ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 324 คับแค้นใจ
ดีที่หลินเจี้ยนหรูก็รู้ตัว จึงเอ่ยขึ้น “หลายวันก่อนข้ากลับไปสำนักแรกพยับ”
มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง
เขาพูดต่อ “เหลียงชิวฉานไปฟ้องหัวชิง”
มู่จิ่วยังไม่ทันเอ่ยอะไร แน่นอนว่าย่อมไม่ได้แสร้งทำเป็นตกใจ
“ตอนนี้ข้าอยากตัดขาดจากสำนักแรกพยับแล้ว” เขากำหมัดเอ่ย จากนั้นมองนาง “ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาได้อีกต่อไป ถึงแม้ข้าต้องถูกตราหน้าเป็นคนทรยศสำนัก ข้าก็ยอม…เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
มู่จิ่วกลั้นลมหายใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไร
ราวกับการที่เขาออกปากขอร้องนางเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
นางครุ่นคิดก่อนตอบ “เรื่องของเจ้ากับสำนัก เจ้าจัดการเองเถอะ”
หลินเจี้ยนหรูชะงักเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ย “ข้าเพียงอยากให้เจ้าไปพูดกับหวังหมู่เหนียงเหนียง…”
มู่จิ่วไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา “เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้”
“มู่จิ่ว!”
น้ำเสียงของหลินเจี้ยนหรูมีแววอ้อนวอน
มู่จิ่วถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากมาก และรู้ว่าเจ้าพยายามพัฒนาตนเอง แต่เรื่องนี้เกินมือของข้าไปมาก หลินเจี้ยนหรู ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่บนสวรรค์ผู้ต้อยต่ำ เหนียงเหนียงให้เกียรติข้า ข้าถึงมีหน้ามีตา หากนางไม่ไว้หน้าข้าข้าก็ไร้ค่า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าให้ข้าไปขอร้องให้นางทำอะไร โปรดอภัยด้วยที่ข้าไม่มีหนทางทำได้”
หลินเจี้ยนหรูมองนาง ราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว
“ทำไม?” นานนักกว่าเขาจะถามออกมา
มู่จิ่วรู้ดีว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร
นางปฏิเสธคนน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงว่านางเข้าใจความลำบากของเขา หากนางไม่รู้ เพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานนางก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยแล้ว
แต่ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งนางไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากหวังหมู่อย่างส่งเดช อีกส่วนคือนางไม่อยากช่วย
เขาฉลาดหลักแหลม แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้
มู่จิ่วก็ไม่คิดปิดบัง หยิบผลไม้เซียนมาหมุนในมือ ก่อนเอ่ย “ช่วงนี้ข้ายุ่ง และข้าก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเจ้า ข้าเป็นคนนอก”
แววตาของหลินเจี้ยนหรูมีเงาดำพาดผ่าน
เขากลืนน้ำลาย หัวเราะพร้อมพูด “คำว่าคนนอกนี้หมายถึงข้าหรือไม่?” พูดจบก็ไม่เว้นช่วงให้มู่จิ่วพูด เขาเอ่ยต่อทันที “หรือเป็นเพราะเหลียงชิวฉาน? ที่จริงเรื่องของข้ากับนางไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“ข้ารู้” มู่จิ่วบีบผลไม้ มองเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ใดทั้งนั้น ข้าเพียงบอกจุดยืนของข้าเท่านั้น เรื่องที่ข้าทำไม่ได้ข้าย่อมต้องปฏิเสธ ไม่ใช่เรื่องดีนักถ้ายินยอมรับเรื่องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และเกรงว่าเจ้าจะประเมินข้าสูงไปแล้ว”
คำปฏิเสธ เมื่อพูดออกมาแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น
นางไม่ได้โกรธเขา แต่จะบอกว่าการกระทำของเขาไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนางก็ไม่ถูกนัก
นางปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะปกป้องหรือดูถูก ไม่เคยเสแสร้ง แต่ก็ยังไม่ดีถึงขั้นยอมรับทุกอย่างไม่ว่าเขาจะปฏิบัติอย่างไรกับนาง ความใจดีของนางก็มีเงื่อนไขเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรนางไม่อาจใจกว้างกับคนที่ทำร้ายหรือหลอกลวงนาง อย่างเช่นพวกสำนักตะวันอำพรางอันคร่ำครึหรือจีหย่งฟาง รวมถึงหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียน
หากผู้อื่นปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ นางยิ่งตอบแทนเขาด้วยชีวิต
