าบอกเจ้าไว้นานแล้วว่าพี่รองของข้าสายตาคับแคบ ยากจะต่อกร ทำตามอำเภอใจตนเองมาตลอด ยิ่งพวกเจ้าดึงดันขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นให้เขาโกรธ ส่วนพี่สาวคนที่สองของข้าก็ไม่เลว เพียงแค่มักมาก เจ้าไม่ต้องสนใจนางหรอก”
“แต่ข้ากลับชอบนิสัยไม่กลัวตายของเจ้า ตอนนั้นที่ชานเมืองต้าหนิงข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าหน้าที่เซียนเล็กๆ จะมีความกล้าขนาดนี้ ต้องรู้ไว้นะ เรื่องเหล่านี้ที่เจ้าก่อ คนระดับพลังฤทธิ์อย่างเจ้าคงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว”
มู่จิ่วอับอาย นางไม่ตายที่จริงก็เป็นเพราะความเหนื่อยยากของลู่ยามิใช่หรือ?
“เพียงแต่ชอบก็ส่วนชอบ เรื่องต้องแบ่งแยกกันพูด” หลิวเย่พูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อเจ้ารับผิดชอบทำคดีนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเราเอาความหวังทั้งหมดฝากฝังไว้กับเจ้า เจ้าอย่าทำให้เราผิดหวัง เพียงแค่เจ้าช่วยพวกเราสืบหาฆาตกรที่แท้จริง นำจิตจิ้งจอกของน้องสี่กลับมา ข้ามู่หรงหลิวเย่ต้องให้ประโยชน์แก่เจ้าแน่นอน”
“นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อย ไม่อาจหวังการตอบแทนจากองค์หญิง” มู่จิ่วพยักหน้า
นางแอบลอบถอนหายใจ จนถึงวันนี้ก็นับว่าได้พูดกันด้วยเหตุผลแล้ว
หลิวเย่พยักหน้า จากนั้นก็จากไป
เช้าวันถัดมา มู่จิ่วเตรียมไปกล่าวลาราชาจิ้งจอก คิดไม่ถึงว่าราชาจิ้งจอกกลับมาที่ตำหนักของพวกเขาด้วยตนเอง
หลังจากมาแล้วก็ยิ้มตาหยีทักทายนาง จากนั้นก็ลากลู่ยาเข้าไปห้องด้านใน
มู่จิ่วทำได้เพียงแอบมองดู ราชาจิ้งจอกกลับเลื่อนม่านมาบังไว้!
มู่จิ่วตกใจ ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดถึงเรื่องที่ลู่ยาพูดถึงจิ้งจอกเงินกับเหล่าลิ่ว (ลำดับที่หก) แห่งตระกูลจิ้งจอกขาวเหอเจ๋อ…
ประเพณีของตระกูลมู่หรงคงไม่ใช่ชายรักชายกระมัง?!
ในม่าน ราชาจิ้งจอกรินชาให้ลู่ยาด้วยตนเอง จากนั้นส่งพัดของตนเองขึ้นไป ค้อมตัวพูด “ท่านจู่ซือตอนนี้ต้องไปแล้ว หลายปีมานี้สิบสามไม่ได้ใกล้ชิดกับท่าน พลันรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ท่านจะจากไป…” เขาพูดสะอึกสะอื้นพลางเช็ดดวงตา ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวนี้ช่างแตกต่างกับสองวันก่อนนัก
ลู่ยากำมือขวามองเขาเล่นงิ้วอยู่นาน พูดว่า “มีอะไรก็พูดมา!”
ราชาจิ้งจอกรีบหยุดเสียงร้องไห้ ยิ้มพูด “สิบสามเพียงต้องการขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง สิบสามอยากขอให้ท่านรับรุ่ยเอ๋อร์เป็นศิษย์…”
“รับศิษย์?” ลู่ยาหันหน้ามาเหลือบมองเขา “ข้าคงฟังไม่ผิด?” รู้จักเขามาหลายปี อีกฝ่ายเคยเห็นเขารับศิษย์มาก่อนหรือ?
ราชาจิ้งจอกหน้าเสีย “ท่านดูเจ้าสี่น้อยบ้านข้าถูกทำร้ายจนเป็นแบบนี้ หากขาดจิตจิ้งจอกของท่านไป แม้แต่ฟื้นขึ้นมาก็ทำไม่ได้ ถ้าสามารถตามหามันกลับมาได้ก็คงดี หากหาไม่พบ เขาจะมีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้เดินแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อท่านผู้อาวุโสยื่นมือเข้ามาทำคดีนี้แล้วก็ไม่อาจไม่สนใจข้า หากท่านละมือไม่ยุ่ง สิบสามจะไม่ร้องไห้จนตายหรือไร?”
“ดีนัก!” ลู่ยาพยุงร่างขึ้นนั่ง “ปีศาจจิ้งจอกอย่างเจ้า ช่วยไปเรื่องหนึ่งเจ้ากลับกล้าข่มขู่ข้า!”
“ที่ไหนกัน สิบสามอาศัยที่ท่านเอ็นดูข้าออดอ้อนท่านต่างหาก!” ราชาจิ้งจอกพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบสอพลอ “เจ้าสี่น้อยบ้านเราทั้งน่ารักและเชื่อฟัง รูปร่างหน้าตาก็สวยงาม เป็นที่รักของคนทั้งบ้าน ต้องไม่ทำให้ท่านรำคาญใจแน่นอน ผู้อาวุโสของพวกเรายังพูดว่าในสามแสนปีถึงจะมีจิ้งจอกทองตัวหนึ่ง หากท่านรับเขาไว้ ไม่มีอะไรต้องเสียแน่!”