ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 264 ต้นไม้หน้าหลุมศพ
“หลังจากนางไปค่อยพบว่าตนเองตั้งครรภ์ แน่นอนว่าต้องให้เด็กคลอดออกมา แต่เรื่องที่นางต้องการทำยังไม่สำเร็จ นางยังกลับมาไม่ได้ และไม่อยากลากเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำได้เพียงหาวิธีส่งลูกออกมา”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไป มองอาฝูที่เล่นอยู่กับรุ่ยเจี๋ยอยู่นอกประตูก่อนพูด “ที่อาจิ่วพูดก็ไม่ผิด ก่อนหน้านี้ปริศนาที่พวกเราอยากรู้มีมากไป ดังนั้นจึงละเลยที่จะหาเบาะแสจากตัวอาฝู ตอนนี้รายละเอียดมากมายค่อยๆ ถูกตัดทิ้งไป แม้แต่ชะตาชีวิตของต้าอี้ยังมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลง แบบนั้นขอบเขตของการคาดเดาก็แคบลงแล้ว”
“ในความเป็นจริง หลังจากอาฝูเข้าสวรรค์มาก็เร่ร่อนอยู่ระยะหนึ่ง แต่ระยะเวลานี้ก็ไม่ได้ทำให้เขามีพฤติกรรมแย่อะไร เห็นได้ว่าในสามร้อยปีนี้เหลียงจีอบรมอาฝูมาอย่างดียิ่ง หากไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบ นางจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
“นอกจากนั้น อาฝูมีพรสวรรค์มาก แน่นอนว่าเพราะเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากพูดโดยไม่ปิดบัง เจ้าที่เป็นพ่อก็ไม่อาจมีพรสวรรค์อย่างเขาได้ ข้าเดาว่าตอนยังเด็กไม่เพียงแต่เขาจะอยู่อย่างสงบสุข แต่ยังอยู่ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์ อาจจะถึงขนาดว่าตอนเหลียงจีตั้งครรภ์เขาสองร้อยปี เขาก็เริ่มดูดซับพลังนั้นแล้ว”
“ดังนั้น ข้ายิ่งเชื่อว่าสถานที่เหลียงจีอยู่ตอนนี้ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น”
ซื่ออินมองเขา ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับกำลังกลั้นหายใจ
นี่คือความคิดใหม่ และฟังดูแล้วเข้ากับความเป็นจริงในระดับหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีข่าวคราวใหม่ เขายินยอมลองคิดดู
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนเอ่ย “สุดท้ายแล้วเหลียงจีไปทำอะไร?”
“นี่คงต้องถามเขาแล้ว” ลู่ยาเพยิดหน้าให้ซื่ออิน “เจ้าคิดดีๆ ว่าก่อนนางหายไปได้พูดอะไรกับเจ้า”
“ไม่มีทั้งนั้นขอรับ” ซื่ออินส่ายหน้า “นางไม่เคยพูดเลยแม้แต่น้อยว่านางต้องทำเรื่องอะไร หากนางพูด ข้าต้องทำแทนนางแน่!”
“แบบนั้นก็ใช่แล้ว”
ลู่ยาพูด “เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้อันตรายอย่างมาก และเจ้าก็เป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งโหย่วเจียง นางทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย ดังนั้นจึงไปเอง ข้าเดาว่า อาจเป็นไปได้ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่คิดว่าจะหายไปนานขนาดนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ทิ้งแม้แต่ประโยคเดียวไว้ แน่นอนว่านี่ก็อาจเป็นข้อสรุปใหม่ ไม่จำเป็นว่านางต้องกำลังได้รับอันตราย หากแต่กำลังเสี่ยงภัยอยู่”
คิ้วของซื่ออินขมวดราวกับมะระ ทั้งใบหน้าหน้าถูกทาบทับด้วยความกังวล
ลู่ยาเดินไปตรงหน้าเขา ก่อนกล่าวอีก “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดไว้ ความรู้สึกของนางที่มีต่อพี่สาวอู่เจินลึกซึ้งมาก เจ้าคิดดู อู่เจินตายด้วยเงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ย เหลียงจีจะเต็มใจปล่อยเขาไปแบบนี้จริงๆ หรือ?”
