ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 271 คนประหลาด (3)
“เขาพูดอะไร?”
ซื่ออินกับลู่ยาถามขึ้นพร้อมกัน
เหลียงจีขมวดคิ้วแน่นก่อนตอบ “เขาพูดว่า มีชีวิตอยู่ต่อเถอะ เสือน้อยยังปลอดภัยดีอยู่”
สามคนในห้องนิ่งอึ้ง
“ตอนนั้นน้ำเสียงที่เขาใช้พูดอ่อนโยนมาก คล้ายทอดถอนใจ เหมือนพูดกับตนเอง ฟังอย่างไรก็ฟังไม่ออกถึงความประสงค์ร้าย” เหลียงจีตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่คำพูดนี้กลับทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่มียานั้นปกป้องข้าจากความโหดร้ายของเซวียนหยวนฮุ่ย ข้าคงรอไม่ถึงตอนที่พวกเจ้ามา!”
ถึงตอนนี้ทุกคนออกจะตะลึง
คนที่ทั้งหลอกนางและลักพาตัวนางไปห้าร้อยปี สุดท้ายกลับปลอบโยนนาง และยังให้ยาปกป้องวิญญาณแก่นาง! นี่ช่างประหลาดนัก!
คนผู้นั้นกำลังเล่นอะไรกันแน่?
ลู่ยาจ้องตานางอยู่นาน ก่อนละสายตากลับไป
สิ่งที่นางพูดเป็นจริง ไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว
หากนี่ไม่ใช่คำโกหกก็น่าตกตะลึงแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเสือน้อยยังอยู่ดี แสดงว่าเขารู้ที่อยู่ของอาฝู ในเมื่อรู้ ทำไมเขาถึงไม่มาลักพาตัวกลับไป? ประเด็นคือในเมื่อเขาไม่มีเจตนาร้าย ทำไมต้องควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยให้หลอมวิญญาณร้ายแทนเขา? วิญญาณร้ายนี้ไม่ใช่สิ่งของของทางสายธรรมอะไรเลย
“ตอนเขามาป้อนยาให้เจ้าคือเมื่อใดกัน?” เขาถาม
เหลียงจีคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ประมาณสี่ห้าเดือนก่อนเจ้าค่ะ”
“นั่นมิใช่ตอนที่พวกเราสืบเรื่องคุนหลุนตะวันออกหรือ?” มู่จิ่วต้องทำงาน จึงละเอียดอ่อนกับเรื่องเวลานัก
ลู่ยาพยักหน้า คิดเล็กน้อยแล้วถามอีก “เช่นนั้นวิญญาณร้ายหลอมสำเร็จแล้วหรือ? ตอนพวกเราพบเจ้า ทำไมเจ้าถึงอยู่กับหินหลอมวิญญาณได้?”
“คงเป็นเพราะยังขาดกำลังไฟอยู่บ้าง” เหลียงจีพูด “มิฉะนั้นแล้วเซวียนหยวนฮุ่ยคงไม่มาอีก ตอนนั้นหลังจากพวกเขารู้ว่าข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไป ข้าเข้าใจว่าพวกเขาจะย้ายสถานที่ ทว่าก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น คนผู้นั้นเพียงแค่สร้างปราการเซียนซ่อนบ้านพักนั้นไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกท่านยังมองอาคมปีศาจออก”
“ส่วนทำไมข้าถึงอยู่กับหินหลอมวิญญาณ นั่นไม่ใช่หินหลอมวิญญาณที่แท้จริง แต่เป็นหลุมพรางที่เซวียนหยวนฮุ่ยสร้างไว้ เขาคงไม่รู้มาก่อนว่าคนที่มากับพวกท่านคือสามมหาเทพแห่งสวรรค์อันสูงส่ง ดังนั้นเขาจึงวางแผนใช้วิญญาณร้ายกระตุ้นเหล่ามารใต้ดินยามที่พวกท่านมาหาข้า และใช้มันมาทำลายพวกเราไปพร้อมกัน!”
