ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 293 กดดันเหมือนกัน
มู่จิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่นางขอร้องจะเป็นเรื่องนี้ นางยินยอมให้อาฝูกลับมาหาพวกตน?
“เรื่องนี้เจ้าทำใจได้หรือ?” นางถาม
“ไม่มีเรื่องใดปล่อยวางไม่ได้ ไม่ใช่จะไม่ได้เจอเขาสักหน่อย เพียงแค่ไม่ได้เห็นทุกวันเท่านั้น ก่อนหน้านั้นข้าปรึกษากับพ่อแม่ของซื่ออินแล้ว พวกเขาก็สนับสนุน ทั้งยังกังวลว่าเซิ่งจุนจะไม่รับปาก” เหลียงจียิ้มพลางกอดอาฝูเข้ามาในอ้อมอก ก่อนพูด “ข้าคิดว่าอาฝูเป็นครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว”
ตอนนี้เองที่มู่จิ่วเพิ่งสังเกตว่าเหลียงจีเรียกอาฝูว่า ‘อาฝู’ ไม่ใช่เจ้าขาวน้อย
“เพียงเจ้ายินยอม แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” นางมองอาฝู ใจที่สับสนเมื่อครู่พลันผ่อนคลายลง นางไม่มีวันลืมคืนนั้นซึ่งนางทะเลาะกับลู่ยาที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก เป็นอาฝูที่ตามนางมาอย่างไม่ลังเลและแบกนางกลับบ้าน
“อาฝูปกป้องพี่สาวได้”
อาฝูพูดด้วยเสียงเด็กน้อย และยกอุ้งเท้าขึ้นกอดเข่านาง ความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาอ่อนโยนราวกับน้ำ
ลู่ยาพาจื่อจิ้งกลับไปสืบค้นวังหลวงหนานเซียงรอบหนึ่ง เขาใช้พลังวิญญาณตรวจดูตรงตำแหน่งที่มู่จิ่วร่วงลงไป กลับไม่พบว่าด้านใต้มีอะไรผิดปกติ จึงอดยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิมไม่ได้
การปรากฏตัวของคนเสื้อเขียวเหมือนกับหินที่ตกลงในใจเขา ไม่ใช่แค่ก่อกำเนิดคลื่นเพียงแค่สามสี่ครั้งก็จะหยุดลงได้
ลู่ยาอยากปลอบใจตนเองหลายครั้งว่าชายเสื้อเขียวไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อมู่จิ่ว เหมือนกับที่เหลียงจีบอกว่าเขาแค่เป็นคนเช่นนั้น หรือเพียงมีแผนอื่นกับมู่จิ่ว แต่ใจของลู่ยากลับยังแขวนอยู่กลางอากาศ ลู่ยาพบว่าตนเองไม่อาจยอมรับความเป็นไปได้ที่ยังมีชายอื่นอีกคนหมายตามู่จิ่ว
…เขาเห็นแก่ตัวนัก สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่เรื่องมีคนมารักนาง แต่กลัวว่านางจะรักคนผู้นั้นเช่นกัน ทว่าเป็นเพียงความทรงจำที่ถูกผนึกไว้เท่านั้น ทุกอย่างถูกผนึกไว้ทั้งหมด
ดังนั้นการที่เขาออกมาสืบค้นดูก็คงเป็นเพียงข้ออ้างกระมัง?
ใจของเขาสับสน ผู้อื่นกลับจำชายเสื้อเขียวไม่ได้เลย มีเพียงเฉพาะมู่จิ่วเท่านั้นที่จำได้ชัดเจน ไม่ว่าเขาจะหาเหตุผลอย่างไร นี่ก็เป็นข้อสงสัยที่เด่นชัด เขารู้สึกว่าอย่างน้อยคนเสื้อเขียวผู้นี้ก็รู้จักมู่จิ่ว รู้สึกพิเศษต่อนาง เรื่องนี้ต้องไม่ผิดแน่
อีกทั้งเขายังจงใจปรากฏตัวในภาพมายาของนางตอนพลังระเบิดออก เช่นนั้นเขาย่อมต้องเกี่ยวข้องกับตัวนาง และยังเกี่ยวข้องกับพลังในร่างนางด้วย?
