ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 310 ศิษย์พี่มีธุระ?
อู่หลานเอ๋อร์ในตอนนี้งดงามยิ่งนัก ทำให้นางคิดถึงตอนที่หลินเซี่ยเห็นอู่หลานเอ๋อร์ในตอนแรก คงต้องก้าวขาไม่ออกเป็นแน่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น อู่หลานเอ๋อร์กลับยินยอมเก็บหลินเจี้ยนหรูไว้และละทิ้งโอกาสแต่งงานกับผู้อื่น เห็นได้ชัดว่ารักหลินเซี่ยและลูกในท้องจริง ความตั้งใจของนางก็คู่ควรให้หลินเจี้ยนหรูไม่อาจปล่อยวางนางได้ตลอดหลายปีมานี้ เพียงหวังว่าหลังจากซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าของนางจะราบรื่น ได้คบหากับคนดี มีชาติภพที่สงบสุข
อู่หลานเอ๋อร์เงยหน้ามองดอกไม้เหนือหัว มู่จิ่วพลันอยากจะร่ายยันต์ปกป้องให้นาง
ถึงแม้วิชาของมู่จิ่วจะต่ำ ไม่ดีเหมือนที่หลิวหยางทำ แต่อย่างน้อยก็มีผลนิดหน่อย
“เขากลับมาแล้ว”
เพิ่งเด็ดดอกไม้ลงมา อู่หลานเอ๋อร์ที่เงียบมาตลอดก็ส่งเสียง ใบหน้าที่แหงนขึ้นเล็กน้อยก็ก้มลงมา
“หืม?” มู่จิ่วมองไปรอบๆ
อู่หลานเอ๋อร์กลับยืนขึ้นแล้ว ก่อนเดินไปยังโต๊ะบูชาอย่างเชื่องช้าราวคนใจลอย
นางเพิ่งหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะบูชา ก็ปรากฏถนนเล็กสายหนึ่งในลานบ้านมืดสลัว มีคนเดินก้าวยาวๆ ออกมาจากถนนสายนั้น เป็นหลินเจี้ยนหรูนั่นเอง!
“อา เป็นเจ้า!”
มู่จิ่วไปต้อนรับเขา “สำเร็จหรือไม่?!”
หลินเจี้ยนหรูมองนางอย่างตื่นตะลึงอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าลง “สำเร็จแล้ว”
เขาเอากุญแจจันทรากับเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดออกมา
มู่จิ่วรีบนำกุญแจจันทรามากระตุ้นพลังวิญญาณ เป็นจิตต้นกำเนิดที่แตกสลายส่วนนั้นของอู่หลานเอ๋อร์ไม่ผิดแน่!
“ดียิ่งนัก!”
นางพูดพลางรีบประคองอู่หลานเอ๋อร์ขึ้นมานั่ง จากนั้นนั่งขัดสมาธิ กระตุ้นกุญแจจันทรา ใช้อาคมของมันซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดอย่างช้าๆ
หลินเจี้ยนหรูก้มหน้าลงมองมือของตน จากนั้นมองมู่จิ่วที่ทุ่มเทกำลังช่วยเขา ในใจมีความรู้สึกแปลกพิกล
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้นางพยายามลงมือ แต่ยามนี้จิตใจเขาสับสนนัก จะพูดเรื่องจริงออกมาได้อย่างไร?
เขาจะพูดได้อย่างไรว่าตนผิดสัญญาที่มีไว้ให้นางแล้ว?
“เรียบร้อยแล้ว!”
ขณะเขากำลังนิ่งอึ้ง มู่จิ่วก็ยืนขึ้น ประคองอู่หลานเอ๋อร์ที่หลับอยู่ไปเอนนอนบนตั่งไม้ที่เรียกออกมา
เขารีบเรียกสติ เดินเข้าไปดู อู่หลานเอ๋อร์ลืมตาเห็นเขาก็รีบลุกนั่งขึ้นมา “พวกเจ้าคือใคร?”