แต่เขากลับปิดบังเรื่องที่เขาทำกับเหลียงฉิวฉานกับนางมาตลอด…
หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางก็ช่างเถอะ แต่เหลียงชิวฉานจงใจมาหานาง ทั้งยังจะตบนางอีก
…นางก็บอกไม่ถูกถึงความรู้สึกนี้ และไม่กล้าตัดสินถูกผิดด้วย
เพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจ
ไม่สบายใจจริงๆ
หลินเจี้ยนหรูนิ่งเงียบอยู่นาน
มู่จิ่วไม่มองเขา หยิบผลไม้ส่งเข้าปาก แล้วกลืนลงไปอย่างช้าๆ
หลินเจี้ยนหรูยืนขึ้นมาจ้องนางเขม็ง เม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหมุนตัวจากไป
มู่จิ่วไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า เพียงแต่ปล่อยวางแล้ว
แต่ก่อนยังหวังว่าเขาจะกลับตัวมาเดินทางสายธรรมได้ เอาความเชื่อใจและความหวังดีสุดท้ายมอบให้เขาไป แต่ตอนนี้ล้มเลิกแล้ว
หลินเจี้ยนหรูมุ่งตรงไปยังประตูด้านนอก ก่อนหยุดลงที่ใต้ต้นพุทธชาด
ยามหันกลับมามองเข้าไปในห้อง คิ้วเขาขมวดแน่นราวกับเหล็กที่ไม่อาจหลอมละลาย
เขาไม่เชื่อว่าไม่มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของนาง แต่เดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องใด แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางจะเป็นเพื่อน แต่ในใจเขามองนางเป็นญาติคนหนึ่งเสียแล้ว
บอกไม่ถูกเช่นกันว่านี่เป็นความรู้สึกแบบใด นอกจากเรื่องนี้แล้ว หลินเจี้ยนหรูยอมรับว่าหวั่นไหวกับนาง เพียงแต่ความจริงบอกกับเขาว่าเรื่องระหว่างเขากับมู่จิ่วเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเขาไม่ได้เป็นคนประเภทที่ละทิ้งทุกอย่างเพื่อความรัก ดังนั้นถึงแม้เป็นเพื่อน สำหรับเขาแล้วนางก็ยังคงสำคัญกว่าเพื่อนเล็กน้อยอยู่ดี
แต่ตอนนี้มู่จิ่วกลับปฏิเสธไม่ช่วยเหลือเขา และไม่ลังเลแม้แต่น้อย นิ่งเฉยราวกับเรื่องที่เขาร้องขอนั้นเป็นเรื่องหนักหนา
เขาคิดไปว่านางคือคนที่ไม่อาจละทิ้งเขาได้ ด้วยแต่ก่อนนางยังสามารถอภัยเรื่องที่เขาสังหารหลินเซี่ยและจีหย่งฟางได้ นางยังคงให้โอกาสเขา ช่วยเขายืมกุญแจจันทรา ไปช่วยอูหลานเอ๋อร์กับเขา ตอนกลับมายังพูดให้เขาตั้งใจฝึกเข้าหาทางธรรม เวลาสั้นๆ เพียงไม่สิบกว่าวัน นางจะเย็นชาไปได้อย่างไร?
เขารู้สึกว่างเปล่า ตอนมารู้สึกอบอุ่น ตอนนี้รู้สึกราวถุงลมที่ถูกปล่อยลมจนหมด
หากบอกว่าชะตาชีวิตของมารดาผู้ให้กำเนิดคือความเจ็บปวดอันล้ำลึกที่เขาแบกอยู่ในใจ เช่นนั้นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของมู่จิ่วกลับเป็นความเจ็บปวดอีกแบบ
หลินเจี้ยนหรูคิดไม่ตก เขาปล่อยเหลียงชิวฉานไปเพื่อทำสัญญาให้เป็นจริง และไม่ได้แก้แค้นสำนักแรกพยับ อีกทั้งเขายังมีพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำได้แบบนี้ก็ไม่นับว่าง่ายแล้ว หรือสิ่งเหล่านี้ไม่อาจแสดงออกได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับคำสัญญานั้นแค่ไหน? นี่ไม่อาจยืนยันเรื่องที่เขาจะกลับใจได้อีกหรือ?
เขาคิดว่าสัตย์ซื่อจริงใจกับเพื่อนคนนี้แล้วเสียอีก
ดังนั้นนอกจากเขาจะโกรธแล้ว ยังคับข้องใจอีกด้วย
หรือเขาเกิดมาเพื่อรับการดูแคลนจากผู้อื่น?
จากความทรมานที่เขาได้รับจากสำนักแรกพยับ จะสังหารหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ?
เขาทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พวกเขาล่ะ? พวกเขาไม่เคยมองตนเป็นมนุษย์เลย!
หากมองอย่างเป็นธรรม เขารู้สึกว่าตนเองใจกว้างกับแรกพยับมากแล้ว
หากต้องการล้างแค้น ทุกคนในแรกพยับต้องตายด้วยมือเขา!
“พี่หลิน ทำไมมาอยู่ที่นี่?“
เจ้าพนักงานสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าและทักทายเขา
หลินเจี้ยนหรูมองพวกเขา เห็นเป็นเพื่อนร่วมงานสองคนในหน่วยลาดตระเวน
แต่ตอนนี้เขาไม่มีใจจะตอบ เพียงพยักหน้าก่อนเดินออกจากประตูไปโดยเร็ว
เหล่าเจ้าพนักงานมองเขาจากไป แล้วค่อยเดินเข้าไปในประตู
หลินเจี้ยนหรูออกจากสำนักบัญชาการ พุ่งตรงไปหอวิหคแดง
เพิ่งเข้าไปในลานสนเขียว ก็เห็นว่าลานบ้านทางด้านตะวันตกกำลังจะย้ายออก ตัวเขาที่ว้าวุ่นใจพลันชะงักเท้าซึ่งกำลังก้าว…เขาจำได้ว่าคนทั้งสี่เป็นศิษย์ลัทธิฉ่านที่เข้ามาทัพทหารสวรรค์พร้อมเขา ช่วงนี้ไม่ได้ข่าวว่าใครจะย้ายเข้ามา แล้วทำไมถึง…
……………………………………………