ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 282 ใครชนข้า?
ครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้หลายรอบ นางก็มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยฐานะของหลิวหยางมีข้อสงสัย
ส่วนเรื่องที่เขาคือผูถีหรือจุ่นถีหรือไม่นั้น นางไม่กล้าคิด เพราะหากเป็นจุ่นถี ลู่ยาจะกลายเป็นอาจารย์อาของนาง…เขาที่บอกเสมอว่าเป็นคู่หมั้นของนาง ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าจุ่นถี นางต้องเรียกขานเขาว่าท่านบรรพบุรุษอย่างนอบน้อม มิฉะนั้นจะให้จุ่นถีเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
นี่มันช่าง…
สรุปคือยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าต้องสืบหาให้กระจ่างแจ้ง
แต่น่าเสียดายหลายวันนี้ยังยุ่งอยู่ นางไม่อาจปลีกตัวไปได้
“ใช่แล้ว หลิวจวิ้นรู้ฐานะของเจ้าแล้ว” คิดถึงเรื่องหน้าที่การงานก็อดนึกถึงหลิวจวิ้นไม่ได้ นางหันหน้าไปเอ่ยกับเขาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “เมื่อครู่เขาต่อว่าข้าไปรอบหนึ่ง ข้าเดาว่าครั้งต่อไปเขาเจอเจ้าคงหลบหน้าเดินหนีไป”
หลิวจวิ้นผู้นั้นแท้จริงเป็นคนดีนัก แต่ไม่รู้ว่าลู่ยาคิดเห็นอย่างไรต่อเขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลู่ยาไปหาเรื่องเขา นางบอกลู่ยาล่วงหน้าก่อนจะดีกว่า
“รู้แล้ว” ลู่ยาตอบอย่างกลัดกลุ้ม
ตอนนี้เขาปวดหัวกับเรื่องที่คนรวมทั้งเรือนทั้งหมดหายไปจากหงชาง ไหนเลยจะมีใจสนผู้อื่น
มู่จิ่วเดินเข้าไปตีหน้าเขาเบาๆ ก่อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อ
งานเลี้ยงลูกท้อจัดทั้งหมดสามวัน หมายความว่าทัพทหารสวรรค์ต้องเฝ้าอยู่ที่นอกสระหยกเป็นเวลาสามวันเช่นกัน
สองวันที่เหลือมู่จิ่วไม่สนใจจะเข้าร่วมแล้ว ถึงแม้ได้ยินว่าข้างในยังมีการร่ายรำทำเพลง และยังมีเหล่าเทพเซียนทั้งหลายแสดงอิทธิฤทธิ์วิชา
หลิวจวิ้นก็ไม่ได้ไปอีก แต่เดิมเขาเพียงแค่ไปรายงานตัวและพูดคุยกับสหายเก่าจำนวนหนึ่ง เมื่อทักทายกันเสร็จย่อมต้องกลับไปปฏิบัติงาน
ดังนั้นหลายวันนี้จึงพามู่จิ่วเดินลาดตระเวนไปทั่ว
ตอนแรกที่พบว่าลู่หยาก็คือลู่ยา เขาทั้งสับสนหวาดกลัวและตื่นตกใจอย่างยิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนกลางคืนกลับไปครุ่นคิดดีๆ แต่ก่อนลู่ยาก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับเขา ต่อไปเพียงทำเป็นไม่รู้อย่างที่มู่จิ่วบอกก็พอ คิดดูแล้วก็ไม่มีอุปสรรคอะไร
สงบใจได้เช่นนี้แล้ว เมื่อครุ่นคิดอีกที ลู่ยาที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่อยู่ในสวรรค์ชั้นสูง กลับยินยอมซ่อนชื่อเสียงเรียงนามมาอยู่กับเจ้าหน้าที่สวรรค์ตัวเล็กๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาเขาอย่างเต็มใจ ก็อดบังเกิดความรู้สึกประทับใจไม่ได้ กลางดึกเขาลุกขึ้นหยิบปิ่นหยกขาวออกมา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นานในค่ำคืนนั้น
วันถัดมามู่จิ่วพบว่ารอบดวงตาของเขาดำคล้ำ เข้าใจไปว่าโต้รุ่งในงานเลี้ยง จึงให้เขากลับไปพักผ่อนอย่างเอาใจใส่ เรื่องการลาดตระเวนนางผลัดกันไปกับสหายร่วมงานก็ได้ แต่กลับถูกเขาทำตาขวางใส่ มลายความมีน้ำใจดีของนางจนสิ้น
ตอนบ่ายหวังหมู่ส่งเซียนหญิงรับใช้มาเรียกนางเข้าวัง เทียบกับความยุ่งวุ่นวายในวันแรก วันนี้สบายขึ้นมากแล้ว หวังหมู่รอนางเข้ามาค่อยจิ้มหน้าผากนางก่อนด่าทอ “เจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก ข้าให้ระมัดระวังเจ้ากลับไม่เชื่อฟัง เมื่อวานดีเลย เจอเซิ่งจุนเข้าจังๆ เลยล่ะสิ? ปกติเห็นเจ้าพึ่งพาได้ ทำไมเวลาสำคัญถึงได้ก่อเรื่องให้ข้า!”
