ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 279 แมวเฒ่าติดสัด
ลู่ยาสะบัดพัดในเกี้ยวหยก มองไปยังเงาร่างขาวที่หมอบอยู่บนพื้น โบกพัดอยู่นานค่อยส่งเสียง ‘อืม’ ใช้ปากที่สามารถสังหารคนทั้งเป็นได้ค่อยๆ กล่าว “แต่อย่างไรก็ไม่อาจไม่ลงโทษได้มิใช่หรือ?”
หวังหมู่สำลัก
ลู่ยาใช้พัดแหวกม่านออก ยกริมฝีปากมองบางคนที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัว ก่อนพูดอีก “ในเมื่อไม่เชื่อฟัง แบบนั้นก็ลงโทษให้นางเข้ามารับใช้ใกล้ชิดข้า”
เข้าไปรับใช้ใกล้ชิด? แบบนั้นนางจะไปเดินดูรอบๆ อย่างไร?
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมาทันที แต่เมื่อเงยได้ครึ่งเดียว กลับถูกหลิวจวิ้นดันกลับลงไป
ภายใต้การกดดันจากหลายฝ่าย เรื่องราวก็กำหนดไปแบบนี้
สระหยกที่เมื่อครู่เงียบราวกับไม่มีคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที หวังหมู่เตรียมที่นั่งพิเศษไว้ให้ลู่ยาแล้ว จากนั้นเทพเซียนที่มีตำแหน่งทั้งหลายล้วนถูกส่งขึ้นไปรับแขก มู่จิ่วถูกส่งไปหน้าเกี้ยวเพื่อรับใช้ลู่ยา ลู่ยารอจนงิ้วร้องจบ ถึงค่อยยกมือขึ้นเดินออกมาจากม่านที่เซียนหญิงรับใช้แหวกออกให้
เทพเซียนส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าเงยหน้า มีเพียงอวี้ตี้ หวังหมู่ และไท่ซ่างเหล่าจวินที่ได้ข่าวก็เร่งรุดตามมาขึ้นไปพินอบพิเทา ครั้นไท่ซ่างเหล่าจวินเห็นมู่จิ่วที่อยู่เบื้องหน้าก็พลันตกตะลึง แต่เขาหลุบสายตาไปอย่างรวดเร็ว ปีก่อนเพราะเรื่องของหลีหัง มู่จิ่วไปยังวังโตวลวี่ ครั้งนั้นถึงแม้เปลี่ยนร่างเป็นเซียนเด็ก แต่รูปร่างหน้าตายังคงเดิม ไท่ซ่างเหล่าจวินมากกว่าครึ่งคงจำนางได้
แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อันที่จริงตอนนั้นนางก็ใช้ฐานะของเซียนเด็กติดตามลู่ยา
ถึงตอนนี้มู่จิ่วก็ไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้แล้ว เทพอาวุโสเช่นเขายังไม่ใส่ใจเรื่องนี้ นางจะกลัวทำไม?
ยกขบวนอย่างยิ่งใหญ่ไปยังศาลาน้ำกลางสระหยก ตัวเรือนของศาลาน้ำลอยอยู่เหนือสระหยก ไม่มีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อ หากต้องการเข้าไปต้องอาศัยวิชาขี่เมฆเท่านั้น จึงกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าเซียนจะแสดงฝีมือข้ามทะเลเฉกเช่นแปดเซียน ท้องฟ้าผืนพิภพสงบสุขเช่นนี้ ปกติก็ไม่มีโอกาสให้แสดงความสามารถกัน
ศาลาน้ำที่ลู่ยาอยู่เปิดโล่งทุกด้านพอดี รอจนเขานั่งลง รอบสระหยกก็เริ่มมีเทพเซียนใช้ท่าทางต่างๆ บินเข้ามา ตอนแรกมีหนึ่งหรือสองคน มู่จิ่วก็ไม่รู้จักชื่อ สรุปคือร่อนลงมาอย่างมั่นคงแม้แต่เสื้อยังไม่ขยับ ดูแล้วพลังบำเพ็ญลึกล้ำเกินหยั่ง เมื่อมาอีกคนก็เช่นเดียวกัน แต่ยังใช้มือเดียวเท้าคางเอนกายบินเข้ามา
