ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 294 อาจารย์หายไป
“หลังจากกลับไปสวรรค์แล้วแบ่งพื้นที่เตียงให้ข้าครึ่งหนึ่ง ข้าอยากอยู่ห้องเจ้า” จื่อจิ้งยกเท้าขึ้นเหยียบบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง แสดงท่าทางหากเจ้ากล้าไม่เชื่อฟังพี่ชาย ก็อย่าหาว่าเขาไม่ไว้หน้า
เป็นเรื่องนี้เอง เข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดเสียอีก
อาฝูเหลือบมองเขา เลียน้ำแกงในถาดก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าจะแย่งรุ่ยเจี๋ยกับข้าหรือไม่?”
“จิ้งจอกน้อยตัวนั้นหรือ? เจ้าสนิทกับเขา?” จื่อจิ้งถาม
อาฝูไม่ตอบ ไม่ญาติดีกับเจ้าก็พอแล้ว
“นี่ไม่ดีหรือไร? เจ้าไปอยู่ห้องเดียวกับเขาเลย แล้วยกห้องของเจ้าให้ข้า ว่าอย่างไร?” จื่อจิ้งรู้สึกว่าตนเองฉลาดมาก คนฉลาดเช่นเขาเหตุใดจึงไม่มีคนเห็นคุณค่า? พวกเขาไม่มีตาหรือ?
ฟังแล้วมีเหตุผลยิ่งนัก อาฝูก้มหน้าครุ่นคิด เขาย้ายไปอยู่กับรุ่ยเจี๋ยย่อมสามารถเล่นกับเขาได้ตลอดเวลา และเฝ้าระวังว่าจื่อจิ้งจะแย่งชิงรุ่ยเจี๋ยกับตนอย่างไร
เขาก้มหน้าลงขอบถาดเนื้อ เลื่อนมันเข้ามา เอ่ยว่า “เอาละ” ก่อนพูดอีก “เช่นนั้นเจ้าจะกลับไปเมื่อไหร่?”
ถึงแม้อยู่กับรุ่ยเจี๋ยก็ดี แต่กระดิ่งนี่ไม่อยู่ด้วยมิใช่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?
“ข้ายังไม่ไป!” จื่อจิ้งดื่มเหล้า เผ็ดร้อนจนต้องแลบลิ้นออกมา “ข้ารับคำสั่งของเซิ่งจุนมา ต้องคุมความประพฤติของอาจารย์เจ้า และนำตัวอาจารย์ของมู่จิ่วกลับมาก่อนถึงจะกลับไปได้”
“อาจารย์ของพี่สาว?” อาฝูนึกถึงหลิวหยางที่อ่อนโยนผู้ป้อนยาเซียนให้เขา “เขาไปไหนแล้ว?”
“ลู่ยาทำให้เขาตกใจหนีไปแล้ว!” จื่อจิ้งก้มหน้าลงกินข้าว
ตกใจหนีไป? อาฝูคาบกระดูกชิ้นใหญ่ไว้ในปาก ไม่ได้กินมันและไม่ได้วางลงไป
ลู่ยาออกเดินทางในเช้าวันถัดมา มู่จิ่วช่วยเหลียงจีเยียวยารักษาทหารผ่านสงคราม เมื่อวานทั้งอาณาจักรล้วนยินดี ผลกระทบจากสงครามจึงปรากฏออกมาในวันนี้ เป็นปัญหาของอาณาจักรอันดับแรก
หนานเซียงกำราบโหย่วซยงไว้ได้แล้ว วันนี้โหย่วเจียงทำลายหนานเซียงจนสิ้นซาก สามอาณาจักรย่อมรวมเป็นหนึ่ง แต่ก่อนกำลังทหารมีเพียงหนึ่งอาณาจักร บัดนี้ขยายออกเป็นสามเท่า จากนั้นต้องแยกจัดการคนของโหย่วซยงและเสือลายเหลืองของหนานเซียง รวมทั้งเผ่าพันธุ์อื่นๆ ตัดสินใจว่าไม่อาจให้แต่งงานร่วมกันได้ จึงเลือกวางแผนจัดการอย่างเร่งด่วนมาก
