ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 290 ของที่เจ้าชอบกิน
พริบตานั้นนางไม่รู้ควรพูดอะไรดี หรือเขาก็คิดลักพาตัวนางเช่นเดียวกัน? หรือคิดจะทำอะไรอย่างอื่นกับนาง? นางพินิจมองไปรอบๆ โดยพลัน…มองไปก็ยิ่งหมดหวัง ไม่รู้ว่าห้องนี้คือที่ไหน แม้แต่ประตูหน้าต่างก็ไม่มี! นางยังไม่สำเร็จวิชาทะลุผ่านผนัง ไม่มีประตูหน้าต่าง มันต่างกับกักขังนางไว้ตรงไหน!
มองหาดอกบัวทองที่เคยอยู่ในมือ โชคดีที่มันยังอยู่ ตกลงบนฟูกที่นอนที่นางนั่งอยู่เมื่อครู่
นางรีบพุ่งเข้าไปถือมันไว้ จากนั้นหันไปเผชิญกับคนตรงหน้า
คนผู้นี้หันมาอย่างเชื่องช้า พร้อมทั้งเปิดลูกแสงด้านข้างอีกสองลูก แสงสว่างราวกับระเบิดส่องกระทบใบหน้าเขา ส่องให้เห็นจมูกตรงดั่งพู่กันและคิ้วดกหนาทันที!
“เจ้า…”
เมื่อเห็นใบหน้านี้ มู่จิ่วยิ่งตกตะลึง!
เพราะนางเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน…นางเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน!
ภาพนี้ช่างลึกซึ้งนัก ตอนที่พลังของนางระเบิดออกที่คุนหลุนตะวันออกและเกือบจะแทงลู่ยา ลู่ยาที่นางเห็นก็คือคนตรงหน้านี้เอง!
นี่มันเรื่องอันใดกัน…
“รู้สึกว่าข้าคุ้นตาใช่หรือไม่?” เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างฉากกั้นลม ท่าทางผ่อนคลายสบายยิ่งนัก มองนางทั้งรอยยิ้มแต่กลับไม่พูดต่อ เพียงมองไปรอบๆ ก่อนหยิบส้มผลหนึ่งจากถาดผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาปอก ระหว่างที่ปอกอยู่นั้นเขาไม่ได้พูดหรือทำอย่างอื่นเลย ราวกับความคิดทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ส้มเท่านั้น
มู่จิ่วไม่อาจขยับตัว ห้องนี้แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มี นางเองไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน และไม่คิดว่าจะสามารถหนีออกไปได้ด้วย
ประเด็นคือคนผู้นี้ประหลาดเกินไปแล้ว เขาไม่มีท่าทีจะสังหารนาง ทั้งยังไม่มีท่าทีจะกดดันให้นางทำอะไร
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องลักพาตัวข้ามา?” นางกลืนน้ำลายก่อนถาม
“ข้าไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามา” เขายังปอกส้มอย่างตั้งใจ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบยิ่งนัก “เป็นเซวียนหยวนฮุ่ยขโมยวิญญาณร้ายของข้าแล้วทำให้เจ้าสับสน จากนั้นเจ้าก็หล่นลงมา”
ไม่ได้ลักพาตัวนาง?
นางมองเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัย
เขายิ้มก่อนพูดอีก “หากต้องการลักพาตัวเจ้า ทำตั้งแต่ตอนที่อยู่ภูเขาไท่ก็ได้แล้ว”
ใจของมู่จิ่วเกือบจะกระดอนออกมาจากคอ!
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
“เจ้าคิดจะทำอะไร!”
นางพลันรู้สึกว่าตนเองถามออกไปได้โง่เขลานัก ทั้งที่มีคำถามอยากถามเขามากมาย แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ออกเสียนี่!
เขาไม่ได้ตอบนาง แต่ตั้งใจปอกส้มในมือจนเสร็จ แล้วจึงส่งส้มที่ปอกแล้วให้นาง ไม่ได้ใช้มือ แต่ให้มันลอยไปกับอากาศ “กินเถิด ส้มหลิงหนานที่เจ้าชอบกิน”
มู่จิ่วพลันตกใจจนดวงตาจะหลุดออกจากเบ้า!
เขายังรู้อีกว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน?!
สวรรค์ หรือเขาจะเป็นพ่อแม่ในชาติก่อนของนาง?!
มู่จิ่วไม่กล้าขยับ ตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ นางไม่อาจทำอะไรโดยไม่ใคร่ครวญก่อน
“เจ้ากลัวมียาพิษหรือ?” เขากอดอกนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางถามนาง ตั้งแต่ปรากฏตัวออกมาจนบัดนี้ การแสดงออกของเขาเป็นธรรมชาติดุจน้ำไหลเมฆาคล้อย “เจ้าเป็นถึงหัวเสินแล้ว ถึงแม้มีพิษก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้
มู่จิ่วเลียริมฝีปากล่าง ตอนนี้นางเครียดจนริมฝีปากแห้งลอก
“เจ้า…” ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังคิดว่าควรพูดอะไรสักหน่อย “พูดเช่นนี้ เจ้าคือคนที่ลักพาตัวเหลียงจีใช่หรือไม่?
เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ครุ่นคิดแม้แต่น้อย
มู่จิ่วไม่วางใจ จู่ๆ ไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้? คดีของหลีหังกับเฟยอี คดีของตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋น เป็นเจ้าที่วางแผนใช่หรือไม่? เจ้ามีเป้าหมายใดกันแน่?”