แต่ละคนมีหลากหลายรูปแบบ เหมือนกับเดินพรมแดงก็ไม่ปาน อวี้ตี้และภรรยาไว้หน้าให้มาก บางครั้งก็บอกดี บางครั้งก็ร้องเยี่ยม ลู่ยากลับนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ที่นั่งแขกด้านซ้าย
ขณะเดียวกันเพราะเหตุการณ์พลิกผันเมื่อครู่ ก็มีคนจำนวนมากรู้ว่าวันนี้มีคนโชคร้ายเพิ่มมาหนึ่งคน กลับกล้าเสียมารยาทต่อหน้าลู่ยา ดังนั้นสายตาจึงกวาดมาทางมู่จิ่ว มู่จิ่วก็ไม่อาจขยับตัว ทำได้เพียงให้พวกเขามอง แต่สายตาของพวกเขาเพิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็ถูกสายตาเย็นเยียบของลู่ยาขวางไว้
เขามาครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกคนเกี้ยวพาราสี ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้มองมาก
เดิมทีหลิวจวิ้นไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี้ แต่กังวลว่ามู่จิ่วจะก่อเรื่องโง่ๆ ก่อกวนลู่ยาอีก ดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว แต่การเข้าใกล้ครั้งนี้ทำให้เห็นลู่ยาที่นั่งขัดสมาธิลอยชายอยู่บนตำแหน่งสำคัญที่สุด หัวใจกลับเต้นจนแทบออกมาจากอก!
เทพชั้นสูงท่านนี้เขารู้สึกคุ้นตานัก นี่มิใช่ลู่หยาคู่หมั้นของมู่จิ่วหรอกหรือ?!
เขากลายเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร?!
หลังจากตกใจสักครู่ เขาขยับเข้าไปใกล้อีกหลายจั้งโดยไม่รู้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตาลายดูผิด พอได้เห็นสายตาลู่ยาจับจ้องเหล่าเซียนที่มองมู่จิ่ว และมองท่าทางที่ไม่รู้จะทำอย่างไรของมู่จิ่วอีกที บวกกับพิจารณาใบหน้าของมหาเทพลู่ที่ประทับอยู่อย่างเด่นชัดในหัวของตน ลมหายใจที่สูดถึงใต้ลิ้นของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอยากตาย
คู่หมั้นของมู่จิ่วที่แท้คือลู่ยาเต้าจู่?!
ที่แท้ก็เป็นเขา!
กัวมู่จิ่วเจ้าเด็กสมควรตาย!
มิน่าล่ะ เขาถึงรู้สึกเสมอว่าลู่หยาผู้นี้มีอะไรเก็บซ่อนไว้ ที่แท้เบื้องหลังฐานะซ่านเซียนได้แอบซ่อนฐานะเทพที่สูงศักดิ์ขนาดนี้ไว้
เขายืนลูบหน้าอกอยู่ที่เดิม ถึงค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจากไปอย่างเงียบๆ
ลู่ยามองแผ่นหลังของเขา หยิบลูกท้อใส่เข้าไปในปากก่อนเคี้ยว หน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น
มู่จิ่วไม่เห็นหลิวจวิ้น นางยืนนิ่งกุมมืออยู่ตรงหน้าท้อง มองไปยังกลุ่มเซียนหลากหลาย เหนื่อยหน่ายยิ่งนัก
แต่เดิมนางสามารถเดินเที่ยวได้อย่างอิสระ มองเทพเซียนต่างๆ อย่างเลื่อมใส เพียงลู่ยามาทุกอย่างก็สลายไป คนผู้นี้ใจคับแคบกระทั่งถึงขั้นเปิดเผยฐานะเดิมเพื่อมาจับตามอง ให้ความสำคัญกับนางมากไปแล้วกระมัง ต่อให้นางเปลี่ยนตัวเองเป็นดอกไม้ประดับอยู่บนถนนใหญ่ ก็ไม่แน่ว่าต้องมีคนอยากเด็ดกลับไปนี่!
“อยากไปเที่ยวเล่นหรือไม่?”