ส่วนเรื่องที่เหลือคือต้องระวังไม่ให้เกิดสงครามกับอาณาจักรอื่นที่คิดอาศัยโอกาสชิงหนานเซียงและโหย่วซยง เรื่องเหล่านี้ต้องการกำลังความสามารถมาก การที่เหลียงจีบอกว่าต้องการผู้สืบทอดที่ยิ่งฉลาดและมีความสามารถจึงเป็นเรื่องมีเหตุผล
แต่เรื่องที่มู่จิ่วทำได้นั้นมีจำกัด นางไม่เข้าใจเรื่องในอาณาจักร จึงไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมวางแผนการจัดการอาณาจักรได้ มิสู้กลับไปเร็วหน่อย ไม่ให้พวกเขาต้องคอยแบ่งเวลามาดูแลนางจะดีกว่า
เช่นนั้นแล้ว หลังจากลู่ยากลับวังมาตอนบ่าย พวกเขาจึงพาอาฝูกลับสวรรค์ไป
ตอนจะจากไปอาฝูอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่อารมณ์ของทุกคนดีไม่เลวนัก คอยปลอบใจเขาตลอดเวลา เสือน้อยจึงไม่ร้องไห้
เพิ่งเข้าไปตรงปากถนนของประตูบ้าน เขาก็ก้าวเท้าวิ่งเข้าไป ใช้อุ้งเท้าผลักประตูที่ไม่ได้ลงกลอนก่อนร้องเรียก “เสี่ยวซิง!”
เสี่ยวซิงที่กำลังร้อยเข็มอยู่ตรงระเบียงทางเดินได้ยิน เข็มเกือบจะทิ่มเข้านิ้ว ครั้นเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นเสือขาวที่พูดได้แล้วเอียงคอมองนางอยู่ด้านหน้าก็ตกใจทันที!
“อาฝู?!”
“อาฝูอยู่ไหน?” หัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากหลังต้นท้อ รุ่ยเจี๋ยกระโจนมาจากหลังต้นไม้ เมื่อเห็นอาฝูก็ทิ้งหมากกระดานในมือ วิ่งเข้าไปหาทันที!
หมากกระดานกระเด็นไปโดนใบหน้าซ่างกวนสุ่น เขาจึงส่งเสียงร้องอย่างโกรธเคือง “เจ้าจิ้งจอกน้อยอยากฆ่ากันก็บอกมาตรงๆ!”
แต่รุ่ยเจี๋ยที่เข้าไปหาอาฝูย่อมไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร อาฝูกลับมาแล้ว รุ่ยเจี๋ยไม่จำเป็นต้องฆ่าเวลากับซ่างกวนสุ่นอีก!
“เด็กน้อยยิ่งนัก!”
จื่อจิ้งกอดอกหน้าเชิดขึ้นฟ้า วิ่งผ่านพวกเขาไปยังลานด้านหลัง
เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว เสี่ยวซิงก็อดถามความเป็นไปไม่ได้ มู่จิ่วจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เสี่ยวซิงกุมอกก่อนเอ่ย “อันตรายเช่นนี้เชียว!” นางอยู่ที่สวรรค์ทุกวัน ความบาดหมางร้ายแรงที่สุดที่นางเคยเห็นคือการทะเลาะกันของอิ่นเสวี่ยรั่ว หยางอวิ้น และอวี๋เสี่ยวเหลียนที่ลานจื่อหลิง นอกจากนั้นก็สงบสุขมาตลอด ไหนเลยจะมีความโหดร้ายเช่นนี้?
