ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 292 มีเรื่องขอร้อง
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มู่จิ่วก็พูดไม่ออกเช่นกัน “ตอนนั้นข้าเห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน! ข้ายังจำได้อีกว่าเคยจำเขาผิดเป็นเจ้าตอนอยู่ที่เขาคุนหลุนตะวันออก! ใบหน้าของเจ้าที่ข้าเห็นตอนนั้นคือใบหน้าเขา!”
ลู่ยามองนาง นิ่งเงียบอยู่นาน
มู่จิ่วค่อนข้างเชื่องช้ากับการเรื่องของความรู้สึกมาตลอด นางรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้ประหลาด ไม่พบว่าท่าทางกับการพูดของเขาที่มีต่อนางมีอะไรพิเศษ แต่ลู่ยากลับมองออก คนผู้นี้อาจรู้จักนาง และเหมือนกับเคยผูกพันธ์กันมาก่อน สำคัญคือ…ทำไมเขาถึงได้ปอกเปลือกส้มให้นาง?
เขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน? และยังไม่ทำให้นางลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังให้ตามที่นางต้องการ?
ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ลู่ยาพลันรู้สึกได้ถึงสิ่งอันตรายอย่างแท้จริง
คนแบบไหนถึงปฏิบัติต่อหญิงสาวด้วยท่าทางแบบนี้? สามารถปฏิบัติต่อหญิงตรงหน้าด้วยความใกล้ชิดเอาใจใส่เช่นนี้? หากมิใช่เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าและอันตรายกว่า ย่อมหมายความว่าเขามีความรู้สึกพิเศษต่อนาง!
“เจ้ารู้จักเขา?” เขาถาม
“ไม่รู้จัก!” มู่จิ่วมองเขาแน่นิ่ง “ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”
ลู่ยาได้ยินนางพูดแบบนี้ก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้เขาเชื่อนาง แต่ตอนนี้เขาต้องการคำยืนยันจากปากนางเพื่อปลอบประโลมใจ
แต่หากคนผู้นี้ไม่เคยปรากฏกายในชีวิตนาง เขาจะมีพฤติกรรมเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?
อีกอย่าง เขาซึ่งมู่จิ่วมองเห็นตอนพลังระเบิดออกที่เขาคุนหลุนเป็นคนเสื้อเขียวผู้นั้น และอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเรื่องหลีหังและเฟยอี รวมถึงบุญคุณความแค้นของตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าว นี่หมายความว่าเมื่อตัดเรื่องคดีที่เขาทำออกไป ขณะเดียวกันที่มาของมู่จิ่วกับคนผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง?
…หากแต่ก่อนพวกเขารู้จักกันจริง เช่นนั้นอาจหมายความว่าเขาเคยเห็นนางก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
“ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นอาจเป็นเช่นนี้ ท่านลืมไป คราวก่อนเขาก็เคยให้ยารักษาวิญญาณแก่ข้า?” เหลียงจีสังเกตเห็นความกังวลของลู่ยา เข้าใจว่าเขาคิดไปว่ามู่จิ่วมีความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับคนผู้นั้น กลัวว่าระหว่างพวกเขาจะเกิดความเข้าใจผิดกัน จึงรีบเข้ามาอธิบาย “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อันตรายอย่างมาก”
ลู่ยาหันหน้าไปมองมู่จิ่ว เห็นนางมองเขาอย่างกังวลดังคาด
มู่จิ่วรู้ว่าเขาขี้หึงนัก คนเสื้อเขียวผู้นี้มีความอ่อนโยนหลายอย่าง ไม่แปลกที่ลู่ยาจะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่อาจปิดบังเช่นกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงหวังว่าเขาจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจในตอนนี้
“อาจไม่เป็นเช่นนั้น” ลู่ยาตบๆ หัวนาง มองเหลียงจีพลางพูด “ข้าเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้อาจจะรู้จักนาง ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจยังมีเรื่องใดอยู่อีก” ที่จริงบนโลกนี้ คนที่สามารถหลบหนีการตามล่าของเขาได้มีไม่มากนัก และความเป็นไปได้ที่จะตกหลุมรักหญิงคนเดียวกันก็ไม่มาก แต่ตอนนี้เรื่องแบบนี้กลับปรากฏออกมาพร้อมกัน เขาจึงสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยามนี้มีเพียงรู้ที่มาที่ไปของมู่จิ่วถึงจะสามารถจัดการพลังที่อยู่ในร่างกายนาง ไม่ว่าอย่างไรต้องควบคุมหรือกำจัดพลังนี้ให้ได้ มิฉะนั้นนางอาจถูกมันทำร้ายกลับได้ตลอดเวลา
ดังนั้นในใจของเขาไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการไขเรื่องราวของนางให้กระจ่าง ส่วนคดีที่อยู่ในมือก็แค่เกี่ยวข้องกับคนรอบตัวนางพอดี จึงไม่อาจไม่จัดการเท่านั้น
มู่จิ่วได้รับคำเตือนของเขาก็นึกขึ้นมาได้ “ข้าก็รู้สึกว่าตอนเห็นเจ้าเป็นคนอื่นที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกนั้นช่างแปลกประหลาดนัก คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีอยู่จริง เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุแน่! อีกทั้งเขายังยอมรับว่าคนที่ข้าพบตรงภูเขาไท่ก็คือเขา แต่ก่อนพลังของข้าจะระเบิดที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก เขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ข้ารู้สึกว่าเขาโผล่มาหลังจากที่พลังของข้าระเบิดไปแล้ว!”
