ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 336 ความประพฤติดีงาม
ลู่ยาใช้พลังปราณสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเคลื่อนมือไปตรงที่พวกเขาโผล่หัวออกมาเมื่อครู่ ชัดเจนว่ามีคลื่นพลังเคลื่อนไหวเบาบาง!
เขารีบชักมือกลับแล้วมองไปรอบๆ มือขวาหยิบดอกบัวดอกหนึ่งออกมาปกคลุมภูเขาหงชางทั้งลูก จากนั้นค่อยส่งพลังไปยังส่วนที่มีพลังเคลื่อนไหวอีก
ดอกบัวใช้เพื่อปกคลุมภูเขาหงชาง จุ่นถีหนีไปจากเงื้อมมือเขาได้ครั้งหนึ่ง เขาต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้งที่สอง เขากล้ารับประกัน เพียงแค่เขาออกแรง จุ่นถีย่อมต้องรู้สึกตัว การผนึกทางออกทั้งหมดไว้เป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งนัก!
พลังที่เคลื่อนอยู่ใต้มือในชั่วพริบตานั้นพลันมีแสงบางๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมา ลอยล่องคล้ายมีและคล้ายไม่มี หากไม่มองดูดีๆ คนทั่วไปย่อมไม่สังเกตเห็น
ผ่านไปอีกชั่วพริบตาหนึ่ง แสงนั้นดูเป็นจริงขึ้นมาอีกหลายส่วน อาคารบ้านเรือนต่างๆ รวมถึงประตูและศาลา กระทั่งต้นพลับขนาดใหญ่ที่ปลูกอยู่ในกำแพงยังปรากฏเค้าลาง!
“อา! นั่นคือต้นพลับของพวกเรา!”
ชิงเหมยชิงถงกระโดดขึ้นมาทันที ชี้ไปยังต้นไม้
จื่อจิ้งก็อดเดินเข้าไปใกล้อีกนิดไม่ได้ มองสำนักหงชางปรากฏออกมาทีละน้อย!
ยามที่ทุกคนคิดว่าสำเร็จแล้ว ลู่ยาพลันเก็บพลังวิญญาณ ภาพทั้งหมดหยุดลง ราวกับไข่ที่ต้มไม่สุกยังมีส่วนที่โปร่งใสอยู่ เมื่อใช้มือสัมผัสก็ยังคงว่างเปล่า!
“นี่คือเรื่องอันใด?” จื่อจิ้งไม่สบอารมณ์
ลู่ยาขมวดคิ้ว “อาคมบนเขตพลังนี้แข็งแกร่งมาก จุ่นถีก้าวหน้าถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
ตามที่เขาคาดเดาเกี่ยวกับอาคมของจุ่นถี เขาเข้าใจว่าการโจมตีเมื่อครู่พุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของอีกฝ่ายแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่…
“ท่านกำลังจะบอกหรือว่าท่านทลายแม้กระทั่งเขตพลังของหลานศิษย์ตนเองไม่ได้?” จื่อจิ้งโพล่งเสียงดัง เกือบหลุดปากบอกว่า ‘หลงคิดว่าตัวเองเก่ง’ ออกมาแล้ว
ความเจ็บใจที่ลู่ยาเพลี่ยงพล้ำที่คลื่นจิตพสุธายังไม่ทันฟื้นฟู ในใจกำลังอดกลั้นอารมณ์ ถูกจื่อจิ้งตะโกนว่าเช่นนี้ ใบหน้าจึงเย็นชาขึ้นมา
เขาตวัดสายตาไปมองคนปากพล่อย พลันเคลื่อนพลังปราณไปยืนกลางอากาศ รวมพลังไว้ที่ปลายนิ้ว ก่อนชี้ไปยังดอกบัวกลางอากาศ ดอกบัวนั้นกลายเป็นบัวสีขาวเล็กๆ จำนวนมากทันใด ราวกับดาวเต็มท้องฟ้าเหนือภูเขา ส่องแสงสว่างไปทั่วทุกทิศในระยะพันลี้
