ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 276 เป็นลูกชายเจ้า
จื่อจิ้งไม่ได้ตอบนาง จนกระทั่งสำรวจทั้งนอกและในหน่วยหมดแล้ว จึงค่อยกล่าวคำ “เจ้าจะกลับบ้านกินข้าวหรือ ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน เจ้าพาข้ากลับบ้านด้วยได้หรือไม่?”
“พาเจ้ากลับบ้าน?”
มู่จิ่วรู้สึกว่าเด็กคงนี้คงจะสติไม่สมประกอบ ทำไมเพิ่งพบก็จะตามนางกลับบ้านแล้วล่ะ?
ศิษย์สำนักไหนสอนสั่งมา? ช่างล้มเหลวเกินไปแล้ว!
“พ่อแม่เจ้าล่ะ?” นางถาม
“พ่อแม่ข้าไม่อยู่บ้าน” จื่อจิ้งตอบ ก่อนกะพริบตามองนาง “ข้ากินไม่เยอะ มื้อหนึ่งข้าวสองชามก็พอแล้ว และไม่เลือกกินด้วย แน่นอนว่าหากมีเนื้อกินย่อมดีที่สุด หากเจ้าขาดแคลนจนไม่มีข้าวกิน กินโจ๊กก็ได้ ข้าพับผ้าห่มหวีผมสวมเสื้อผ้าเองเป็น ข้าที่เลี้ยงง่ายขนาดนี้ ไปอยู่บ้านเจ้าสักระยะดีหรือไม่?”
มู่จิ่วมองเขาที่พูดอย่างคล่องแคล่วราวกับเตรียมตัวมาก่อนแล้ว ยิ่งไม่กล้าไปยุ่งกับเขา “ไม่ดี! ข้าเกรงว่าอีกเดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องว่าข้าค้าเด็ก!”
จื่อจิ้งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูด “แบบนั้นข้าไปกินข้าวกลางวันที่บ้านเจ้าสักมื้อได้หรือไม่? เจ้าเป็นผู้บัญชาการในทัพทหารสวรรค์ เป็นหัวเสินที่ใกล้จะขึ้นเป็นเซียน แม้แต่เด็กหิวโหยที่ต้องการข้าวสักมื้อคงไม่อาจปฏิเสธได้ลงคอหรอกนะ?”
เขารู้กระทั่งเรื่องที่นางเป็นหัวเสิน?
และยังยกฐานะผู้บัญชาการในทัพทหารสวรรค์มากดดันนาง?
มู่จิ่วมองเจ้าตังเมนี่อย่างลุ่มลึก เอ่ยว่า “เจ้าบอกก่อนว่าเจ้าคือใคร!”
“ข้าหรือ” จื่อจิ้งชี้หน้าตนเอง กลอกตาไปมาสองรอบก่อนบอก “ข้าชื่อจื่อจิ้ง เป็นลูกชายของลู่ยา”
ลูกชายของลู่ยา!
มู่จิ่วนิ่งอึ้งอยู่นานถึงได้คืนสติกลับมา ลู่ยามีลูกแล้ว?!
“เจ้าอย่าพูดมั่ว! เขาไม่เคยแต่งงานมาก่อน จะมีลูกโตขนาดเจ้าได้ที่ไหน!” นางยื่นหน้าเข้าไปต่อว่าเขา
“จะไม่มีได้อย่างไร?” จื่อจิ้งเงยหน้ามองนาง “เขาแก่ขนาดนั้นแล้ว ตอนที่บนโลกยังไม่มีมนุษย์ก็มีเขาแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้แต่งงาน? คำที่เขาพูดเจ้าก็เชื่อด้วย? หากข้าไม่ใช่ลูกชายเขา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่บ้านเจ้า? เขาละทิ้งข้า ตอนนี้ข้าจึงมาให้เขาเลี้ยงดู!”
มู่จิ่วตกตะลึง!
คำพูดของเด็กคนนี้ นางไม่มีหนทางโต้เถียง!
เขากลับพูดถึงลู่ยากับนางและยังมาหานางอีก หากเขาโกหกจะกล้ากลับไปกับนางหรือ?
ลู่ยาเจ้าคนนั้น เขามีลูกชายแล้ว กลับยังบอกว่าตนเป็นชายบริสุทธิ์!
