ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 286 ปู่เจ้าเถอะ!
พูดจบ กระดิ่งสำริดใหญ่ดุจเนินเขาลอยขึ้นกลางอากาศ พลันได้ยินบทสวดเหมือนกับเสียงสวดมนต์แต่ไม่เหมือนเสียงสวดมนต์ ราวกับการบรรเลงดนตรีแต่ก็ไม่เหมือนเช่นเดียวกัน ดังก้องขึ้นมาอย่างประหลาดและกังวาน จากนั้นคนในรัศมีร้อยลี้ที่สัมผัสกระดิ่งสำริดนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะบรรยาย!
ตัวอย่างเช่นกระบี่เล่มหนึ่งแต่เดิมต้องแทงทะลุร่างของฝั่งตรงข้าม กลับโชคร้ายถูกคนด้านข้างจับมัดเท้าไว้! เห็นอยู่ว่าจะสามารถกัดคู่ประมือตายได้แล้ว แต่เพียงอ้าปากกลับถูกหินจากฟ้าไกลยัดเข้าไปในคอ! ทั้งที่ช่วยกันโจมตีทั้งหน้าหลังของศัตรูได้ แต่คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะพลันเคลื่อนออกไป คนทั้งสองหน้าหลังแทงทะลุอกกันเอง…
เสือลายเหลืองหลายพันตัวล้วนล้มตาย ในสนามรบพลันปรากฎไอมงคลที่อยากจะบรรยาย! เพราะไม่จำเป็นต้องให้เผ่าเสือขาวลงมือ ลำพังเสือลายเหลืองเองก็ทำลายตัวเองสิ้นแล้ว…
“ไม่กลัวที่จะบอกเจ้า แม้แต่เจ้าของวังชิงเสวียนคนนั้น ปู่เจ้ายังเล่นงานมาแล้ว ข้าจะจัดการพวกเจ้าไม่ได้เชียวหรือ?!”
มู่จิ่วมองกระดิ่งที่หยิ่งยโสนั่นตาค้าง
สีหน้าของลู่ยากลับดำเหมือนก้นหม้อไปแล้ว
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สติปัญญาและการเตรียมพร้อมรบของเผ่าเสือขาวนับได้ว่าสูงพอควร ถึงแม้พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องพลิกเป็นดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร แต่โอกาสไม่อาจสูญเสีย เวลาไม่อาจหวนกลับ นายพลหลายคนส่งสัญญาณมือ นำทหารกล้าโจมตีกลับอย่างพร้อมเพรียงทันที
เซวียนหยวนฮุ่ยที่แต่เดิมถือขวานมองเหยียดและต่อสู้กับทหารบริวารเห็นสถานการณ์นี้ ก็รีบเร่งพลังวิญญาณ ร่ายวิชาโจมตีกลับ แต่ไม่มีประโยชน์ คำสาปของกระดิ่งหุนหยวน แม้แต่ลู่ยายังต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงแก้ได้ เขาเป็นเพียงแค่เสือลายเหลืองจะทำอะไรเขาได้เล่า?
“ถอยทัพ!”
เมื่อเห็นท่าทางไม่ดี เขารีบออกคำสั่งพลันขึ้นขี่งูแดงทะยานไปกลางอากาศทันที จากนั้นกลับทิศทาง ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคนเลว จะหนีไปไหน!?”
เหลียงจีบันดาลโทสะ พุ่งตัวไปทางที่เซวียนหยวนฮุ่ยหายไปทันที!
อาฝูเห็นแม่ไปแล้ว ย่อมต้องตามไปด้วย อวี๋เหิงนำนายพลสองนายและทหารหนึ่งกองตามไป พริบตาเดียวก็หายไปในป่า
“ตอนนี้พวกเราไปได้แล้ว!” ลู่ยาพูดกับมู่จิ่ว จากนั้นหยิบน้ำเต้ายาวประมาณฉื่อหนึ่งออกจากกระเป๋าข้างเอวแล้วส่งให้นาง “ซื่ออินคงได้รับบาดเจ็บแน่ หลังจากพวกเจ้าเจอเขาแล้ว ให้เอาเขาใส่ในน้ำเต้านี้ ข้างในยังมีดอกบัวทองอีกหนึ่ง สามารถสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยได้” เขาพูดพลางหยิบดอกบัวทองมีก้านขนาดสองชุ่นให้นาง “ตอนเห็นเขาเพียงต้องใช้พลังวิญญาณกระตุ้นมันก็พอ”
มู่จิ่วรับมาก่อนถาม “เจ้าไม่ไปหรือ?”
