ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 333 คนงานยุ่ง
สีหน้าของหูเจียงเต๋อเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำ ลุกขึ้นมาจากพื้น “นี่ นี่เห็นชัดว่าศิษย์พี่…”
“ข้าวางยาเอง?” หลินเจี้ยนหรูไม่มองเขา “ข้าจะวางยาตนเองอย่างนั้นหรือ?”
หูเจียงเต๋อรู้สึกคาวที่คอ ซาลาเปาที่ยังคงติดอยู่ถูกตีย้อนขึ้นมาเพราะความโกรธ เกือบจะอาเจียนออกมา
…เขาไม่เคยเจอคนที่เลวร้ายไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน! นกนั่นตายเพราะพลังของหลินเจี้ยนหรูชัดๆ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันตายเพราะถูกวางยาในอาหาร! และยังพูดได้อย่างนิ่งเฉย…เจ้าลูกนอกสมรสที่ถูกคนรุมด่าทอ ตอนนี้กลับกลายเป็นคนโหดเหี้ยมไปแล้ว!
เขากำหมัดแน่น ทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน
เขาอยากจะชักกระบี่เข้าสั่งสอนหลินเจี้ยนหรูให้หนักสักครั้ง ถีบกลับลงโคลนตมไปแล้วด่าประณาม แต่เขากลับยกขาไม่ขึ้นเพราะไม่กล้า วันนั้นเขาเกือบตาย ร่องรอยนั้นยังคงอยู่บนร่างเขา เขาไม่กล้าเอาความเป็นความตายของตัวเองไปเสี่ยง…
“ศิษย์พี่โปรดไว้ชีวิต!”
เข่าทั้งสองของเขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปดังตุ้บ “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควร…”
หลินเจี้ยนหรูไพล่มือยิ้มเยาะ ไม่ได้เอ่ยคำ แววตาเย็นชาจนทำให้คนที่ได้มองตัวสั่น
นี่สิคือท่าทางของคนไร้ค่า
เมื่อก่อนเขาก็ถูกกดดันจนจนตรอกเช่นนี้ ทำได้เพียงถอยหลังรักษาชีวิตไว้
แต่ตอนแรกใช่ว่าเขาจะยินยอม จนกระทั่งถูกอัดจนน่วมถึงได้ก้มหัวให้ ในภายหลังเขาจึงจำต้องเรียนรู้ที่จะสงบเสงี่ยม ก่อนที่พวกเขาจะลงมือก็เอ่ยปากอ้อนวอน ทำเรื่องน่ารังเกียจที่แม้แต่ตนเองยังไม่อยากหวนกลับไปคิดถึงชั่วชีวิตเพื่อเอาใจพวกเขา
ท่าทางเช่นนี้ของหูเจียงเต๋อทำให้เขาเหมือนเห็นตนเอง เขายกเท้าขึ้นเตะ มองหูเจียงเต๋อกลิ้งลงไปกับพื้น เลือดไหลออกจากจมูก!
เขาอยากฆ่าจริง
เขาอยากฆ่าหูเจียงเต๋อที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เหมือนกับฆ่าตนเองที่อ้อนวอนขอความเมตตาเมื่อครั้งอดีต!
เขาตามเข้าไปอีก หูเจียงเต๋อร้องไห้เสียงดัง ล้มลุกคลุกคลานหนีเอาชีวิตรอด
เขาติดตามไปอย่างไม่ลดละ ไม่ได้ใช้พลังเลยแม้แต่น้อย ใช้เพียงสัญชาตญาณดิบไล่ฆ่าอีกฝ่าย สมัยเขาอยู่สำนักแรกพยับ ยามเผชิญหน้ากับคนที่ความจริงแล้วไม่ได้เรื่องพวกนั้น เขาก็หนีเอาชีวิตเช่นนี้ ตอนแรกเขาไม่ร้องไห้ไม่ตะโกน ตอนหลังทนไม่ไหว น้ำตาไหล อ้อนวอนขอชีวิตเช่นกัน!
