ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 337 ขาดนางไม่ได้
จุ่นถีลอบมองเขา พูดเบาๆ ว่า “หลายปีมานี้จินตนาการของอาจารย์อาก้าวหน้ายิ่งนัก”
ลู่ยาหน้าตึง “เจ้ากล้าพูดว่าพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคลื่นจิตพสุธา?”
จุ่นถีราวกับกำลังครุ่นคิด “ข้าพูดได้เพียงว่า ข้าไม่เกี่ยวข้องกับคลื่นจิตพสุธา”
ลู่ยาหรี่ตา เผยอริมฝีปากเผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัว “มิสู้เจ้าเล่าเรื่องของจื่อเย่าผู้นั้นให้ข้าฟังหน่อย?”
จุ่นถีไม่ตอบ
ลู่ยากอดอกพูด “อาจิ่วบอกว่าเจ้าเก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่พบหน้ากับคนแปลกหน้า นางยังเคยไปสืบที่สวรรค์มาก่อน ไม่มีสมญานามว่าจื่อเย่าเจินเหรินมาก่อน ต่อมาจื่อจิ้งได้บอกว่าบนสวรรค์อันสูงส่งมีเซียนต้นหลินจือเรียกตัวเองว่าจื่อเย่า แต่กลับไม่ได้เข้าทะเบียนเซียน เจ้าบอกข้ามา เจ้าที่เก็บเนื้อเก็บตัวเช่นนี้อยู่ๆ ไปสนิทสนมกับคนไร้ที่มาชัดเจนได้อย่างไร?”
ใจที่สงบเมื่อครู่อันตรธานหายไปแล้ว หลังจากที่เขาหายตัวไปจากเขาฟางชุ่น พวกเขาก็ไม่เคยออกตามหาอีกเลยเพราะยังเคารพความต้องการของเขา แต่เดิมพวกเขาต่างแยกกันตั้งสำนัก ไม่ต้องคอยระมัดระวังการแบ่งแยกลำดับขั้น ทั้งยังไม่มีธรรมเนียมต้องกราบไหว้ทำความเคารพเช้าเย็น ดังนั้นแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่จะเจอหรือไม่เจอหน้าก็ขึ้นอยู่กับวาสนา
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจุ่นถีจะไม่เห็นสำนักอยู่ในสายตาได้ เขาไม่อยากเจออาจารย์อาคนนี้ของเขานั้นยังไม่สำคัญ ลู่ยาไม่ได้เป็นคนเคร่งครัดกฏระเบียบอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาพูดจาเลอะเทอะต่อหน้าลู่ยา ลู่ยาก็ไม่อาจทนได้ หากระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางอันใดกัน ทำไมจะต้องหลบซ่อนตัวด้วย? เจ้าจื่อเย่านั่นมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้จุ่นถีหลบหนีเขา?
จุ่นถีเงียบสงบอยู่ภายใต้แรงกดดันของเขาครู่หนึ่ง กระทั่งสะเก็ดไฟตกพื้นแตกกระจายออกมา เขาถึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า มองพื้นก่อนถามว่า “ไม่รู้อาจารย์อามีหลักฐานหรือยังว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว?”
“ยังไม่มี” ลู่ยาตอบ “แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็เล่าเรื่องของเขาออกมาให้เร็ว”
“ข้าบอกไม่ได้” จุ่นถีมองปลายเท้าเขา ปลายเสียงแผ่วราวกับจนปัญญาอยู่บ้าง
“เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าพูด!” ลู่ยาเดินเข้าไปใกล้สองก้าว มองเขาอย่างเย็นชา “จื่อเย่าคือชายชุดเขียว เพราะเจ้ายังแค้นเรื่องของเจียอิ่นเมื่อปีนั้นอยู่ ยังคิดหาโอกาสแก้แค้น พอดีกับที่ชายชุดเขียวรู้เรื่องนี้เข้า และพอดีกับที่รู้ว่าอาจิ่วคือศิษย์ของเจ้า ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับเจ้าวางกับดักมากมายเช่นนี้ ล่อลวงนางไปทีละขั้น! เป็นเช่นนี้หรือไม่?”