หวังหมู่นึกถึงภาพอันน่าหวาดหวั่นเมื่อวาน ใจก็ยังคงเต้นรัว คนผู้นั้นแห่งวังชิงเสวียนเป็นเจ้านายที่หัวแข็ง ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ท่าทางแบบมู่จิ่วเมื่อวาน ไม่ต้องพูดถึงขั้นตีนางตายกับที่ หากทำลายหนทางเซียนของนาง ทำให้นางกลับร่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย พลังบำเพ็ญสองพันปีสำหรับคนแบบพวกเขาไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับนางแล้ว นั่นไม่ง่ายเลย!
มู่จิ่วถูกจิ้มหน้าผากจนจะทะลุแล้ว รู้ว่าหวังหมู่เป็นห่วงนาง จึงไม่กล้าเถียง รอจนนางด่าจบค่อยเข้าไปนวดไหล่ให้ “คำสอนของเหนียงเหนียงข้าน้อยจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ คราวต่อไปไม่กล้าทำผิดแบบนี้อีกแล้ว หากทำผิดอีก เหนียงเหนียงก็เตะข้าน้อยออกไปเลย”
หวังหมู่ถลึงตาใส่นางพลางร้องเหอะ ก่อนถอนหายใจ ไม่สนนางอีก
พูดตามจริง หวังหมู่ในใจมู่จิ่วไม่ต่างกับน้าที่กลับมารวมญาติในชาติก่อน ถึงแม้จะปากร้ายก็เข้าอกเข้าใจจิตใจคนและเรื่องราวอย่างกระจ่าง แต่ใจกลับอ่อนยวบยาบ เจ้าทำผิดอะไร นางสามารถด่าทอจนเจ้าอยากร้องไห้ แต่หากเจ้าเสียใจ นางก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
บางคนไม่ชอบอยู่กับคนแบบนี้ แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าคนจำพวกนี้อบอุ่น
มูจิ่วนับเป็นคนแบบหลัง เพราะนางมักรู้สึกเสมอว่าโลกนี้คนที่จิตใจดีมีอยู่มากกว่า
ทำงานเช่นนี้ไปหลายวัน วันนี้เทพเซียนแต่ละทิศทยอยแยกย้ายกลับไป มู่จิ่วก็วางแผนไปลาพักงานกับหลิวจวิ้นเพื่อกลับภูเขาหงชาง
ตอนบ่ายถอนการเฝ้าระวังรอบนอกสวรรค์ อวี้ตี้ยึดตามกฎปีก่อน ตบรางวัลแก่ทัพทหารสวรรค์และค่ายบัญชาการแต่ละระดับ มู่จิ่วกอดลูกท้อหลายลูก ยังมียาบำรุงหลินจือและอื่นๆ กลับบ้านไปพร้อมตะวันตกดิน เพิ่งเลี้ยวเข้าตรอกตรงประตูลานบ้าน ทันใดนั้นก็มีลมรุนแรงพัดมาที่ด้านหลัง จากนั้นเนื้อก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนนางจนล้มลงไปบนพื้นหินหยก!
“ใครไม่ดูตาม้าตาเรือ?!”