“ข้าก็ไป แต่หากข้าพลัดหลงกับเจ้า เจ้าก็ใช้สิ่งนี้ควบคุมเขาได้”
มู่จิ่วพยักหน้าเข้าใจ เก็บของก่อนเรียกเมฆออกมา
จื่อจิ้งเพิ่งเก็บกวาดผลงาน เช็ดเหงื่อเต็มหน้าผากกลับมา กำลังจะถามว่าพวกเขาไปไหน? กลับถูกลู่ยาจับโยนขึ้นไปบนเมฆ
“พวกเราไปสังหารเซวียนหยวนฮุ่ย! อีกครู่หนึ่งให้เจ้าอยู่กับอาจิ่ว หากเกิดเรื่องกับนางข้าจะเผาเจ้าทันที!”
“ปู่เจ้าเถอะ! ข้าเพิ่งสู้เสร็จกลับมา…”
ลู่ยาเร่งพลังวิญญาณทันที พริบตาเดียวเมฆใต้เท้าก็บินจากป้อมกำแพงเมืองไปไกลแล้ว
ตอนนี้มู่จิ่วได้ยินเสียงด่าทอตลอดทาง เพียงแต่นางใจเย็น ทำเหมือนยุงบินหึ่งๆ คิดอีกทีคาถาเมื่อครู่ของเขาเกือบทำลายศัตรูจนสิ้น ดังนั้นจึงยินดีอย่างมาก แม้แต่ความโกรธที่เหลืออยู่เล็กน้อยก็ยังหายไปแล้ว
เดินทางไม่นานก็ตามพวกเหลียงจีทัน เหลียงจีชี้ไปข้างหน้า “เดินทางไปอีกพันลี้จะเป็นที่ตั้งกองทัพของเซวียนหยวนฮุ่ย ซื่ออินต้องอยู่ที่นั่นแน่!”
มู่จิ่วรีบหยิบขลุ่ยล่าเซียนออกมาเป่าบทเพลงท่อนหนึ่ง เห็นด้านหน้าไม่ไกลมีเสียงสะท้อนกลับมา เสียงของเซวียนหยวนฮุ่ยลอยมาแผ่วๆ นางจึงบอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราช่วยคนย่อมสำคัญกว่า เจ้าทิ้งคนไว้ให้ข้า พวกเราแยกกันไป ข้ากับจื่อจิ้งและอาฝูไปยั้งเซวียนหยวนฮุ่ยไว้ พวกเจ้าทั้งสามพาคนไปหาซื่ออิน!”
เหลียงจีไม่มีความเห็น รีบเรียกอวี๋เหิงมาก่อนออกคำสั่ง “เช่นนั้นก็ขอฝากเจ้าขาวน้อยกับเซิ่งจุนและแม่นางแล้ว!”
พูดจบก็จุมพิตหัวอาฝู ก่อนมุ่งไปอีกทาง เร่งความเร็วมุ่งไปยังหุบเขาด้านหน้า
มู่จิ่วรอจนเห็นพวกเขาหายไปในเมฆหมอกใต้หุบเขา ถึงได้รู้ว่าที่แท้ทัพหลวงของเซวียนหยวนฮุ่ยก็อยู่ในหุบเขานี้
อวี๋เหิงเคยตามซื่ออินไปตั้งทัพอยู่นอกเมืองเดือนกว่า คุ้นเคยกับสถานการณ์ของศัตรูและพื้นที่นั้นมาก เขาเอ่ย “นี่เป็นเขตของโหย่วซยง โหย่วซยงถูกหนานเซียงทำลายแล้ว เซวียนหยวนฮุ่ยจึงนำทหารมาตั้งทัพที่นี่ได้ ตอนหนานเซียงบุกโหย่วซยงพวกเราก็เคยส่งคนมาช่วย ราชาของโหย่วซยงเข้าใจว่าพวกเราถือโอกาสมาปล้นสะดม จึงด่าทอพวกเราต่อหน้า”
“จนสุดท้ายวังของพวกเขาถูกเซวียนหยวนฮุ่ยทำลายราบเป็นหน้ากลอง มีคนเล่าลือว่ายังพบจดหมายเตรียมขอความช่วยเหลือจากโหย่วเจียงในอกของราชาโหย่วซยง” พูดถึงตรงนี้เขาอดกัดฟันไม่ได้ “หากตอนนั้นเขาไม่ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ อาณาจักรก็คงไม่สูญสิ้น ตอนนี้สกุลหัวซวีนับว่าได้บทเรียนแล้ว และเฝ้าระวังทางตะวันออกเฉียงเหนือของหนานเซียงไว้อย่างแน่นหนา แต่หากไม่กำจัดเซวียนหยวนฮุ่ยก็ยังคงเป็นภัยในภายหลัง”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็ถามจื่อจิ้ง “เมื่อครู่เจ้าได้ชนเซวียนหยวนฮุ่ยหรือไม่?”