อีกทั้งภายใต้แสงทองนี้ยังมีแรงกดดันส่งเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า ชิงเหมยชิงถงปลอดภัยอยู่ภายใต้การปกป้องของลู่ยา มีเพียงจื่อจิ้งที่ถูกพัดกลิ้งหลุนๆ ลงไปยังตีนเขา
พริบตาเดียว ระหว่างอาคารสิ่งก่อสร้างที่ยังโปร่งแสงดุจภาพลวงตาพลันมีแสงโคมสว่างขึ้นนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีคนเดินอยู่ในแต่ละลานบ้าน ต้นพลับที่หน้าประตูถูกลมพัดจนขยับไหว โคมที่ประตูก็ถูกพัดจนเกิดเสียงดัง
ปีศาจหนูเทาคนกวาดพื้นที่กำลังหลบมุมดื่มเหล้าอยู่ ตอนลมพัดผ่านลำคอพวกเขาล้วนกระชับเสื้อคลุม ในโถงมีกลิ่นดอกไม้หลากชนิดลอยออกมา กลิ่นอายเซียนคละคลุ้ง ดอกโบตั๋นกลางลานบ้านสีสันสดใส
เมื่อตามขั้นบันไดวนตรงกลางขึ้นไป เสียงของพิณลอยคลอมาท่ามกลางป่าไผ่ เซียนเต่าขายาวกำลังพิงประตูเลี้ยงในกรง นกแก้วพ่นมูลกระจายบนระเบียงทางเดิน เขาเก็บกวาดไปพลางบ่นมันไปพลาง
ภาพทั้งหมดไม่เพียงกระจ่างชัด แต่ยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกด้วย!
ชิงเหมยชิงถงดีใจจนปรบมือ “พวกเรากลับมาแล้ว! พวกเรากลับมาแล้ว!”
ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อ ดึงจื่อจิ้งที่กำลังลุกอย่างลำบากขึ้นมา เหลือบมองเขาคราหนึ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ไพล่มือทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน
ไม่ว่าอาคมของจุ่นถีจะแข็งแกร่งกว่านี้สักเพียงไร ก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเขาได้ ถึงแม้อาคมของจุ่นถีก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลู่ยาจะทำลายไม่ได้
ดังนั้นไม่เพียงแค่เขาจะทำลายอาคมของจุ่นถี กระทั่งคนทั้งหมดภายใต้เขตพลังยังไม่รู้ตัวด้วย ต้องให้คนที่ดูถูกกันมาดูเสียหน่อยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีแต่ชื่อ
ไม่นานก็ถึงเรือนสนครวญ
เสียงพิณที่ดังมาจากหลังป่าไผ่กระจ่างราวน้ำพุ เสนาะหูยิ่งนัก
ดูแล้วช่วงนี้จุ่นถีคงหลบซ่อนตัวจากอาจารย์อาอย่างเขาได้อย่างสบายใจยิ่ง มีความสุขนัก
ดีมาก
เขาเหยียบลงไปบนทางเดินเล็กๆ บนป่าไผ่ ขึ้นไปยังระเบียง เดินไปถึงตัวเซียนเต่าที่เห็นเขานานแล้ว ทั้งยังตกใจจนตาจะหลุดออกจากเบ้า ลู่ยาเคาะกระดองเต่า ก่อนเดินเข้าไปในโถงอย่างสง่าผ่าเผย
หลิวหยางกำลังนั่งบรรเลงพิณอยู่ข้างหน้าต่าง หน้าตางดงาม ท่าทางสุขุมสงบนิ่ง เหมือนกับที่ผ่านมาตลอด
แต่ยามที่ลู่ยาก้าวเข้าไปในห้องนั้น สายพิณใต้มือเขาพลันขาดลง!