“อาจิ่วเป็นศิษย์ของข้า ข้าเลี้ยงนางมาตั้งแต่ยังเป็นทารกจนเติบใหญ่ จะทำร้ายนางลงได้อย่างไร” จุ่นถีเหลือบมองเขา กุมมือเดินไปนั่งลงตรงตั่งข้างซ้าย “ไม่ว่าพูดอย่างไร หากมองจื่อเย่าเป็นชายชุดเขียว จนถึงตอนนี้อาจิ่วก็ยังไม่เสียหายอะไร นางต้องสะสมบุญกุศล เรื่องที่ชายชุดเขียวกระทำล้วนเป็นการปูทางให้นาง ความโกรธนี้ของอาจารย์อาออกจะไร้เหตุผลไปเสียหน่อย”
เขารินชาอย่างมั่นคง จิบไปคำหนึ่ง
แสงโคมทำให้ใบหน้าด้านข้างของเขาสว่าง เค้าโครงหน้างดงามยิ่งนัก ความเรียบง่ายในห้องนี้เทียบกับเขาไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน
“พูดเช่นนี้ เจ้ายอมรับว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว?” ลู่ยาเหลือบมองอีกฝ่าย ในดวงตาสว่างวาบ
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” จุ่นถีตอบแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองลู่ยา “จื่อเย่าไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่ข้ายืนยันได้ว่าชายชุดเขียวไม่ทำร้ายท่านกับอาจิ่วแน่นอน พวกเราล้วนหวังให้นางขึ้นเป็นเซียนโดยเร็ว เพียงแค่นางกลายเป็นเซียน ปัญหาทั้งหมดถึงจะได้รับการแก้ไข ดังนั้นอาจารย์อาช่วยละมือจากเรื่องนี้ด้วย”
ลู่ยายิ้มเยาะ “ให้ข้าละมือ?ให้ข้าไม่ตามต่อ แล้วให้อาจิ่วต้องแบกรับอันตรายจากพลังวิญญาณที่จะระเบิดออกได้ทุกเมื่อไว้เช่นนั้นหรือ? เสียแรงที่อาจิ่วยกย่องเจ้าไปหมด ตอนนี้เจ้ายังทิ้งนางไม่สนใจนางอีก! เจ้าอยากจะหายไปก็หายไป แล้วไม่ใยดีปล่อยให้นางร้องไห้ไม่หยุดภายใต้สายตาเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้!”
“อาจารย์อา…” จุ่นถีลากเสียงยาว แววตาอับจนหนทาง
ลู่ยามองเขาอย่างโกรธแค้น “ข้าจะกลับไปบอกมู่จิ่ว ในใจนางคิดอยู่เสมอว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่สนใจ หลบซ่อนจากนาง มองนางร้อนใจจนจะบ้า! เจ้ายังช่วยชายชุดเขียวปกปิด วางกับดักให้นาง! เจ้าบอกว่าชายชุดเขียวไม่ทำร้ายนาง แต่นางกลับเกือบจะถูกพลังวิญญาณของตนเองทำร้ายจนตายที่คุนหลุนตะวันออก!”
“เจ้าคิดว่าการตายครั้งนั้นของนางก็แค่กลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้นหรือ? นั่นจะทำให้นางกลายเป็นเถ้าธุลีต่างหาก! ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็หานางไม่พบอีก นางจะหายไปอย่างสิ้นเชิง! เจ้าที่เป็นอาจารย์ของนางทนได้ แต่ข้าทนไม่ได้! ถึงแม้นางจะต้องพบเจออันตรายอีกเท่าไหร่ ข้าก็จะช่วยนางเอง!”
“อาจารย์อา…”
“อย่าเรียกข้า!”
ลู่ยาระเบิดโทสะ
จุ่นถีกลั้นหายใจมองเขา ไม่ขยับอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “หรือท่านไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่เป็นไปอย่างที่ท่านคิด?”
