ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 268 เป็นนางนี่เอง!
เขาพูดพลางเดินไปและเรียกผังเข็มทิศออกมา หลังจากรู้ทิศทางแน่ชัดแล้วก็นั่งขัดสมาธิลง กระดองเต่าสองกระดองในมือราวกับมีตางอก มันพุ่งไปที่ทิศตะวันออกตะวันตกสองฝั่ง เห็นเพียงกระดองเต่าทั้งสองกลายเป็นภูเขาสองลูกกลางอากาศในพริบตา อันหนึ่งร่วงลงไปทางทิศตะวันออกตัดป่าไผ่ขาด อีกอันหนึ่งตกลงทิศตะวันตก ขวางลำน้ำที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ไว้!
น้ำในแม่น้ำแห่งความตายที่ถูกขวางพลันปั่นป่วน และยังมีคลื่นยักษ์ยาวต่อเนื่องพร้อมพลังวิญญาณโหมซัดอยู่เหนือศีรษะ
ซื่ออินยังรับมือได้ไม่มีอุปสรรค ด้านมู่จิ่วกลับต้องออกแรงบ้าง นางกัดฟันกระตุ้นดอกบัวทองบนแขนมาปกคลุมร่างของตน ทันใดนั้นแรงกดดันก็ลดลง นางกลับมามีพละกำลังอีกครั้ง
ในลานที่พักเห็นเพียงพลังวิญญาณของลู่ยาหลั่งไหลออกมาไม่หยุด มันปรากฏออกมาแบบเนิบช้า แผ่ไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ผ่านไปแบบนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ แสงค่อยๆ สว่างขึ้น สีดำเหนือศีรษะจางลงไป แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทีละน้อย น้ำจากแม่น้ำแห่งความตายที่เดิมทีไหลข้ามหัวไปถูกขวางไว้สำเร็จ รอบด้านทั้งหมดสว่างขึ้น
บ้านพักนี้แต่เดิมถูกสร้างอยู่ในก้นหุบเขาลึก ตอนนี้น้ำในแม่น้ำลดไป ผาหินโดยรอบจึงปรากฏออกมา
เมื่อต้นไม้รอบบ้านได้รับแสงอาทิตย์ก็เหี่ยวเฉาไปทันที ทุกทีล้วนมีเสียงกรอบแกรบ ป่าไผ่ทั้งผืนที่เห็นก่อนหน้านี้ล้มลงมากลายเป็นกลุ่มกองกระดูกขาว สุดท้ายกลายเป็นฝุ่นธุลี
“ตอนนี้ล่ะ?” มู่จิ่วลงมาที่พื้น
หลังจากเซวียนหยวนฮุ่ยจากไป เสือลายเหลืองเหล่านั้นก็หายไปด้วย บ้านพักหลังใหญ่ที่ก่อนนี้เหมือนวัง พริบตาเดียวกลายเป็นบ้านร้าง
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือตามหาเหลียงจี แต่เหลียงจีอยู่ไหน มีเพียงลู่ยาเท่านั้นที่รู้
ลู่ยาปัดเสื้อคลุมยืนขึ้นมา ราวกับเรื่องที่เพิ่งทำเสร็จเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งนัก
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลันหมุนตัวกลับไปยังทางเหนือที่มีห้องหินเมื่อครู่
มู่จิ่วกับซื่ออินชะงักเล็กน้อยก่อนตามไป เห็นเพดานห้องหินถูกเปิดออกทั้งหมด ห้องหินที่เหมือนกับผาร่วงลงไปด้านล่าง บึงน้ำที่ขังเซวียนหยวนฮุ่ยไว้ก่อนหน้านี้ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่!
และคนคนนี้เสื้อผ้าทรงผมหน้าตาล้วนเหมือนกับ ‘เหลียงจี’ เมื่อครู่เป็นพิมพ์เดียวกัน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือนางนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้น้ำ บนโต๊ะเหลี่ยมขนาดสองฉื่อตรงหน้ามีหินกลมวางอยู่ หินนั้นทึบไร้แสง แต่พื้นผิวไม่ต่างกับหินเจ็ดแสงข้างลำน้ำเลย!
“วิญญาณร้าย?!”