“แต่ตอนที่เซิ่งจุนพบร่างที่แท้จริงของเขา เขาอับจนหนทางหนีไปอย่างรีบร้อน ดังนั้นจึงไม่ทันลงมือ แต่หินหลอมวิญญาณที่แท้จริงคงถูกเขาเอาไป เพราะเขาเคยพูดว่าจะใช้วิญญาณร้ายนั้นเลื่อนขั้นอาคมปีศาจ”
มู่จิ่วกับลู่ยาสบตากัน ก่อนพยักหน้า
ครั้นมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจเรื่องได้พอสมควรแล้ว ไม่ว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับคดีก่อนหน้านี้หรือไม่ ครั้งนี้สืบออกมาแน่ชัดแล้วว่ามีคนแบบนี้อยู่เบื้องหลังจริงและมีเป้าหมายชั่วร้ายบางอย่างแน่
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจ ในเมื่อหลอกเจ้าออกจากวังแล้ว ทำไมเขาต้องทำวกวนปลูกต้นหางนกยูงไว้หน้าหลุมศพอู่เจินอีก?” มู่จิ่วกอดอก พูดอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน” เหลียงจีขมวดคิ้ว “พูดถึงตรงนี้ หากไม่ใช่เพราะต้นหางนกยูงต้นนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าพวกท่านจะพบว่ามีสิ่งผิดปกติ”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “หากพวกเราไม่พบต้นหางนกยูงนั้นคงไม่หยุดอยู่ที่นั่นนาน เมื่อไม่มีต้นไม้ก็ไม่รั้งรอ โอกาสที่ลู่ยาจะตามรอยไปถึงหุบเขานั้นก็น้อยนิด บวกกับที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ภายหลังเขายังให้ยาปกป้องร่างกายแก่เจ้า ดูจากเรื่องนี้แล้วเหมือนกับคนผู้นี้ตั้งใจทิ้งเบาะแสของเจ้าไว้ให้ซื่ออิน”
ซื่ออินตกตะลึง
“แต่เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร?” มู่จิ่วยิ่งตกอยู่ในความสับสน
ดูจากวิธีที่เขาลงมือ คล้ายจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่หากไม่ใช่คนดี แล้วทำไมเขาต้องช่วยเหลียงจี? ยังบอกนางว่าอาฝูปลอดภัยดี? หรือเขารู้ว่าอาฝูอยู่ไหน? ก็แสดงว่าเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ว่ามู่จิ่วกับลู่ยากำลังสืบเรื่องเขาอยู่? รู้ว่ากำลังสืบหา เขาก็ยังไม่ให้เซวียนหยวนฮุ่ยวางมือ? ทั้งยังสนับสนุนความทะเยอะทะยานในการครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือต่อ?
เป้าหมายของเขาแท้จริงคืออะไร
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ่งสงสัยในตัวคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นี้มากขึ้น
“แบบนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์ไปภูเขาเรือ?” ตอนนี้ลู่ยาถามเหลียงจีอีก
“ข้าเดาได้” เหลียงจีตอบ “ก่อนข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไป ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่าหากต้องการครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ต้องตัดชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาต นี่คงเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่คนผู้นั้นให้สัญญาไว้กับเซวียนหยวนฮุ่ย และชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาตก็คือชีพจรวิญญาณของต้าอี้ ข้าคิดว่าหากพวกเขาต้องการลงมือ ช้าเร็วสวรรค์ก็ต้องรู้การเคลื่อนไหว”
“ดังนั้นข้าจึงส่งเจ้าขาวน้อยไปยังภูเขาเรือ โอกาสที่เขาจะพบกับคนของสวรรค์มีสูงมากนัก ดังนั้นข้าถึงได้เลือกฝังของไว้ที่ใต้ต้นหางนกยูง ไม่นึกเลยว่าเขาจะพบฉางเอ๋อร์ที่ภูเขาเรือจริง”
ลู่ยาพยักหน้าเงียบๆ หยักนิ้วทำนาย ก่อนพูด “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน”
“เซวียนหยวนฮุ่ยมีใจอยากครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือ การหลบหนีครั้งนี้เกรงว่าต้องมีการเคลื่อนไหวทันที พวกเจ้ายังต้องรีบกลับไปรับมือ ในเมื่อชะตาชีวิตของต้าอี้ถูกแก้ไขแล้ว แบบนั้นต่อให้ชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาตถูกตัดขาดสวรรค์ก็ไม่รู้ พวกเจ้าเอาสิ่งนี้ไป มันสามารถปกป้องวังของพวกเจ้าให้ไร้ภัย แต่หากต้องการปกป้องทั้งเผ่าหรือกระทั่งความสงบสุขของทั้งถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ยังต้องให้พวกเจ้าพยายามกันเอง”
พูดจบเขาก็หยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้พวกเขาพลางกล่าว “ติดไว้ที่ทิศเหนือ”
“ผู้น้อยรับคำสั่ง!”