เขาร้องไห้ไม่เป็นนานแล้ว น้ำตาเหือดแห้งไปในช่วงปีนั้นจนหมด
แต่เขาก็ยังรังเกียจหูเจียงเต๋อที่เป็นแบบนี้ รังเกียจภาพตนเองในอดีตที่สะท้อนออกมาจากตัวหูเจียงเต๋อ
หลินเจี้ยนหรูจับคอเสื้อของหูเจียงเต๋อขึ้นมา จากนั้นสะกดจุดเขา ยกมือขึ้นตบหู ก่อนกระชากผมเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงอย่างหนักหน่วง หูเจียงเต๋อที่ร้องไม่ออกใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ปากจมูกอ้ากว้าง หายใจราวกับที่สูบลม ไม่มีเสียงใด เหลือเพียงความหวาดหวั่นในดวงตา
หลินเจี้ยนหรูมองเขาอยู่นานแล้วพลันปล่อยตัวไป คลายจุดใบ้ที่ถูกสะกดไว้ออก แล้วลุกขึ้นมาอย่างโงนเงน
หูเจียงเต๋อตัวสั่นเทิ้มราวสุนัขในลมหนาว สั่นงันงกอยู่ริมผนัง นอกจากความหวาดหวั่นแล้วยังมีความกลัวเกรง
หลินเจี้ยนหรูยืนหันหลังให้เขาอยู่นาน จากนั้นหมุนตัวมา ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดบนใบหน้าออกก่อนถาม “อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
หูเจียงเต๋อมองเขาอย่างว่างเปล่า ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง แล้วจึงพยักหน้า
เขาพูด “อยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องเชื่อฟัง เหมือนอย่างนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง”
หูเจียงเต๋อพุ่งเข้ามาที่เท้าเขา “ข้าจะเชื่อฟัง ข้าจะเชื่อฟัง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นสุนัขรับใช้ของศิษย์พี่!”
หลินเจี้ยนหรูหยิบโจ๊กบนโต๊ะมาสาดลงบนพื้น จัดเสื้อผ้าแล้วเดินจากไป
หูเจียงเต๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้มหน้าลงกินโจ๊กเหล่านั้น
เขารอดมาจากน้ำมือยมบาลได้สองครั้งแล้ว เขาไม่กล้าขัดขืนอีก
หลินเจี้ยนหรูคือคนเสียสติ เป็นมารร้าย อย่างไรเขาก็ไม่มีวันสู้ได้!
เหลียงชิวฉานเดินเข้ามาในประตูลานบ้านที่ว่างเปล่าและเงียบงัน มองทะลุเข้ามายังประตูที่เปิดอยู่ เห็นหูเจียงเต๋อกำลังคุกเข่าเลียโจ๊กบนพื้น แววตาพลันเต็มไปด้วยความตระหนก!
นางพลันหันหน้าไปมองหลินเจี้ยนหรูที่เดินจากไปไกลแล้ว จากนั้นหันกลับมามองหูเจียงเต๋อในห้อง ความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปห้ามในร่างกายที่แข็งเกร็งค่อยๆ หายไป
ภาพนี้ทำไมคุ้นตานัก…
ตอนนั้นพวกจีหย่งฟางก็เคยบังคับให้เขาทำแบบนี้
นางจำได้ว่าเขาเคยเลียโจ๊กบนพื้นจนสะอาดหมดจด พี่น้องตระกูลจีถึงได้ยอมปล่อยไป หลังจากนั้นเขาเป็นอย่างไรนางไม่รู้ แต่จำได้ว่าหลายวันให้หลังเขาขาดคาบเรียนตอนเช้า จึงถูกหัวชิงลงโทษให้ไปเก็บฟืนเป็นเวลาหนึ่งเดือน
นางมองหูเจียงเต๋ออยู่นาน วางมือที่จะแง้มประตูเปิดลง ก่อนจากไปอย่างช้าๆ