หลินเจี้ยนหรูก็อดไม่ได้อีก ดึงนางเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างตื่นเต้น
ร่างของอู่หลานเอ๋อร์แข็งเกร็ง อยากจะร้องตะโกน มู่จิ่วรีบดึงหลินเจี้ยนหรูออกมาก่อนปลอบนาง “แม่นางอู่ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นหมอเทวดาที่มารักษาอาการป่วยเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ มีคนร้องขอให้พวกเรามาช่วย ตอนนี้โรคของเจ้าหายแล้ว เจ้าสามารถกลับไปได้แล้ว”
“รักษาโรค?” อู่หลานเอ๋อร์มองพวกเขาอย่างงุนงง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ราวกับนึกขึ้นได้ “พ่อของข้าเป็นนายอำเภอเมืองเหยียน ข้าเป็นลูกสาวคนโตของเขา! แม่แท้ๆ ของข้าตายนานแล้ว แม่บุญธรรมโหดเหี้ยม ขังข้าไว้ในหอบรรพชน!”
ถึงแม้แต่ก่อนนางจะปัญญาอ่อน แต่กลับมีความทรงจำอยู่ ดังนั้นจะใช้ชีวิตอย่างไรคงไม่เป็นปัญหา
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้หากเจ้ายินดีกลับไป พวกเราก็จะไปส่งเจ้า หากไม่ยินดีกลับไป พวกเราส่งเจ้าไปที่อื่นที่อยากไปได้”
สุดท้ายอู่หลานเอ๋อร์เลือกที่จะกลับไป บนโลกมนุษย์ หญิงอ่อนแออาศัยอยู่ตัวคนเดียวก็ลำบากยิ่งนัก
ถึงแม้ตระกูลอู่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี แต่ในที่สุดนางก็มีจิตต้นกำเนิดที่สมบูรณ์ สติปัญญาของนางปกติแล้ว ไม่ว่าอย่างไรภายภาคหน้าต้องดีกว่าเดิมมากแน่
ระหว่างทางกลับมู่จิ่วดีใจอย่างมาก ถึงแม้ชะตาชีวิตของอู๋หลานเอ๋อร์ไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นสำเร็จก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
แต่หลินเจี้ยนหรูกลับเงียบขรึม ตลอดทางพูดไม่มากนัก เขาไม่อาจไม่เงียบได้ เพราะกลัวหลุดพูดอะไรออกมา และตอนนี้เขาจะไม่คิดได้อย่างไร? เรื่องราวประหลาดนัก ยากจะจินตนาการได้ ยามมู่จิ่วพูดถึงเรื่องอู่หลานเอ๋อร์ด้วยเขาถึงจะยิ้มออก สีหน้าผ่อนคลาย แต่ไม่ชัดเจนเหมือนที่นางคิดเอาไว้
มู่จิ่วก็ไม่ได้กดดัน เพียงคิดว่าเขาคงหมดแรงหลังจากทำสำเร็จดั่งหวัง อย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีประสบการณ์มาก จะไม่เปลี่ยนไปสงบนิ่งได้อย่างไร?