สีหน้าซื่ออินเปลี่ยนไปซีดขาวทันที
“แต่ข้าเคยแอบส่งคนไปค้นหาที่หนานเซียงมาก่อน ข้าก็เคยสงสัยเช่นกัน แต่ที่หนานเซียงกลับไม่มีเงาของนาง!”
ในเมื่อเป็นเผ่าเทพก็ต้องมีวิธีตามหาคนของพวกเขาในแบบเฉพาะของตน ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวคนจริงๆ ไป
“เช่นนั้นเจ้าเคยจับตามองเซวียนหยวนฮุ่ยหรือไม่?”
“ข้าก็เคยสืบมาก่อน!” ซื่ออินพูด “เซวียนหยวนฮุ่ยไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย หนำซ้ำเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในวังหนานเซียง”
ถึงแม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เหลียงจีอาจอยู่ในวังหนานเซียง แต่ในเมื่อลู่ยาบอกว่าอาฝูเติบโตอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ แบบนั้นต้องไม่ใช่วังหนานเซียง หากในวังหนานเซียงมีแหล่งพลังวิญญาณอันสมบูรณ์ ก็ไม่อาจหลีกหนีการค้นหาของเขาได้
ลู่ยาลูบคาง ครุ่นคิดใหม่
มู่จิ่วขบคิด ลองเลียบเคียงถามดู “ไม่รู้ว่าหลุมศพของอู่เจินอยู่ที่ไหน?”
นางก็ไม่รู้ว่าตนคิดถูกหรือไม่ อย่างไรเสีย ฟังจากสิ่งที่ลู่ยาคาดเดาแล้ว นางคิดว่าหากนางเป็นเหลียงจี พี่สาวของตนตายอย่างอนาถแบบนี้ ต่อให้นางต้องการล้างแค้นก็ต้องไปดูพี่สาวก่อน เพราะหากกลับมาไม่ได้ โอกาสที่จะพูดต่อหน้าหลุมศพก็ไม่มีแล้ว
ครั้นนางพูดประโยคนี้ออกไป ดวงตาทั้งสองของซื่ออินพลันสว่าง “ไม่ผิด…หลุมศพของอู่เจิน! ทำไม่ข้าคิดไม่ถึง!”
ลู่ยาก็พูด “มีเบาะแสอะไรหรือไม่?”
“ปีนั้นหลังจากอู่เจินตาย พวกเราก็ย้ายศพกลับมาฝังอยู่ที่ทางเหนือของภูเขาจิตอสุนีบาต!”
“ภูเขาจิตอสุนีบาต?!”
มู่จิ่วตื่นเต้นขึ้นบ้างแล้ว!
ภูเขาเรืออยู่ปีกข้างของภูเขาจิตอสุนีบาต พูดแบบนี้หมายความว่าเหลียงจีส่งอาฝูไปที่ภูเขาเรือ ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด และมู่จิ่วรู้สึกอยู่ตลอดว่าที่อยู่ของเหลียงจีต้องเกี่ยวข้องกับภูเขาจิตอสุนีบาต หรือนี่จะเป็นการค้นพบใหม่?