คิดอีกที เขายอมรับอยู่บ้างว่าคดีแต่ละคดีล้วนมุ่งไปเส้นทางที่อันตราย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างผลกระทบที่ไม่อาจยับยั้งได้ คดีก่อนหน้านี้ทั้งสองก็แล้วไปเถิด ชายผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่หลังจากเรื่องที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกเขาก็เผยตัวออกมาชัดเจนขึ้น อย่างน้อยเขายังเคยพบหน้ามู่จิ่วที่ภูเขาไท่ครั้งหนึ่ง
ทว่าตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงบัดนี้ เขาย่อมมีโอกาสลงมือกับมู่จิ่วหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ทำ และเมื่อรู้ว่าอาฝูอยู่กับมู่จิ่ว เขาก็ให้ยาปกป้องวิญญาณแก่เหลียงจีไม่ให้นางตาย ราวกับรอพวกเขามาช่วยนางอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อเขารู้ว่าอาฝูอยู่กับพวกมู่จิ่ว เช่นนั้นย่อมคาดเดาได้ว่าพวกเขาต้องตามหาเหลียงจีเป็นแน่ หากเขาต้องการหลบซ่อน ทำไมจึงไม่ย้ายหนีไป?
ถึงแม้เป็นเพราะต้องหลอมวิญญาณร้ายจึงย้ายหนีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถพาเหลียงจีหนีไป
หากเขารู้จักมู่จิ่วจริง เช่นนั้นเขาช่วยให้นางเลื่อนขั้นเซียนเร็วหน่อย จะเป็นไปไม่ได้แม้แต่นิดเลยหรือ?
แต่ลู่ยากลับไม่คิดว่าชายผู้นั้นก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพียงเพื่อช่วยนางเลื่อนขั้นเซียน มิฉะนั้นแล้วเขาจะหลอมวิญญาณร้ายไปทำไมกัน? เขาจะเอาของวิเศษมากมายเหล่านั้นไปทำไม? และยังฝึกพลังอะไรริมบึงน้ำดำที่คุนหลุนตะวันออกเมื่อห้าพันปีก่อน?
หากเขาทำเพียงเพื่อช่วยให้มู่จิ่วเลื่อนขั้นเซียน เช่นนั้นการลงแรงครั้งนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย ไม่ว่าความสัมพันธ์ของชายผู้นั้นและนางจะไปถึงขั้นไหนก็ตาม
ลู่ยามองวังที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดลอยอบอวล ตกเข้าสู่ความสับสน
เขาพลันไม่รู้ว่าถ้ากล่าวในมุมของมู่จิ่ว ชายเสื้อเขียววางแผนเรื่อง ‘เหล่านี้’ หรือจะพูดว่า ‘สถานการณ์วันนี้’ สุดท้ายอาศัยเรื่องอะไรทำให้มันดำเนินไป…
ทันใดนั้น เขารู้สึกไม่อยากรู้เรื่องความลับชาติกำเนิดของมู่จิ่วขึ้นมา…
บางทีเป็นอย่างตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว เขาสามารถทุ่มเทกำลังปกป้องนางให้สะสมบุญกุศลเลื่อนขั้นเป็นเซียน และมีอนาคตที่ดีร่วมกับนาง พวกเขาสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้กำเนิดลูกสักสองสามคน ดูพวกเขาเล่นหยอกล้อกันในวังชิงเสวียน…ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเข้าใจว่าความกลัวคืออะไร แต่ตอนนี้เขากลับกลัวว่าหลังความจริงของนางเปิดเผยแล้ว เขาจะสามารถรับได้หรือไม่
…ใช่แล้ว เขาเพิ่งมีความรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก
ทางด้านโหย่วเจียง วันนี้เมฆทะมึนที่ปกคลุมถิ่นทุรกันดารทางเหนือมานานพลันสลายไป ฟ้ากระจ่าง พระอาทิตย์ตกย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานไปครึ่งฟ้า