…ไม่ไม่ไม่ นางไม่อาจฟังความจากเด็กนี้ข้างเดียว หากเขาสร้างเรื่องล่ะ?
นางต้องให้พวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน!
นางกวาดตามองจื่อจิ้งแล้วเอ่ย “เจ้าตามข้ามา!”
จื่อจิ้งเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ลู่ยากำลังอาบแดด ประตูลานพลันเปิดดังปัง มู่จิ่วพุ่งเข้ามา ทำหน้าตึงจนมาถึงตรงหน้าเขา “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานนานแล้ว? ลูกชายเจ้าก็โตแล้ว?”
ลู่ยาเหมือนเจอฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชันตัวขึ้นมาพูด “ใครพูด? ใครมันสร้างเรื่อง?”
“เด็กนั่นมาหาถึงหน้าประตูแล้ว!” มู่จิ่วหน้าทะมึนเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นจื่อจิ้งที่ด้านหลัง “เจ้าดูเอาเอง!”
ลู่ยาจับจ้อง ความโกรธปะทุขึ้นมา พุ่งเข้าหาจื่อจิ้งอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
จื่อจิ้งหนีไม่ทัน ปกคอเสื้อด้านหลังถูกคว้ายกขึ้นกลางอากาศ!
“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้ข้าเคยให้กำเนิดกระดิ่งออกมา!” ลู่ยากัดฟัน บีบมือแน่นขึ้นหมายทำให้จื่อจิ้งกลายเป็นผุยผง คิดไม่ถึงว่าจะหาญกล้ากุเรื่องว่าเป็นลูกชายเขา? เกรงว่าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
“ช้าก่อน!” จื่อจิ้งดีดดิ้นอยู่กลางอากาศ เสียงแผ่วเบาลอยเข้ากระทบหูเขา “หากท่านกล้าทำลายข้า ข้าจะพูดเรื่องที่ท่านไปหงชางแล้วทำให้จุ่นถีตกใจหนีไป!”
“ข้าได้เล่าเรื่องนี้ให้เซิ่งจุนรองฟังแล้ว เขาส่งข้ามาบอกท่าน ให้ท่านตามหาศิษย์พี่จุ่นถีให้พบค่อยกลับไปหาเขา! ไม่อย่างนั้นแล้วไม่อนุญาตให้กลับ! ตอนนี้หากท่านทำลายข้า เซิ่งจุนรองก็จะมาหาท่านด้วยตนเอง แล้วท่านจะถูกเปิดโปงเหมือนกัน! ท่านอย่าเข้าใจไปว่าเซิ่งจุนรองกลัวท่านจริง ปกติแล้วเขาเพียงแค่ยอมท่านเท่านั้น! หากท่านไร้เหตุผลจริง ดูซิว่าเขาจะจัดการหรือไม่? ปล่อยข้าไป อย่างน้อยข้าก็ยังช่วยท่านปกปิดได้!”
ลู่ยาหน้าเขียวคล้ำ มือที่จับอีกฝ่ายอยู่สั่นแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็บีบมือแน่นเข้าอีก จื่อจิ้งจึงตะโกนเสียงแหลมออกมา “กัวมู่จิ่ว อาจารย์ของเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เขากลับร่วงลงไปที่พื้นดังตุบ
ลู่ยาหลุบตามองเขา ใบหน้าเย็นชาราวกับหากตัดไปสักส่วนจะหลุดออกมาเป็นก้อนน้ำแข็ง
“เจ้าทำกับลูกเจ้าแบบนี้หรือ?”
มู่จิ่วกอดอกมองพวกเขาทั้งสอง ทั้งไม่ได้สนับสนุนการวิวาทและไม่ได้ยื่นมือเข้าไปห้าม แต่หรี่ตามองพวกเขา แน่นอนว่านางดูออกว่าจื่อจิ้งไม่ใช่ลูกชายของลู่ยา แต่เมื่อครู่ชัดเจนว่าเขาอยากจะทุบตีเด็กคนนี้ให้แหลกไป ทำไมพริบตาเดียวกลับเปลี่ยนใจแล้ว? สองคนนี้ต้องมีลับลมคมใน และสักแปดส่วนต้องไม่ใช่เรื่องดี!