ในหัวมู่จิ่วพลันผุดคำนี้ขึ้นมา
หากหินเจ็ดแสงเป็นหินสะสมวิญญาณ แบบนั้นหินใต้น้ำตรงหน้านี้ ถ้ามิใช่หินวิเศษที่ใช้หลอมวิญญาณร้ายแล้วจะเป็นอะไร?
เซวียนหยวนฮุ่ยหลอมวิญญาณร้ายกลับต้องให้เหลียงจีนั่งอยู่ข้างๆ?
“พานางกลับสวรรค์ก่อนค่อยว่ากัน!” ลู่ยานั่งยองลงมองอยู่ข้างน้ำ ก่อนพลันลุกขึ้นมาพูดกับซื่ออิน
หลังจากซื่ออินผ่านความตื่นเต้นเมื่อครู่ ตอนนี้เห็นเหลียงจีตัวจริง ปฏิกิริยาเขาสงบลงเล็กน้อย เขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า อุ้มเหลียงจีขึ้นมาจากน้ำ รอลู่ยาหยิบหินเจ็ดแสงจากใต้น้ำขึ้นมาก็ขี่เมฆออกจากภูเขานี้ไป
มู่จิ่วยืนอยู่บนเมฆ ฟาดอสุนีบาตสายหนึ่งลงไป ยันต์วิเศษที่แปะไว้กลางอากาศห้าใบก่อนหน้านี้พลันแผดเผากลายเป็นไฟแรงกล้า
ตอนกลับถึงสวรรค์ เมฆที่ขอบฟ้าเป็นสีแดงเพลิง ซื่ออินพุ่งเข้าไปในบ้านราวกับลม
ไม่รู้ทำไมอาฝูที่กำลังกินขนมกับรุ่ยเจี๋ยถึงวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังนอกประตู ต้อนรับพ่อแม่เขาที่กลับมาด้วยกันพอดี!
เขาเห็นเหลียงจีที่อยู่ในอ้อมอกซื่ออิน เหมือนมองไม่เห็นพ่อที่คอยช่วยหวีขนอาบน้ำให้เขาในหลายวันเหล่านี้ ความกังวลและความใส่ใจทั้งหมดอยู่บนร่างของแม่…นี่คือแม่ที่เลี้ยงเขามาโดยลำพังสามร้อยปี! ในสามร้อยปีนั้นนางเป็นเพียงญาติคนเดียวของเขา เขากระโดดร้องคำรามพลางน้ำตาไหล ความร้อนในดวงตาและความตื่นเต้นทำให้คนที่เห็นเจ็บแปลบใจ
“อาฝูหลีกทางเร็ว แม่เจ้าป่วยแล้ว พวกเราต้องรักษานางก่อน”
ซื่ออินปลอบเขาทั้งน้ำตา จากนั้นก้าวข้ามเขาเดินเข้าห้องตนเองไป แล้ววางเหลียงจีลงบนเตียง
พวกเสี่ยวซิงก็ออกมาหมดแล้ว มู่จิ่วที่ตามมาทีหลังรีบเอ่ย “พวกเจ้ารีบไปเตรียมเสื้อผ้าตัวในตัวนอกและผ้าเช็ดหน้าสะอาดส่งไปห้องซื่ออิน! จากนั้นดูว่าในบ้านมีหลินจือหรือไม่ หากมีให้ตุ๋นน้ำแกง หากไม่มีก็รีบไปซื้อ เหลียงจีกลับมาแล้ว!”
เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นยังไม่ทันได้ตกใจ ก็รีบแยกกันไปทำธุระทันที
รุ่ยเจี๋ยเป็นห่วงอาฝูอย่างมาก เดินตามเขาเข้ามาในห้องเช่นกัน
ปกติขอเพียงไม่ถึงขั้นจิตวิญญาณแตกซ่าน ลู่ยาล้วนมีหนทางช่วย เรื่องนี้ทุกคนจึงไม่กังวล แม้สถานการณ์ของเหลียงจีไม่ค่อยดี หลังจากกินยาไปสองเม็ด ลมหายใจก็ค่อยๆ ขยับ ลู่ยาร่ายคาถาสงบใจให้นางแล้วค่อยส่งสัญญาณให้ทุกคนตามเขาออกมา
อาฝูนั่งมองแม่ตรงพื้นข้างหัวเตียงอย่างว่าง่าย ไม่กล้าจากไปแม้แต่น้อย
ซื่ออินเรียกเขาก็ไม่ขยับ จึงทำได้เพียงบอกเขาให้ดูแลอย่างดี
ความรู้สึกในตอนนี้ช่างยากจะบรรยาย สำหรับคนรักกัน แยกจากกันมาห้าร้อยปีไม่นับว่าสั้น เขาหลั่งน้ำตาออกมาหลายรอบที่ใต้ต้นท้อ จากนั้นหันมามองแม่ลูกที่นอกหน้าต่างหลายรอบ สองมือถึงได้กุมหน้าปาดน้ำตาออก ก่อนเดินไปยังห้องลู่ยา คุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“เซิ่งจุนมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงต่อซื่ออิน ทั้งตระกูลซื่ออินชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันลืม”
ลู่ยาถือกระดองเต่าเล่นในมือพลางพูด “เรื่องนี้ยังไม่จบ เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
เขาปรับลมหายใจก่อนกล่าว “ข้าตั้งใจว่าจะรอเหลียงจีฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยพานางกลับไปแต่งงาน นางคลอดลูกของพวกเราออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องให้ฐานะอย่างเป็นทางการแก่นางก่อน จากนั้นข้าต้องไม่ปล่อยเซวียนหยวนฮุ่ยแน่ หลังจากกลับไปข้าจะส่งทัพไปหนานเซียง ต้องสับเซวียนหยวนฮุ่ยเป็นหมื่นชิ้นให้ได้!”
ลู่ยาไม่ได้พูดสิ่งใด
ซื่ออินมองเขา มู่จิ่วที่เก็บเครื่องเขียนให้เขาอยู่ด้านข้างก็มองเขาเช่นเดียวกัน
“รอเหลียงจีฟื้นมา ถามนางก่อนว่าแท้จริงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน” ลู่ยาวางกระดองเต่า ลุกขึ้นพูด “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนนาง มีความเคลื่อนไหวอะไรค่อยมาบอกข้า”
รอจนซื่ออินบอกลาออกไป เขาจึงหยิบหินเจ็ดแสงจากแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ ตัวมันยิ่งดูมืดทึบไร้แสงภายใต้แสงโคม
มู่จิ่วเดินเข้ามา “หินนี้เป็นหินที่หลอมวิญญาณร้ายจริงหรือ?”
“นั่นเจ้าคิดไปเอง” ลู่ยากุมหน้าผากมองมัน “ถึงแม้มันใหญ่มากในบรรดาหินเจ็ดแสง เหมาะที่สุดในการหลอมวิญญาณร้าย แต่ข้ากลับไม่คิดว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะทิ้งหินที่ใช้หลอมวิญญาณร้ายไว้ง่ายๆ เขามีแผนการ ข้าเดาว่าหินหลอมวิญญาณร้ายที่แท้จริงยังอยู่ในมือเขา หรือพูดได้ว่าถูกเขานำไปแล้ว”
มู่จิ่วนั่งลงตรงข้ามเขา “พูดแบบนี้แสดงว่าเขาตั้งใจทำให้สับสน?”
“เป็นไปได้ ข้าเพิ่งดูอดีตของนางเล็กน้อยตอนตรวจชีพจร พบว่านางไม่ได้ถูกลักพาตัวไป และก็ไม่เหมือนเดินออกไปเอง” ลู่ยาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปก่อนพูดต่อ “ปริศนาทั้งหมด ทำได้เพียงรอนางฟื้นขึ้นมาตอบ”
ถึงแม้มู่จิ่วตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงแบบนี้
คืนนี้เหลียงจีคงนอนหลับได้ไม่เลวนัก ไอเซียนในสวรรค์ก็มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูของนางมาก
ตื่นขึ้นเช้าวันถัดมา เห็นหน้าประตูห้องอาฝูมีหญิงสวมเสื้อเขียวรูปร่างอ้อนแอ้นยืนเหม่อมองดอกไม้บานในลานบ้าน นกที่กำลังร้อง ไอเซียนที่ลอยวน และแสงอาทิตย์ที่แยงตา นางไม่ได้ทาแป้งลงชาด ผมไม่ได้เกล้า เสื้อก็เป็นเสื้อธรรมดาซึ่งไม่นับว่าดีนักที่เสี่ยวซิงซื้อมา แต่ทั้งร่างนางกลับมีความงามที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
…………………………………………………………