เขาก้มหน้าลงครุ่นคิด ก่อนพูด “นับได้ว่าเป็นข้าทำ ทั้งยังไม่อาจนับได้ว่าข้าทำ ส่วนเรื่องเป้าหมาย ต่อไปเจ้าจะรู้เอง”
มู่จิ่วชะงัก ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อะไรเรียกว่านับได้ว่าทำและนับได้ว่าไม่ได้ทำ?
แต่ราวกับเขาไม่มีความคิดจะอธิบาย เขามองส้มที่ถูกปอกเปลือกแล้วซึ่งลอยอยู่ตรงหน้านาง พลันเก็บกลับมา บิมันแยกออกจากกัน จากนั้นวางเรียงเป็นแถวต่อหน้านาง “หรือเจ้าชอบกินแบบนี้? แม้แต่ใยขาวบนผิวส้มข้าก็ลอกออกให้เจ้าได้ แต่คงไม่ยอมให้เจ้าไม่ไว้หน้าข้าแล้ว”
เขายิ้มน้อยๆ สีหน้าอ่อนโยนใจดีนัก ถึงแม้เป็นคำพูดสุดท้ายนั้น ดูไปแล้วก็ไม่มีการข่มขู่ใดๆ
มู่จิ่วอยากจะบ้า!
นี่คือท่าทางอันใด? เขาโรคจิตหรือ! นางไม่ได้พูดว่าอยากกินส้ม และก็ไม่ได้อยากให้เขาลอกใยส้มให้ ทั้งยังสั่งห้ามไม่ไว้หน้าเขาอีก…กินส้มจะมีเกียรติขนาดไหนกันเชียว! ทำไมเขาต้องใช้น้ำเสียงหลอกเด็กแบบนี้พูดกับนางด้วย?!
นางเลียริมฝีปากอีก “หากข้าไม่ไว้หน้าเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันหัวเราะออกมา ก้มหน้ามองปลายเท้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มเผยฟันขาวเรียงตัวสวย “ไม่ไว้หน้าก็ไม่ไว้หน้า ข้าจะทำอย่างไรได้? หรือจะให้ทำเหมือนเจ้าเป็นส้ม กลืนลงท้องไปเช่นนั้น?”
มู่จิ่วหวาดกลัวเข้าไปใหญ่!
ยามเขามองนาง มุมปากมีรอยยิ้มประดับตลอด ขี้เล่น หยอกล้อ จนปัญญา…นางสามารถอ่านข้อมูลจากสีหน้าของโรคจิตผู้หนึ่งได้มากมายขนาดนี้เชียว! นางคงบ้าไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ได้กลัวมากเหมือนก่อนหน้านี้ และยังมีความคิดที่จะชิมส้มผลนี้ด้วย…
นางล้มเลิกความคิดนั้น มองเขาอย่างระแวดระวังอีกครั้ง
เขากลับหุบยิ้มก่อนเอ่ย “หากเจ้าไว้หน้าข้าและกินมัน ข้าจะส่งเจ้าขึ้นไป”
ส่งขึ้นไป…
เขาไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้นาง?
นางมองเขาอย่างสงสัย “จริงหรือ?”
“ข้าเคยหลอกเจ้าเสียเมื่อไหร่?” เขามองนางด้วยสายตาล้ำลึกเยี่ยงน้ำ
มู่จิ่วรู้สึกหลังคอเย็นวาบ อดกอดแขนตนเองแน่นไม่ได้
แต่เมื่อนางครุ่นคิดถึงคำพูดเขาอย่างละเอียด…เขาเคยหลอกนางเสียเมื่อไหร่? นางไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน แน่นอนว่าเขาต้องไม่เคยหลอกนาง แต่สายตาคู่นั้นไม่น่าหลอกใครได้จริงๆ
ทว่าถึงแม้เขาวางยาพิษสังหารนางไม่ได้ นางก็ไม่อาจไม่ระวัง ประวัติอาชญากรรมของเขาน่ากลัวออกเช่นนั้น
ตอนนี้นางไม่มีใจถามหาความจริงกับเขา ความสงสัยทั้งหลายล้วนไม่อยากถามแล้ว นางคิดแต่เพียงกลับไปอยู่ข้างกายลู่ยาเท่านั้น! มีเพียงกลับไปอยู่ข้างเขาจึงจะปลอดภัย…
นางมองส้มนั้นอยู่นาน ลองถามดู “หากข้าไม่กิน เจ้าส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?”
เขาหลุดยิ้ม ยันเข่าทั้งสองข้างลุกขึ้น “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
พูดจบเขาก็เดินเข้ามาหา ยื่นมือออกมาจูงนาง
มู่จิ่วเก็บมือไปข้างหลังทันที พูดอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นคนมีพันธะแล้ว”
ดวงตาของเขาส่องประกาย แต่ไม่ดึงดัน หันหลังกลับไปยืน จากนั้นหมุนตัวกลับมาอีก “เช่นนั้นข้าไม่ส่งเจ้าแล้ว พวกเขาอยู่ข้างบน เจ้าขึ้นไปเองเถิด”
พูดจบเขาเงื้อมือขึ้น ทั้งห้องกลับมามืดมิดอีกครั้ง! มู่จิ่วรู้สึกว่าร่างตนเองลอยขึ้น ตอนแรกยังรู้สึกว่าความเร็วคงที่ ต่อมาก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วจนตัวนางเองรู้สึกว่าใกล้เกินขอบเขตไปแล้ว!
……………………………………………