“เขาอยู่ห่างจากข้าขนาดนั้น ข้าจะชนกับเขาได้อย่างไร?” จื่อจิ้งมองค้อนนาง เขาเพียงเก่งเรื่องสยบมารกำราบปีศาจ ไม่ได้มีกำลังต่อสู้เท่าไหร่นัก ลู่ยาโดนคำสาปของเขาเพราะไม่ได้ระวังตัว หนำซ้ำเซวียนหยวนฮุ่ยดุร้ายขนาดนั้น ถึงแม้เขาพุ่งเข้าไปก็ใช่ว่าจะชนได้
แต่คำพูดนี้ไม่อาจบอกนางได้ เพราะแบบนั้นมันช่างน่าขายหน้านัก
ทว่าเขาไม่พูดมู่จิ่วก็ดูออก หลายวันนี้ไม่รู้ว่าถูกลู่ยาหิ้วเป็นลูกเจี๊ยบไปกี่รอบ หากเขาสามารถรบได้ ดิ้นรนได้ จะไม่ดิ้นรนหรือ? ไม่แน่ว่ากระทั่งซ่างกวนสุ่นเขาก็สู้ไม่ได้ แต่คำสาปโชคร้ายของเขาใช้ได้มาก คิดถึงสารรูปของลู่ยาที่ถูกเขาจัดการจนหน้าดำผมยุ่งเหยิงในตอนแรกแล้ว ก็ไม่อาจดูแคลนพลังพิฆาตของคำสาปโชคร้ายนี้ได้โดยแท้
ระหว่างที่พูดคุยก็มาถึงหุบเขาแล้ว กลางหุบเขาเละเทะ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ จานชามเสบียง และสิ่งของอื่นๆ ตกกระจายไปทั่ว แต่กลับไม่มีเสียงการเคลื่อนไหว เมื่อดูผนังหิน ถ้ำหินขนาดใหญ่ไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลืออยู่เช่นกัน “ดูเหมือนพวกมันจะแยกย้ายไปแล้ว” ลู่ยาหยักนิ้วทำนาย ก่อนพูด
กำลังคิดจะเดินไปดูข้างหน้า เห็นเพียงบนพื้นมีคนปรากฎตัว เป็นพวกเหลียงจีนั่นเอง
“เซวียนหยวนฮุ่ยล่ะ?” มู่จิ่วถาม
“กลับไปหนานเซียงแล้ว! ข้างบนมีกรงหิน ด้านในมีเลือดของเสือ ข้าตรวจสอบแล้ว เป็นที่ที่เคยขังซื่ออินไว้ไม่ผิดแน่!”ลมหายใจของเหลียงจีกระชั้น ในดวงตาปรากฏม่านน้ำ
“ยังรออะไรอีก? พวกเราไปหนานเซียง!”
ลู่ยาตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ขี่เมฆนำไปก่อนทันที
หนานเซียงห่างจากที่นี่สองพันลี้ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเซวียนหยวนฮุ่ยไปทางไหน ตลอดทางมาไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลย! หากไม่ใช่เหลียงจีกับอาฝูรู้ถึงกลิ่นอายของซื่ออินได้ และลู่ยาก็มั่นใจว่าเขากลับไปยังวัง นางต้องเข้าใจว่าตามผิดทางแน่!
…………………………………………………………