ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 295 เจ้าคนระยำ!
มู่จิ่วออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ ตรงไปยังอมรโคยานทวีป ทุ่มเทกำลังทั้งหมดขี่เมฆไป เพียงครึ่งชั่วยามก็เห็นหงชางอยู่ไกลๆ แล้ว จึงเร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้าอีกหลายลี้ ความว่างเปล่าบนภูเขาหงชางทำให้นางตกตะลึงอีกครั้ง…เรือนที่ก่อสร้างอย่างสวยงามตรงไหล่ภูเขาไหนเลยจะยังอยู่? ห้องสนครวญของหลิวหยางหายไปแล้ว ถ้ำเมฆาคล้อยของนางก็เช่นกัน ถ้ำของพวกมู่หัวมู่อวิ๋นก็ไม่อยู่!
ศิษย์พี่ศิษย์หลานล้วนหายไปหมด!
ทั้งภูเขาหงชางราวกับป่าเขาเขียวชอุ่มที่ไม่มีคนอยู่เลย แม้กระทั่งขั้นบันไดที่พวกเขาใช้เดินขึ้นภูเขามาหลายร้อยพันปีก็หายไปแล้ว!
มู่จิ่ววิ่งไปยังตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำเมฆาคล้อยของนาง พบเพียงปากถ้ำที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำหนาเตอะ บนลำต้นหลิวใหญ่ที่หน้าปากถ้ำยังมีตะไคร่น้ำเช่นกัน ด้านในถ้ำมีหัวเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนฟูฟ่องโผล่ออกมาแถวหนึ่ง เป็นฝูงกระต่ายเทามาทำรังอยู่ พวกมันยื่นหน้าออกมาดู ไม่มีร่องรอยมนุษย์เคยใช้ชีวิตอยู่แม้แต่น้อย!
กลับไปที่ตำแหน่งของห้องสนควรญอีกครั้ง ตรงนั้นกลับไม่มีต้นไม้อะไร แต่เต็มไปด้วยพุ่มไม้
“อาจารย์…”
นอกจากเสียงสะท้อนของนางในภูเขาก็มีเพียงเสียงลมพัดต้นไม้ พวกหลิวหยางหายไปแล้วจริงๆ!
“พี่สาว!”
อาฝูไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้จึงตามนางมาอย่างกังวล
มู่จิ่วตามหาในรอบรัศมีแปดร้อยลี้ก็ยังไม่พบ
ประหลาดนัก พวกเขาไปไหนกัน?
ทำไมลู่ยาถึงมาที่นี่? เขามาทำอะไร!
“อาจิ่ว!”
พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา มู่จิ่วกัดฟันเบิกตากว้าง หมุนกายไปเจอลู่ยาลงมายังพื้นตรงหน้านางพอดี
“ที่จริงข้าคิดจะสารภาพกับเจ้าอยู่พอดี…”
ลู่ยาฝืนพูดออกมา เขารีบตามมาทันทีเมื่อรุ่ยเจี๋ยมารายงานกับเขา ครั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง เขาก็รู้สึกขนลุกชันบ้างแล้ว!
“ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!” มู่จิ่วพูดกับเขาด้วยความโกรธ “เจ้าทำอะไรกับอาจารย์ข้ากันแน่!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ!” ลู่ยาพยายามอธิบาย “ข้าเพียงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่จินเซียนธรรมดา จึงมาดูว่าแท้จริงเขาเป็นใคร และพบว่าเขาอาจจะเป็นจุ่นถีศิษย์คนโตของศิษย์พี่รองข้า จากนั้นเขาก็หายตัวไป!”
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “ข้าไม่ได้ทำอะไรเขาจริงๆ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องหนีไป และไม่รู้ว่าทำไมต้องซ่อนตัวจากพวกเรามานานหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ข้ากำลังตามหาเขาอยู่ จื่อจิ้งมาหาข้าเพราะเรื่องนี้ แต่เดิมข้าคิดจะตามหาเขาให้เจออย่างเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยบอกเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้ากระดิ่งสารเลวนั่น…”
มู่จิ่วไม่ได้ไล่ต้อนเขา กลับพูดอย่างตกใจ “เจ้าหมายความว่าเขาคือจุ่นถีเต้าเหรินจริง? คือศิษย์พี่ที่ร่วมกันสร้างลัทธิประจิมในตอนนั้น? และยังแปลงเป็นผูถีจู่ซือผู้ซึ่งถ่ายทอดวิชาให้ซุนหงอคง?”
เช่นนี้หมายความว่าคำพูดของซุนหงอคงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล?
หลิวหยางคือจุ่นถี ซุนหงอคงไม่ได้เข้าใจผิด?
เช่นนั้นทำไมเขาต้องอำพรางฐานะที่แท้จริง? ทำไมต้องผนึกตนเองให้เป็นเพียงจินเซียนด้วย?
หลิวหยางอาจารย์ของนางกลับเป็นจุ่นถีที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้น…
ที่แท้นางก็เป็นหลานศิษย์ของหุนคุน!
ลู่ยากุมขมับอย่างจนปัญญา “ตอนนี้ข้อสันนิษฐานเรื่องจุ่นถีเชื่อถือได้ เพราะของวิเศษทั้งสามชิ้นของจุ่นถีล้วนอยู่ในมือหลิวหยาง และพวกเจ้าก็ฝึกฝนพลังสายเสวียนหลิง”
“ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่! สิ่งใดเรียกว่าเชื่อถือได้เชื่อถือไม่ได้!” มู่จิ่วไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ดีนัก แม้แต่สำนักของนางก็หายไป วันหน้าออกจากทัพทหารสวรรค์แล้วจะให้นางไปที่ไหน? คิดถึงจุดนี้นางก็อดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ ฟันกรามเกือบบดกลายเป็นผง ไม่ว่านางจะเป็นศิษย์ของใคร ก็ไม่มีเหตุผลถึงขนาดสำนักก็หายไปหมดกระมัง?