“เอาละ อย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น พวกเราไปดูก็ได้แล้ว”
ลู่ยาชันเข่ายืนขึ้น จากนั้นจึงนำกระดองเต่าบนโต๊ะมาแล้วเรียกเมฆ
มู่จิ่วบอกกล่าวกับเสี่ยวซิงเล็กน้อยก่อนออกเดินทาง
จากด้านตะวันออกถึงตะวันตกของภูขาจิตอสุนีบาตรวมหลายพันลี้ มียอดเขาด้านข้างนับไม่ถ้วน สันเขาของยอดเขาหลักเป็นแนวกั้นถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ต้นไม้ที่ทอดไปทางใต้เขียวขจีเหมือนกับพุ่มไม้ สรรพชีวิตเติบโตอุดมสมบูรณ์ แต่ด้านติดทางเหนือกลับเป็นพื้นที่กันดารต่อเนื่องไปหลายพันลี้ ทุกปีมีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน ถึงจะมีดินแดนสีเขียวโผล่ขึ้นมา ผ่านที่กันดาร เดินทางไปอีกหลายพันลี้ ก็จะเป็นเขตแดนของแต่ละชนเผ่าและอาณาจักรในโบราณกาล
ภูเขาเรืออยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทิวเขา และอาณาจักรโหย่วซยงตั้งอยู่ทางเหนือของยอดเขาจิตอสุนีบาต ทั้งสองที่ห่างกันหลายพันลี้ วันนั้นตอนมาภูเขาเรือ ซื่ออินจึงไม่ได้พูดว่าข้ามภูเขาเดินไปอีกหลายพันลี้ก็เป็นโหย่วเจียงแล้ว
พวกลู่ยาเพียงใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสันเขา
จากนั้นซื่ออินเดินนำทางอยู่ข้างหน้า มุ่งไปทางตะวันตก พอเดินจนเกือบสุดปลายทิวเขาก็ปรากฏภูเขาเล็กรูปทรงกรวยให้เห็น ผิดกับที่รกร้างกันดารที่เพิ่งเดินผ่านมา ภูเขาเล็กนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ แต่ผืนป่ามีหลุมศพมากมาย แต่ละหลุมดูไปแล้วล้วนผ่านกาลเวลามานาน หลุมศพที่ยิ่งเก่าสลักสัญลักษณ์ที่แม้แต่มู่จิ่วก็ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าผ่านหลุมศพมาแล้วกี่หลุม เมื่อเดินมาถึงกลางป่า ฝีเท้าของซื่ออินก็หยุดลง
“นี่คือหลุมศพของอู่เจิน!”
ครั้นมองไปตามที่เขาชี้ เห็นเพียงกลางป่ามีหลุมศพหินที่ค่อนข้างใหม่ บนหลุมสลักอักษรโบราณเรียบง่ายไว้ มู่จิ่ววิเคราะห์ตัวอักษรอย่างละเอียด ดูออกเพียงแค่ตัวเจียงกับเจินเท่านั้น เดาว่าคงเป็นป้ายของอู่เจินอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหลียงจี!”
ขณะกำลังสำรวจ ซื่ออินพลันพุ่งไปหน้าหลุมศพ จับต้นหางนกยูงขนาดสองคนโอบด้านหน้าหลุมศพพลางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด!
ต้นไม้นี้เป็นพยานรักของเขากับเหลียงจี แต่กลับมาอยู่หน้าหลุมศพของอู่เจิน!
เพียงพวกเขามาก็มีการค้นพบยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
“แต่เดิมมีต้นไม้นี้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“ไม่มี” ซื่ออินอดกลั้นความเจ็บปวด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูด “เดิมทีไม่มีต้นไม้นี้! แต่ก่อนข้ามาเป็นเพื่อนเหลียงจีทุกครั้งที่นางมาที่นี่ แต่หลังจากนางหายตัวไปข้าก็ไม่ได้มาอีกเลย ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะตั้งใจหายตัวไปเอง ดังนั้นจึงไม่คิดว่านางจะมาหาอู่เจินที่นี่เลย”
มู่จิ่วเงยหน้ามองต้นไม้นี้ เวลาห้าร้อยปี เพียงพอทำให้ต้นไม้เล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า
เหลียงจีใช้วิธีนี้เพื่อเตือนอะไรซื่ออินหรือไม่?
“เจ้าคิดให้ละเอียดอีกที ที่นี่มีอะไรไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีก” ลู่ยากล่าว พูดจบเขาก็นำผังเข็มทิศออกมาตรวจสอบภูมิประเทศรอบด้าน
…………………………………………………