การตายของเซวียนหยวนฮุ่ยทำให้แต่ละพื้นที่ในอาณาจักรต่างยินดีปรีดา ผู้คนถึงได้รู้ว่าหลานราชาที่เพิ่งกลับมาสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยอย่างกล้าหาญเพียงใด ทั้งยังบุกทะลวงดงศัตรูไปช่วยบิดากลับมาด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยกรูออกมาบนถนนและป่าวประกาศข่าวดีนี้
ในวังหลวงก็รื่นเริง ราชาเสือขาวต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับลู่ยาอย่างยิ่งใหญ่
ยามที่ลู่ยากลับมาพระอาทิตย์ตกดินก็ย้อมฟ้าไปจนถึงยอดทิวเขาแล้ว ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงกลองและประทัด เหล่าหนุ่มสาวล้วนยิ้มยินดีอยู่ในเมือง ส่วนพวกเด็กน้อยถือดอกไม้ไฟวิ่งไปบนถนน
มู่จิ่วบอกเรื่องที่เหลียงจีให้อาฝูกลับไปกับพวกเขาแก่ลู่ยาในงานเลี้ยง เขาจิบเหล้าตอบรับคำหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วตื่นเต้นยินดีไปตามพวกเขา เหลือบสายตามองลู่ยาที่คุยเล่นกับราชาเสือขาวแล้วรู้สึกว่าต่างจากปกติอยู่เลาๆ
ลู่ยาตัดสินใจพักอยู่อีกหนึ่งวันก่อนกลับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอยากสืบหาเรื่องเกี่ยวกับชายเสื้อเขียวผู้นั้นให้มากขึ้น
แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับมู่จิ่ว เขาไม่อยากให้นางเห็นว่าตนใส่ใจท่าทางที่ชายผู้นั้นมีต่อนาง ถึงแม้ปกติเขาชอบคิดเล็กคิดน้อย แต่เขากับนางต่างรู้ดี อาการหึงหวงเล็กๆ เหล่านั้นเป็นเพียงสีสันชีวิตคู่ ถึงแม้จะขัดแย้งและไม่พอใจ แต่ไม่กระทบกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาอย่างแท้จริง
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน การปรากฏตัวของชายเสื้อเขียวทำให้เขาระแวดระวังขึ้นอย่างน่าประหลาด
มู่จิ่วรู้สึกเพียงว่าลู่ยาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เข้าใจไปว่าเขาเหนื่อย ตอนแรกยังตั้งใจจะตอบรับคำชวนไปชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเหลียงจีและเข้าร่วมงานเต้นรำรอบกองไฟบนภูเขา แต่เมื่อเห็นเช่นนี้จึงปฏิเสธไป หลังมื้ออาหารก็กลับไปยังหอเล็กกับลู่ยา
จื่อจิ้งก็ถูกพวกาชาเสือขาวขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษเพราะพวกลู่ยา ครอบครองโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว ราชาเสือขาวยังส่งอาฝูมาอยู่ด้วยเป็นพิเศษ
เห็นถาดเนื้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าอาฝู จื่อจิ้งรู้สึกดูแคลนยิ่งนัก เมื่อมาถึงโหย่วเจียงเขาถึงได้รู้ว่า ที่แท้ห้องที่ว่างอยู่ในบ้านกัวเก็บไว้ให้เสือตัวหนึ่งเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและไม่เป็นธรรมยิ่งนัก ถึงแม้เขาไม่ใส่ใจว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนในบ้านล้วนมีห้องพัก มีเพียงเขาเท่านั้นที่นอนใต้ชายคาบ้าน ช่างเกินไปแล้ว!
“ขอเจรจากับเจ้าสักเรื่อง” เขาดึงถาดเนื้อของอาฝูออกไป
อาฝูไม่พอใจกระดิ่งที่กล้าด่าทอลู่ยา คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจากบ้านมาได้ไม่นาน รุ่ยเจี๋ยกลับมีเพื่อนใหม่แล้ว เขาไม่ชอบใจนัก
“เรื่องอันใด?” เขาเหลือบตามอง
……………………………………………