มู่จิ่วมองลูกท้อที่กลิ้งกระจายไปทั่ว อดมีโทสะไม่ได้ ยังไม่ทันลุกขึ้นมา ตรงหน้าปรากฏเงาขาววูบวาบ ก้อนเนื้อนั้นพลันพุ่งเข้ามาร้องหงิงๆ คลอเคลียหน้านาง
“อาฝู?!”
มู่จิ่วพลันตื่นเต้นจนชาไปทั้งตัว! ก้อนเนื้อสีขาวตรงหน้าเป็นสีขาวหิมะทั้งร่าง แขนซ้ายยังใส่ปลอกแขนสีแดงและทองที่แสดงถึงความเป็นลูกหลานราชา หัวกลมเนื้อแน่นขนฟู ดวงตาสีฟ้าหม่นเคลือบไปด้วยประกายน้ำ กอดคอนางร้องหงิงๆ ไม่หยุด นี่ไม่ใช่อาฝูแล้วจะเป็นใคร?!
นางเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำลาย ลุกขึ้นมาจากพื้นประคองหัวเขาไว้ “เป็นเจ้าจริงๆ! อาฝู เจ้ากลับมาแล้ว?!”
อาฝูเข้าไปใกล้นางก่อนนั่งบนพื้น ก้มหัวมาเลียใบหน้านาง
เสี่ยวซิงฝึกวิชาทุกวันหนึ่งชั่วยามเหมือนปกติ จากนั้นออกมาเตรียมมื้อเย็น เจอจื่อจิ้งที่ระเบียงทางเดิน กำลังโอ้อวดว่าเคยฆ่าปีศาจกระต่ายพลังบำเพ็ญพันปีสามสิบตัวตายในครั้งเดียวกับรุ่ยเจี๋ย จึงถือโอกาสส่งตะกร้าถั่วลันเตาให้เขาปอก จากนั้นลากซ่างกวนสุ่นไปแปลงผักเพื่อดูว่าคืนนี้จะกินอะไร
เดินไปเดินมาซ่างก่วนสุ่นก็หยุด ยังไม่ทันให้นางได้เปิดปากถาม เขาก็ยืนตรงขึ้นมาอย่างตื่นตัว “อาฝูกลับมาแล้ว!”
เสี่ยวซิงเกาหู เข้าใจไปว่าฟังผิด ตอนนี้เองเสียงคำรามที่น่าเกรงขามของเสือก็ลอยเข้ามาจากประตูลานบ้าน! จากนั้นค่อยเป็นเสียงอันตื่นเต้นยินดีของมู่จิ่ว “เสี่ยวซิง! รุ่ยเจี๋ย! อาฝูกลับมาแล้ว!”
คนทั้งลานบ้านล้วนออกมา เสี่ยงซิงพุ่งออกไปราวกับลูกธนู อาฝูก็เห็นนางแล้ว เขาพุ่งเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เสือแข็งแกร่งกับกระต่ายน่ารักกอดกันอย่างอบอุ่น!
ซ่างกวนสุ่นล้อมเข้ามา ร้องเสียงเหมือนเป็ดอย่างยินดี
รุ่ยเจี๋ยพุ่งเข้าไปกอดเอวอวบๆ ของอาฝู “เจ้ากลับมาแล้ว! ข้าคิดถึงเจ้า! เจ้าไม่อยู่แล้วน่าเบื่อยิ่งนัก!”
อาฝูปล่อยเสี่ยวซิงก่อนเลียนาง เสียงหงิงๆ ยิ่งดังออกมา
จื่อจิ้งเดินเข้ามาถาม “เขาเป็นใครเนี่ย?”
มู่จิ่วไม่สนใจเขา รีบปรึกษาเรื่องซื้อเนื้อกับเสี่ยวซิงทันที
ยังเป็นซ่างกวนสุ่นที่มีน้ำใจตอบไป “นี่คืออาฝู หลานราชาของอาณาจักรโหย่วเจียง”
“อาณาจักรโหย่วเจียง?” จื่อจิ้งล้อมเข้ามาดูอาฝู
ลู่ยาเดินออกมากล่าว “อาฝู ทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว? พ่อแม่เจ้าล่ะ?”
……………………………………