กำลังลอบบ่นในใจ เสียงของเขาก็ดังเข้ามาในหู
นางหันหน้าไปมอง เขากำลังคุยกับไท่ซ่างเหล่าจวินราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
กำลังพูดคุยยังส่งเสียงมาหานางได้ เขาโรคจิตหรือ?
นางกระแอมไอ ตอบด้วยเสียงในลำคอ “อยาก”
“คิดได้ประเสริฐ” เขาตอบกลับมาโดยไม่คิดแม้แต่น้อย
มู่จิ่วเกือบสำลักตาย ในเมื่อไม่คิดจะปล่อยนางไป เขาจะถามทำไม? ปั่นหัวนางเล่นรึ?
มุมปากของลู่ยายกขึ้นเล็กน้อย ดูร้ายกาจมาก เขาก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้ จะทำไม? จะกินเขาหรือ? เขาบอกนางไว้นานแล้วว่าเหล่าเซียนหนุ่มทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นพวกบ้ากาม นางกลับไม่เชื่อ โชคดีที่เขามากักนางไว้ข้างกาย มิฉะนั้น ไม่แน่ว่าอาจถูกใครหลอกไปแล้ว
ดวงตามู่จิ่วเต็มไปด้วยความโมโห
“เรียนเซิ่งจุน ฝ่าบาท เหนียงเหนียง พระโพธิสัตว์ยูไลฝอจู่แห่งชมพูทวีปมาแล้ว!”
ผู้ดูแลเร่งรุดเข้ามารายงานจากนอกประตู
มู่จิ่วได้ยินก็กังวล ยืดคอมองออกไปข้างนอก ไม่รู้มีพระโพธิสัตว์ท่านใดมาบ้าง? กวนอิมที่บรรเทาทุกข์เข็ญมาหรือยัง?
ลู่ยาได้ยินว่ายูไลมาแล้ว เขาที่ตั้งใจมาเฝ้าภรรยาแต่แรกนั้น ใจกลับชะงักไปเล็กน้อย พลันนึกถึงจุ่นถีที่เขาทำให้ตกใจหนีไป เขาลูบถ้วยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำ “เจ้าลงไปเถอะ”
มู่จิ่วคิดว่าฟังผิด พวกอวี้ตี้หวังหมู่ก็มองมา
ลู่ยามองมู่จิ่ว “ลงไปเล่นเถอะ” จากนั้นเชิดริมฝีปาก “แต่อย่าไปไกล”
อวี้ตี้ตกใจจนขยี้ตา เขาเป็นคนมีประสบการณ์ ดูจากสีหน้าคำพูดของมหาเทพ…ทำไมเหมือนแมวเฒ่าในฤดูติดสัด?
หวังหมู่กลับตอบกลับได้เร็ว รีบผลักมู่จิ่วแล้วกล่าว “ยังไม่ขอบคุณความเมตตาของเซิ่งจุนอีก?”
มู่จิ่วลอบด่าทอลู่ยาในใจว่าปู่เจ้าเถอะ ปั่นหัวนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า?! จากนั้นคุกเข่าลงไปขอบคุณ แล้วออกไปอย่างเร็วราวกับทาน้ำมันไว้ใต้เท้า
พริบตาเดียว ยูไลฝอจู่นำเหล่าเซียนมาถึงศาลาน้ำ เหวินซูผู่เสียนและท่านอื่นๆ ล้วนมาถึงแล้ว ดูท่ายูไลนั้นฉลาดหลักแหลม มาได้ครึ่งทางก็รู้ว่าลู่ยาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเข้ามาพบอาจารย์อาน้อยก่อน จากนั้นค่อยนำเหล่าพุทธะมากราบไหว้
หลังจากผ่านขั้นตอนอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไป ลู่ยาจึงบอก “พวกเจ้าทุกคนตามอัธยาศัยเถิด”
อวี้ตี้กับหวังหมู่ก็ไม่กล้าขัด รีบเรียกให้ทุกคนแยกย้ายไป
ในที่สุดรอบข้างก็ปราศจากคน ลู่ยาทักทายเล็กน้อย พูดคุยเรื่องทั่วไปกับยูไล “ปีนั้นเจ้าขัดแย้งกับจุ่นถีเพราะเรื่องของลัทธิประจิม รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงไม่เห็นเขาเลยหลังจากนั้น?”
………………………………………………………