หลินเจี้ยนหรูหยุดฝีเท้าที่ประตูสวรรค์แดนใต้ มองมู่จิ่วอย่างล้ำลึกภายใต้ฟ้ามืด
นางภายใต้แสงจันทร์ก็เงียบขรึมมาก ผมยาวที่ระแผ่นหลังและชุดกระโปรงสีน้ำเงินเผยให้เห็นใบหน้าที่น้อยคนนักจะรู้ออกมา
“ต้องการพูดอะไรหรือไม่?” นางเงยหน้าขึ้นพูด
เขาหลบสายตา ครู่หนึ่งถึงหันกลับมากล่าว “อยากขอบคุณเจ้ามาก”
มู่จิ่วยิ้ม “ช่างเถิด ไม่ต้องพูดอะไรเช่นนี้แล้ว ต่อไปเจ้าเพียงบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนอย่างสงบ ก็ดีกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว ข้ามักนึกถึงยามที่ใต้เท้าหลิวรังแกข้าในครั้งนั้น เป็นเจ้าที่ยืดอกออกมาปกป้องข้า เห็นเจ้าสงบสุขข้าก็วางใจ”
หลินเจี้ยนหรูไม่รู้จะพูดอะไรดี นางไม่รู้ เมื่อมีพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณที่เพิ่มมาโดยไม่ต้องลงแรงนี้อยู่ในร่าง เกรงว่าเขาจะฝึกบำเพ็ญอย่างสงบสุขไม่ได้อีก
“ดึกแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด” เขาพูด
มู่จิ่วพยักหน้าแล้วจากไป
เขามองนางหายไปจากถนนอยู่ที่เดิม ก่อนหมุนตัวกลับหอวิหคแดง
เขาตั้งใจขี่เมฆกลับไป รวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า
เพียงคิดก็คาดเดาได้ พลังด้านอื่นของเขาก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน
แต่เขายังรู้สึกหมดเรี่ยวแรง เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถบำเพ็ญตนอย่างสงบสุขได้แล้ว ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เขาเพิ่งแก้ไขอุปสรรคได้เรื่องหนึ่ง ตัวเองกลับตกลงไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น
เขาหยุดอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ในลาน เงยหน้ามองฟ้า
ถึงตอนนี้เขาถึงเพิ่งสงบใจครุ่นคิดเรื่องราวก่อนหลังได้ และพิจารณาถึงชายชุดเขียวผู้ลึกลับนั้น
เขาเป็นใครกันแน่?
เขาเกี่ยวข้องอะไรกับมู่จิ่ว?
เขาต้องการจะทำอะไร?
ตอนที่มู่จิ่วในม่านแสงนั้นเรียกเขาซึ่งได้รับบาดเจ็บว่า ‘อาลู่’ นางเปล่งประกายสดใสอย่างมาก ดวงตาทั้งสองของนางส่องประกายดุจดาวบนฟ้า ความเป็นมิตรของนางจริงใจและเต็มเปี่ยม ยามชายชุดเขียวพูดถึงนาง บอกว่านางออกมาข้างนอกครั้งแรก บอกว่านางโง่จนกักเก็บพลังวิญญาณไม่เป็น น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ประชดประชัน แต่กลับเอ็นดูและจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของนางในหมื่นปีให้หลังกับ ‘อาลู่’ นั้นลึกซึ้งมาก
เช่นนั้นตอนนี้เขาทำอะไรอยู่?
มู่จิ่วรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาหรือไม่?
วิชาของเขาแกร่งกล้าเพียงนั้น ส่วนมู่จิ่วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนธรรมดา พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร?
ยิ่งคิดก็ยิ่งมาก เขายิ่งมีความใคร่รู้ในตัวชายชุดเขียวมากขึ้น
เขาควรไปบอกนางหรือไม่…ถึงแม้พูดไม่ได้ แอบส่งสัญญาณให้นางเตรียมรับมือไว้ก็ดี
หลินเจี้ยนหรูพลันหันกลับไป สายตาตกอยู่ที่ประตูลาน ชะงักไปครู่หนึ่งทันที
เหลียงชิวฉานยืนอยู่ที่นั่น มองเขาแน่นิ่ง ไม่รู้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาปฏิเสธนาง เขาก็ไม่ได้พบนางอีก ตอนนี้ก็ไม่อยากพบ
ดังนั้นเขาจึงหันกลับไป เดินมุ่งไปยังลานสนเขียว
“เจ้าจะไปไหน?”
เสียงของนางดังมากจากด้านหลัง ชั่วครู่เดียว นางตามมาขวางไว้ด้านหน้า
“ออกไปทำธุระเล็กน้อย ศิษย์พี่มีเรื่องอันใด?” เขาก็ไม่เคยลุกลี้ลุกลน ไม่รีบไม่ร้อน มักจะมีรอยยิ้มอยู่สองส่วนเสมอ
……………………………………