หลิวจวิ้นคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วจริงๆ ถึงแม้หลีหังแค่เล่าเรื่องที่เคยไปคลื่นจิตพสุธาเท่านั้น แต่ช่วงนี้ในฝ่ายทหารมีคำสั่งลงมาบ่อยๆ ไม่เพียงขอให้หน่วยลาดตระเวนกวดขันคดีที่รับผิดชอบยิ่งขึ้น แต่ละหน่วยที่เหลือก็ควบคุมเข้มงวดมากกว่าเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้เรื่องคลื่นจิตพสุธา แต่หลิวจวิ้นจับทางลมได้ถูกในเรื่องนี้
คลื่นจิตพสุธาเป็นสถานที่สำคัญ ยิ่งเมื่อที่นั่นถูกสร้างเขตพลังไว้ แน่นอนว่าสวรรค์ในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ ที่รักษาความสงบของหกภพย่อมไม่อาจมองข้าม
แต่เดิมมู่จิ่วเข้าใจว่าเพียงไปลาดตระเวนที่ประตูสวรรค์แดนใต้เท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะไม่สบายอย่างที่คิด นอกจากจะมีเวลาพักเพียงครึ่งชั่วยามในการผลัดกันสี่กะแล้ว เวลาที่เหลือต้องวิ่งรอกตลอด ดีที่นางเป็นคนอดทน การลาดตระเวนเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไร
ช่วงนี้ลู่ยายุ่งอย่างมาก มู่จิ่วรู้ว่าเขากำลังยุ่งเรื่องหงชาง แต่ไม่รู้ว่าเขาได้ผลลัพธ์อะไรมาบ้าง อย่างไรช่วงนี้ก็มีหลายวันที่ไม่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะ เรื่องเดินไปดูดาวด้วยกันยิ่งไม่มี
ช่วงว่างนางอยู่บ้านครึ่งวัน เห็นเขารีบร้อนเดินกลับเข้ามาพอดี “พวกเราไปดูการร่ายรำกันดีหรือไม่? เถ้าแก่หงส์มีการแสดงเรื่องใหม่ที่ร้าน”
ลู่ยาครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง “วันอื่นเถอะ วันนี้ข้ามีเรื่องด่วน อีกสักครู่ต้องออกไปอีกแล้ว”
พูดจบก็เข้าไปหยิบของสักอย่างในห้อง จากนั้นลูบท้ายทอยนาง มือคว้าจื่อจิ้งที่อยู่แถวนั้น ก่อนหายไปในพริบตา
มู่จิ่วตามพวกเขาไม่ทัน ทำได้เพียงปล่อยวาง แล้วจึงชวนเสี่ยวซิงกับอิ่นเสวี่ยรั่วไปชมการแสดงด้วยกัน
ทั้งสามสาวสั่งอาหารมาเล็กน้อยกับเหล้าหนึ่งกา นั่งอยู่บนแท่นเมฆ ชมการแสดงในศาลาริมน้ำ นับว่ารื่นรมย์ดี
ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์นับวันยิ่งดี เทพเซียนที่ไปเดินเล่นในโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสำหรับพวกเขาแล้วระยะทางไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย การค้าบนสวรรค์เลยลำบากขึ้นทุกที
สองปีที่ผ่านมานี้เถ้าแก่หงส์จึงมีการแสดงร่ายรำให้ดูเพื่อคงบรรยากาศคึกคักและเรียกแขกมา อย่างเช่นไม่นานมานี้ก็เชิญเซียนที่ร่ายรำทำเพลงเป็นมาร้องเพลงทุกสามวันห้าวัน หรือส่งเซียนรับใช้ไปเรียนการเล่าเรื่องจากโลกมนุษย์ สรุปคือเถ้าแก่หงส์เป็นคนทำการค้าเป็น
เวทีแสดงถูกสร้างอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนผู้ชมนั่งอยู่บนแท่นเมฆล้อมรอบเวที มีภาพลวงตาเป็นอาคารบ้านช่อง ดูกว้างขวางสวยงาม พอเวลากลางวันก็เก็บเอาพวกบ้านช่องเวทีพวกนี้เข้าไป จึงไม่กระทบกับการค้าขาย
………………………………………..