ซื่ออินกับเหลียงจีคุกเข่ารับยันต์ทันที
ลู่ยาพยักหน้าพลางพูด “อาจิ่วต้องสรุปคดี ก่อนไปพวกเจ้าพาอาฝูตามนางไปที่หน่วยสักรอบ ถึงเวลานั้นหากมีเรื่องอะไรก็ส่งข่าวมาได้”
ซื่ออินเหลียงจีคุกเข่าก้มคารวะอีกครั้ง เมื่อลุกขึ้นก็ค้อมตัวให้มู่จิ่ว ก่อนเดินไปทางหน่วยงาน
มู่จิ่วทั้งตื่นเต้นและเจ็บปวดใจ สิ่งที่ตื่นเต้นคือพวกเขาคนรักได้กลับมาครองคู่กัน สิ่งที่เจ็บปวดคือในที่สุดนางกับอาฝูก็ถึงวันต้องจากลา ตลอดทางไปหน่วยนางเดินช้ามาก ปากเรียกอาฝูให้เดินช้าๆ ตลอด ใบหน้าฝืนแสดงว่าดีใจแทนพวกเขา แต่ในใจกลับบีบรัด เจ็บราวกับถูกมีดเชือดเฉือนอยู่
เมื่อมาถึงห้องทำงานของหลิวจวิ้น นางรายงานเรื่องราวกับเขาอย่างเรียบง่าย
เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทกับชายาของเผ่าพันธุ์เสือขาว หลิวจวิ้นจึงลุกขึ้นต้อนรับ มู่จิ่วกลับอยู่ที่มุมห้องกอดอาฝูพลางกำชับเขา “กลับไปอย่ามัวแต่ห่วงกินเนื้อ ต้องเรียนรู้จากพ่อแม่และเหล่าอาว่าจะเป็นองค์ชายที่เหมาะสมอย่างไร จำไว้ว่าต้องปกป้องอาณาจักรของเจ้า ต้องกตัญญูต่อปู่ย่า ต้องฝึกฝนอย่างเชื่อฟัง แล้วต้องคิดถึงข้าด้วยนะ!”
คนที่พูดคุยกันไม่อาจไม่มองมาทางมุมห้องอยู่บ่อยครั้ง
อาฝูหดหู่อย่างมากเช่นกัน อุ้งเท้ากอดแขนนางแน่น ดวงตาสีฟ้าหม่นคลอไปด้วยหยาดน้ำ มองแล้วท่าทางเหมือนจะไหลลงมา
หนึ่งคนหนึ่งเสือกระซิบกระซาบกัน มู่จิ่วกอดหัวอาฝูไว้พลางใช้หางตาที่เปียกชื้นถูหน้าผากเขา “จากนี้ไปเจ้าก็ชื่อเจ้าขาวน้อย เจ้าขาวน้อย เจ้าข้าวน้อย รอเจ้าโตแล้วต้องกลับมาหาพวกเรานะ”
………………………………………………