ลู่ยาพยักหน้า “เป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่ พลังของเจ้าสะเทือนฟ้าดิน ไม่แน่ว่าอาจรับรู้ถึงเจ้าได้ในตอนนั้น” เขาพูดอีก “สรุปคือเรายังไม่รู้แน่ชัดถึงเป้าหมายของคนผู้นี้ ก่อนข้าจะสืบหาที่มาที่ไปของเจ้าและควบคุมพลังเจ้าได้ เวลาเจ้าเจอเขาต้องระวังให้มาก ดีที่สุดคืออย่าเข้าใกล้”
มู่จิ่วพยักหน้ารับซ้ำๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องมืดสนิทนั้น แม้แต่โรคกลัวที่แคบก็แทบจะถูกกระตุ้นออกมา ไหนเลยจะยังกล้าพูดว่าอยากเข้าใกล้เขา? ตอนนี้เรื่องของถิ่นกันดารทางเหนือก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นใหม่ ถึงแม้ภายหลังเขาคิดก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอีก นางก็คงต้องผลักให้เป็นภาระหลิวจวิ้นและทัพทหารสวรรค์แล้ว
“ห้องมืดเมื่อครู่ประหลาดมาก ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน?” นางยังคงหวาดกลัว
ลู่ยาก็สงสัยยิ่งนัก บนฟ้าดินนี้ไม่มีที่ที่เขาไปไม่ถึง ทำไมสถานที่ซึ่งนางเอ่ยเขาถึงหากลิ่นอายของนางไม่เจอ? กลับเหมือนพบเขตพลังที่แข็งแกร่ง…คิดถึงตรงนี้เขาก็พูดขึ้น “เจ้ารั้งอยู่พักผ่อนก่อน ข้าจะไปสืบหาอีกที” ก่อนพูดอีก “จื่อจิ้ง ตามข้ามา!”
พูดจบยังไม่ทันก้าวออกจากประตู เขาก็หิ้วจื่อจิ้งหายตัวไปแล้ว
เหลียงจีละสายตากลับมาหามู่จิ่ว ก่อนกล่าว “เจ้าดูสิ ในสายตาของเซิ่งจุนมีแต่เจ้า”
มู่จิ่วหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง
หลังหัวเราะเสร็จนางก็เงียบไป นางไม่กล้าคิดเลยจริงๆ หากเมื่อครู่คนเสื้อเขียวต้องการรังแกนาง นางจะยังเจอหน้าลู่ยาได้หรือไม่
และทำไมเขาถึงไม่รังแกนาง? ไม่รู้ว่านางคิดมากไปเองหรือไม่ อย่างไรก็รู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อนางค่อนข้างพิเศษ…นางไม่ต้องการให้คนอื่นนอกจากลู่ยาเกี้ยวพานาง นางมีลู่ยาก็พอแล้ว แต่คนในห้องมืดนั้น ความเป็นมิตรอันพอเหมาะพอดีของเขากลับไม่ทำให้นางรู้สึกต่อต้าน…
“เอาละ” เหลียงจีมองความกังวลของมู่จิ่วออก แต่กลับไม่รู้ว่านางกังวลอะไร วางมือไปบนไหล่นางพลางพูด “มีเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าจะกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็หาเจ้าเจอได้”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นาง เรื่องนี้นางเชื่อ
ลู่ยาไม่อาจแยกจากนางได้แล้ว
หากมีวันหนึ่งนางสิ้นอายุขัยหรือกลายเป็นเถ้าถ่านไปจริง นางคิดว่าเขาคงเก็บรวมรวบนางที่กลายเป็นเถ้าถ่านขึ้นมากระมัง? กลับกันหากเป็นลู่ยา…แน่นอนว่าไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรสามารถแยกพวกเขาออกจากกัน
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้ารับปากได้หรือไม่?”
เหลียงจีนั่งลงใกล้มู่จิ่ว พลันหรี่ตามองนาง ยิ้มพลางพูด
“เรื่องใด?” มู่จิ่วดึงความสนใจกลับมา พลางจิบชา
เหลียงจีอุ้มอาฝูขึ้นมา ถอนหายใจพลางพูด “ข้าอยากให้อาฝูอยู่กับพวกเจ้าต่อ ตอนกลับมาที่นี่แรกๆ เขาก็ร่าเริงดีอยู่ แต่ช่วงหลังกลับไม่มีความสุขนัก มีวันหนึ่งข้าเห็นเขาใช้อุ้งเท้าวาดภาพบนพื้น วาดเจ้ากับเซิ่งจุน และยังมีกระต่ายตัวหนึ่ง ต้าเผิงอีกตัวหนึ่ง หนำซ้ำมีจิ้งจอกเก้าหางอยู่กับเขา ภาพนั้นทำให้ข้ากับพ่อของเขาหลั่งน้ำตา”
“ข้าคิดแล้วคิดอีก เขาอยู่กับพวกเจ้าคงดีกว่า ไม่ว่าเพื่อตัวเขาเองหรือเพื่ออนาคตการเป็นลูกหลานของราชวงศ์ การตายของเซวียนหยวนฮุ่ยทำให้หนานเซียงพังทลาย ภายหลังโหย่วซยงและหนานเซียงต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโหย่วเจียง พวกเราต้องการผู้สืบทอดที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์มากกว่านี้”
……………………………………………