“เขาไม่ใช่ลูกชายข้า แต่เป็นหลานข้า!” ลู่ยาถลึงตาใส่จื่อจิ้งด้วยใบหน้าเย็นชา จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่ออธิบายกับมู่จิ่ว “เขาเป็นเพียงแค่กระดิ่งของศิษย์พี่ข้าเท่านั้น! เจ้าอย่าถูกเขาหลอกเด็ดขาด เด็กเวรนี่เป็นบรรพบุรุษของเทพหายนะ ใครพบเข้าล้วนต้องโชคร้าย! เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะเตะเขาออกจากสวรรค์!”
เขาพูดพลางยกเท้าเหยียบพื้นเตรียมก้าวมา
จื่อจิ้งรีบไปซ่อนหลังมู่จิ่ว “ถึงแม้ข้าเคยล่วงเกินท่าน ท่านก็ไม่อาจทำแบบนี้กับข้า! ข้าเพียงทำให้ท่านโดนคำสาปอย่างไม่ได้ตั้งใจเท่านั้นมิใช่หรือ? ความแค้นใหญ่หลวงปานใด ก่อนหน้านี้ท่านก็เกือบเผาข้าจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วที่วังชิงเสวียนนี่? ข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น แต่ท่านเป็นเทพชั้นสูง คิดเล็กคิดน้อยผูกใจเจ็บเอาคืนแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ? ยังคู่ควรจะเป็นเทพผู้รักษาวิถีฟ้างั้นหรือ?!”
“เจ้าเคยล่วงเกินเขา?” มู่จิ่วหันหน้าไปถามเขา
“ไม่ผิด!” จื่อจิ้งเล่าเรื่องลู่ยาทำเขาแตกและโดนคำสาปที่ติดอยู่บนร่างเขาได้อย่างไร “จะพูดอย่างไรก็เป็นเขาที่ทำข้าก่อนมิใช่หรือ? ครั้งก่อนเขาเกือบเผาข้าเป็นเถ้าถ่าน บุญคุณความแค้นควรหักล้างกันได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาคิดจะเตะข้าออกไป! เซิ่งจุนรองส่งข้ามาจับตาดูเขา เขากลับจะถีบส่งข้า!”
“จับตาดู?” มู่จิ่วหรี่ตาลงอีก “เจ้าต้องการจับตาดูอะไรเขา?”
จื่อจิ้งมองลู่ยา สายตาของลู่ยาส่องประกายดุร้าย
“พูดสิ!” มู่จิ่วจิ้มเขา
เขากระแอมก่อนพูด “เซิ่งจุนรองได้ยินว่าเขาพักอยู่ที่สวรรค์ กลัวเขาก่อเรื่อง จึงให้ข้ามาเฝ้าเขา”
มู่จิ่วมองเขา จากนั้นมองลู่ยา “จริงหรือ?”
เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว ลู่ยายังจะพูดอะไรได้อีก?
“จริง” เขาถลึงตาใส่จื่อจิ้ง
ในเมื่อจื่อจิ้งไม่กลัวตายอยากอยู่ต่อไป แบบนั้นมีหรือลู่ยาจะกลัวไม่มีโอกาสฆ่าเขา?
ข้าลู่ยาจะทำให้เขารู้ว่าอะไรเรียกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
มู่จิ่วได้ฟังว่าเขารับคำสั่งของหุนคุนมาจับตาดูลู่ยา ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
แต่เดิมนางไม่คิดให้เด็กคนนี้อยู่ต่อ ตอนนี้ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าหุนคุนส่งมา และลู่ยาก็ยืนยันอีกเสียง จะไล่ออกไปได้อย่างไร?
นั่นเป็นเทพที่ตำแหน่งสูงกว่าลู่ยาอีกนะ!
นางล่วงเกินไม่ไหว
เสี่ยวซิงได้ยินข่าวนี้กลับวางเฉย อย่างไรนางก็เคยชินกับการมีคนมาที่บ้านแล้ว และเพราะนางไม่รู้ว่าจื่อจิ้งมีนิสัยอย่างไร รู้เพียงว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง บวกกับเป็นคนที่หุนคุนส่งมา จึงดูแลต้อนรับอย่างดีตามมารยาท ถึงตอนเที่ยงยังผัดกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่างเป็นพิเศษ แล้วยังเติมน้ำแกงให้เขา
……………………………………………………