ลู่ยาเลิกม่านที่คลุมเตียงสี่เสาทางทิศตะวันออกออกก่อนขึ้นไปนั่ง หยิบพัดบนโต๊ะขึ้นมาพัด ดื่มชาหอมที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำราวกับเขาพำนักอยู่ที่นี่ เพียงแค่ออกไปเดินเล่นมาสักสองรอบ และตอนนี้ก็กลับมาพักผ่อนแล้ว อารมณ์ไม่เลวนัก แถมยังมีปรมาจารย์ด้านพิณคอยปรนนิบัติ จึงฟังเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ไปด้วย
หลิวหยางหันมามองเขาเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใด และไม่ได้แสดงออกถึงความตระหนกมากนัก กระทั่งลมหายใจก็เหมือนหยุดไปแล้ว…หากไม่ใช่เพราะสายพิณขาดไปกะทันหันและเสียงเสียดหูเกินไปแล้วละก็ ผู้อื่นคงเข้าใจไปว่าเขากำลังรอลู่ยาอยู่แน่ๆ
เซียนเต่ายื่นหน้าเข้ามาจากประตู เขาโบกมือน้อยให้ถอยออกไป
แต่ในห้องกลับเงียบจนเกินไปหน่อย คนที่ขยับมีเพียงลู่ยาและกำยานที่กำลังเผาไหม้อย่างเงียบงันที่มุมห้อง แม้แต่ลมก็ไม่กล้าพัดส่งเดช
“อาจารย์อา”
สุดท้ายหลิวหยางก็ลุกขึ้น เดินเชื่องช้าไปยังข้างม่าน มองเขาสักหน่อยก่อนหยุดลง
“ข้าเป็นอาจารย์อาสำนักไหนของเจ้า?” ลู่ยานั่งไขว่ห้าง ในมือเล่นพัด แต่ดวงตากลับมองตรงไปข้างหน้า “ข้าจะนับเป็นอาจารย์อาของเจ้าได้อย่างไร เจอข้าแล้วกลับหนีไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย เจ้าเลิกเรียกข้าเช่นนี้แต่เนิ่นๆ เสีย ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปนินทาลับหลังว่าอาจารย์อาอย่างข้ายังสู้ศิษย์หลานของตนเองไม่ได้!”
หลิวหยาง…ไม่สิ จุ่นถีเงยหน้าขึ้นมองเขา พูดอย่างสงบว่า “อาจารย์อาเก่งกาจ ใครจะกล้าไม่เคารพ”
ลู่ยายิ้มเยาะเหลือบมองจุ่นถี ก่อนสะบัดแขนเสื้อไปทางเขา
จุ่นถีหลบไม่ทัน หรือไม่ก็ไม่คิดจะหลบตั้งแต่แรก แต่ผลสุดท้ายคือใบหน้าสง่างามที่ดูถ่อมตัวนั้นพลันสว่างขึ้นมา
คิ้วที่ไล่จากเข้มไปบาง ดวงตาสุกสว่าง จมูกตรงเป็นสันและคาง ยังมีริมฝีปากนุ่มบางหนึ่งเดียวบนใบหน้า รูปลักษณ์ไม่เป็นสองรองใครทั้งยังดูเยาว์วัยจนคนที่มองเห็นมีความสุขช่วยขับเน้นบุคลิกเช่นนี้ของเขา ทำให้ห้องอันราบเรียบนี้มีสีสันขึ้นมาไม่น้อย
สีหน้าของเขาสงบราบเรียบ ท่าทางดูจนปัญญาเล็กน้อย
“อาจารย์อายังชอบทำให้คนคาดเดาไม่ได้เสมอนะขอรับ”
ลู่ยาลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าเขา “แบบนี้ถึงจะรื่นหูรื่นตาหน่อย” ก่อนเอ่ยอีก “ว่ามา ในเมื่อข้าความประพฤติดีงามขนาดนี้ ทำไมเจ้าต้องหลบข้า? ข้าผิดอันใดต่อเจ้า หรือเจ้าทำเรื่องชั่วช้าใดมา ถึงกลัวว่าคนดีเช่นข้าจะลงโทษเจ้า?”
ลู่ยาไม่คิดจะเกรงใจเขาแต่แรก บนใบหน้าแม้ไม่มีความโกรธ แต่น้ำเสียงกลับดุดันจนไม่อาจละเลย
จุ่นถีถอนหายใจ “ข้าจะกล้าได้อย่างไร?”
ลู่ยายกยิ้ม “ทำไมเจ้าจะไม่กล้า? ความสามารถเจ้าเก่งกล้ามากนัก เจ้าปกปิดใต้หล้า ตอนแรกก็เขาฟางชุ่น ตอนนี้ก็เป็นเขาหงชาง บอกมา ต่อไปเจ้าจะไปไหน? คิดจะไปอารามเสียงอสุนีบาต ทำลายยูไล หรือควบคุมคลื่นจิตพสุธาแล้วรวบรวมหกภพ?”
……………………………………….