“เช่นนั้นมันเป็นอย่างไร!” เก้าอี้ข้างโต๊ะล้มคว่ำแล้ว
จุ่นถีถอนหายใจ “ข้าบอกไม่ได้”
“เจ้าต้องบอก!” ลู่ยาพุ่งเข้าไปตรงหน้าเขา
รำคาญคนที่อึกๆ อักๆ เช่นนี้จริงๆ!
เขาตามสืบมานานขนาดนี้ ต้องได้คำตอบ!
เขาสามารถไม่สนใจชายชุดเขียวนั่นได้ รวมถึงจื่อเย่าด้วย แต่เขาต้องรู้เรื่องชาติก่อนของมู่จิ่ว!
หากไม่กระจ่างชัดในเรื่องนี้ เขาก็ไม่มีวันขจัดผนึกในร่างนาง ปลดปล่อยหรือควบคุมพลังวิญญาณได้ตลอดไป!
ขอเพียงพวกเขาเล่าเรื่องชาติก่อนของมู่จิ่วให้ฟัง เขาก็ยินดีแม้แต่จะพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือพวกเขา!
เขาเหมือนกับสัตว์ดุร้ายซึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าจุ่นถี ท่าทางข่มผู้คน มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้านทานได้
จุ่นถีคิดถึงตัวเขาที่เชื่อฟังลู่ยาทุกเรื่องในอดีต ดูเหมือนอาจารย์กับเหล่าอาจารย์อาท่านอื่นก็เอาลู่ยาไม่อยู่เช่นกัน
เขาถอนหายใจ ค่อยๆ คลายมือที่กำแน่น ก่อนถาม “อาจารย์อาขาดอาจิ่วไม่ได้หรือ?”
“พูดจาเลอะเทอะอะไร?!” นี่ยังต้องถามอีกหรือ!
“เช่นนั้นอาจารย์อาเคยคิดมาก่อนหรือไม่ ทำไมท่านอยู่มานานขนาดนี้ถึงได้ต้องใจแต่เพียงนาง?” เสียงของจุ่นถีแผ่วเบา แม้แต่ตายังไม่มองเขา
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรด้วย?”
“เกี่ยวข้องยิ่งนัก” จุ่นถีพูดแผ่ว “หากอาจารย์อาต้องการรู้ความจริง มิสู้รั้งอยู่ที่นี่สักไม่กี่วัน”
ลู่ยาหรี่ตาลง
“ใช่ แค่ไม่กี่วัน” จุ่นถีมองเขา “ข้ารับประกัน ภายในสิบวันจื่อเย่าจะต้องมาแน่ หากท่านต้องการความจริง ความจริงทุกอย่างล้วนอยู่ที่เขา”
ลู่ยามองเขา สายตาคมกริบราวกับมีดเฉือนขึ้นลง
มู่จิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าการรอของนางจะกลายเป็นหนึ่งคืนไปแล้ว ลู่ยากลับยังไม่กลับมา
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาจากโต๊ะ คอนางแข็งจนจะเป็นหินอยู่แล้ว ดีที่นางเป็นครึ่งเซียน ไม่หลับไม่นอนหลายวันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
นี่คือข้อดีของผู้บำเพ็ญเป็นเซียน สบายไปกี่เรื่องกันนะ? ไม่กินไม่ดื่มไม่นอนก็ไม่ตาย การสามารถควบคุมความตายกับโชคชะตาได้ เป็นสิ่งที่ล่อลวงให้คนมาเป็นเซียนมากที่สุดกระมัง?
เวลาอาหารเช้าเสี่ยวซิงเห็นว่าขาดลู่ยากับจื่อจิ้งไป ถึงได้รู้ว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้กลับมา นางไม่ได้คิดอะไร แต่สองตัวน้อยเห็นว่าขาดเพื่อนเล่นไปหนึ่งคนก็เหงาหงอยลงเล็กน้อย จึงกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมยิ่งนัก
…………………………………………