“ประเด็นคือข้ายังไม่ได้ยืนยันกับเขาด้วยตนเอง ข้าก็กลัวว่าหากเข้าใจผิดจะทำให้เจ้าโกรธ” ลู่ยารีบอธิบาย “หลังจากเขารู้ว่าข้ามาหา เขาก็ซ่อนตัวไปทันที สิ่งที่ข้าคิดไม่ตกคือทำไมเขาต้องหลบหลีกจากข้า? ข้าเจอตัวเขาแล้วอย่างชัดเจน เขามีความจำเป็นอะไรต้องแอบซ่อนจากข้า?”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันชะงัก สายตาเปลี่ยนไปประหลาด
“ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่อยากเจอเจ้า!” มู่จิ่วต่อว่าเขา “เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าตาดีแล้วทุกคนจะอยากเจอเจ้าหรือ?!”
“ไม่ใช่…” ลู่ยามองนาง อยากจะพูดอะไรแต่กลับอึกอัก
มู่จิ่วยังโกรธต่อไป
ลู่ยาชะงัก พูดดีๆ กับนาง “เขาเป็นศิษย์รักของศิษย์พี่ข้า ข้าไม่เคยรังแกเขามาก่อน อายุของพวกเราห่างกันไม่มาก ข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งเขาไม่ได้หลบซ่อนจากข้าเพียงคนเดียว ตอนนี้ไม่ใช่ซ่อนตัวแม้แต่กับเจ้าหรือ?”
มู่จิ่วไม่ได้ยินคำนี้ยังดี พอถูกคำพูดนี้ของลู่ยาทิ่มแทง ลมหายใจก็จุกอยู่ที่คอ พูดอะไรไม่ออก!
เขากลับทำเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พูดว่าหลิวหยางซ่อนตัวจากนางด้วย?
นางพุ่งเข้าไปทุบอกเขาหลายครั้งด้วยความโกรธเคือง ก่อนมองไปยังผืนป่านี้ รู้สึกเหมือนหัวใจถูกเฉือนออกไป!
ถึงแม้เขาจะระยำแต่ก็พูดได้ไม่ผิด หลิวหยางและพวกมู่หัวที่เอ็นดูนางยิ่งนักรวมถึงเหล่าหลานศิษย์ที่มองนางเป็นผู้นำ จากไปหลายวันขนาดนี้กลับไม่ส่งข่าวมาหานางแม้แต่น้อย ไม่มีคนมาหานาง แต่ไม่กลัวว่านางจะร้อนใจเพราะหาพวกเขาไม่เจอ! พวกเขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ…
“อาจารย์…”
นางเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมา เสียงร้องไห้ค่อยๆ ดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จนกลายเป็นคร่ำครวญเสียงดัง
สองพันปีที่ผ่านมานางไม่เคยขาดการติดต่อกับหลิวหยางมาก่อน เขาและเหล่าศิษย์พี่บนเขากลายเป็นครอบครัวของนางนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาทิ้งนางไปกะทันหัน ทำให้นางพลันรู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กกำพร้า นางไม่รู้ว่าหลิวหยางซ่อนตัวจากผู้คนเพราะมีเรื่องซับซ้อนใดหรือไม่ แต่เขากลับทิ้งนางไปอย่างเลือดเย็นเพื่อเร้นกาย
ลู่ยาเห็นนางร้องไห้ ถึงได้รู้ว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว รู้สึกสำนึกเสียใจจนอยากจะเย็บปากตัวเองนัก!
เขารีบปลอบนาง “เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าจะช่วยเจ้าตามพวกเขากลับมา”
มู่จิ่วยืนขึ้นมาผลักเขา มองอย่างโกรธแค้น จากนั้นขึ้นเมฆไปทันที
เสี่ยวซิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นมู่จิ่วตาแดงเดินเข้ามาเลยอดไม่ได้ถาม “เป็นอะไรหรือ?”
มู่จิ่วชะงักฝีเท้า ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี กัดปากเดินกลับห้องไป
เสี่ยวซิงยังไม่ทันรู้ตัว ลู่ยาก็พลันปรากฏตัวขึ้นในลานบ้าน เขาพุ่งเข้าไปหาจื่อจิ้งที่หลับสนิทอยู่ในห้องที่ปิดแน่นราวกับสายลม จากนั้นก่อกองเพลิงขนาดสามฉื่อ ผลักอีกฝ่ายไปบนนั้น ก่อนแปะยันต์สกัดจุดไว้บนหน้าผาก!
จื่อจิ้งตะโกนด่าอยู่ในกองเพลิงที่ร้อนแรง “ปู่เจ้าเถอะ…”
มู่จิ่วที่นอนอยู่บนเตียงราวกับมีไฟแผดเผาในใจ เมื่อไฟมอดดับก็เสียใจยิ่งนัก
ไม่ว่าหลิวหยางเป็นใคร เป็นจุ่นถีหรือเป็นคนอื่น เขาก็เป็นอาจารย์ของนาง เป็นคนที่จับจูงนางใช้ชีวิตมาสองพันปี ทั้งยังเป็นญาติที่คอยปกป้องและพานางมาสู่หนทางเซียน ลู่ยาทำเกินไปแล้ว! เขามีสิทธิ์อะไรไปสืบเรื่องหลิวหยาง? เขาอาศัยอะไรไปสืบเรื่องหลิวหยางโดยไม่บอกนางสักคำ?
ประตูเปิดออก ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร นางโยนหมอนไปทางเขา
ลู่ยารับมันได้พอดี
……………………………