เมื่อเปรียบเทียบแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
มู่จิ่วไหนเลยจะไม่คิดแบบนี้? ถึงแม้อยู่ที่นี่แล้วปวดหัวไม่น้อย แต่อย่างไรช่วงเวลาที่สงบสุขก็มีอยู่มาก ทัพทหารสวรรค์ก็ไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างที่นางจินตนาการไว้ ถึงแม้ทุกครั้งที่ทำคดีจะมีเรื่องหนักใจไม่น้อย แต่ยังดีที่มีลู่ยาคอยช่วยเหลือจนคลี่คลายคดีสำเร็จ
เสี่ยวซิงส่งชามน้ำแกงให้นาง และส่งอีกชามเพื่อให้นางส่งให้ลู่ยา ก่อนเรียกเหล่าเด็กน้อยมากินอะไรสักหน่อย
มู่จิ่วยกน้ำแกงไปยังด้านในโถง ตอนผ่านห้องอาฝู นางพลันถอยหลังกลับมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
ในห้องนั้น จื่อจิ้งม้วนผ้าห่มของอาฝูเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังนำผ้าห่มของตนเองปูไว้บนเตียงเรียบร้อย เขาทำความสะอาดสิ่งของรกรุงรังบนโต๊ะพลางพูดไป “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้องนี้เป็นของข้าแล้ว!”
“ใครบอกเจ้าเนี่ย?” มู่จิ่วไม่อยากเชื่อ
“ข้าตกลงกับเสือน้อยเรียบร้อยแล้ว!” จื่อจิ้งเอ่ยพลางส่งผ้าห่มของอาฝูให้มู่จิ่ว “ฝากเจ้าเอาไปหน่อย!”
พูดจบก็ปิดประตูลง ทั้งยังลงกลอนอีก!
มู่จิ่วสำลักจนเกือบหายใจติดขัด!
“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่! ที่นี่คือบ้านข้า!”
“ข้าเป็นของวิเศษของเซิ่งจุนรอง หากต่อจากนี้เจ้าไปสวรรค์อันสูงส่ง ต้องการคบหากับวังจิตกระจ่าง ไม่แน่ว่าอาจต้องร้องขอข้า!”
…ตลกแล้ว!
มู่จิ่วโกรธจนเกือบกระอักเลือด!
ชั่วครู่หนึ่งจึงไปวางน้ำแกงที่ห้องลู่ยาก่อนอุ้มผ้าห่มไปหาอาฝู
อาฝูกำลังเล่าเรื่องต่างๆ ให้รุ่ยเจี๋ยฟังอยู่ที่ห้องของจิ้งจอกน้อย มู่จิ่วเดินเข้าไป วางผ้าห่มลงก่อนถาม “อาฝู เรื่องของจื่อจิ้งนั่นเป็นอย่างไรกันแน่! เจ้าให้เขาเข้าไปอยู่ห้องเจ้าหรือ?”
อาฝูมองรุ่ยเจี๋ย หลบไปอยู่ข้างเขาก่อนเอ่ย “ข้าอยากอยู่กับรุ่ยเจี๋ย”
มู่จิ่วชี้เขา พูดไม่ออกอยู่นาน!
เจ้าเด็กขี้แพ้ ไม่รู้ว่าห้องในบ้านนี้ไม่พออยู่ แล้วยังให้เขาเอาเปรียบแบบนี้อีก!
อาฝูเห็นนางโกรธ จึงรีบออกมาหมอบอยู่บนพื้น เอาหัวอ้วนๆ ถูนาง “เขาบอกว่ารออาจารย์ตามหาอาจารย์ของพี่สาวเจอก็จะกลับแล้ว อยู่ที่นี่ไม่นานหรอก รอเขากลับไปข้าก็ย้ายกลับแล้ว”
“ตามหาอาจารย์ข้า?” มู่จิ่วอึ้ง หันมาถามทันที “อาจารย์ข้าไม่ได้อยู่ที่หงชางหรือ? ทำไมลู่ยาต้องตามหาเขา?”
อาฝูก้มหน้าพูด “จื่อจิ้งบอกว่าอาจารย์ทำให้อาจารย์ของพี่สาวตกใจหนีไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน”
ลมหายใจมู่จิ่วติดอยู่ที่ลำคอ สูดไม่เข้า จะพ่นออกมาก็ทำไม่ได้…
ลู่ยาทำให้หลิวหยางตกใจหนีไปแล้ว?
มู่จิ่วอ้าปากค้างอยู่นาน พลันหมุนตัวไป พุ่งทางประตูอย่างรวดเร็วราวสายลม
“พี่สาว!” อาฝูเห็นนางจากไปเลยรีบตะโกนเรียกแล้วตามออกไปเช่นกัน
………………………………………