ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 342 ข้าไม่ติดค้างเจ้าแล้ว!
คนที่ยังมีสติถอยกลับเข้าไปรายงาน ที่เหลือก็เลิ่กลั่กเมียงมอง ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่
“ข้าเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนกัวมู่จิ่ว ต้องการขอพบหัวชิงเจินเหริน รบกวนไปรายงานด้วย”
หลี่อี้เป็นคนมีไหวพริบ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามู่จิ่วกับสำนักแรกพยับเคยมีความบาดหมางกันมาก่อน ดังนั้นจึงปฏิบัติไปตามกฎระเบียบ
เหล่าเซียนเด็กรับใช้ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนมาก็ยิ่งตกใจ อยากจะให้มีขางอกออกมาอีกสักสองขา รีบพุ่งเข้าไปรายงานทันที
มู่จิ่วไม่พูดอะไรอีก แล้วเดินตามเข้าไป เมื่อเพิ่งกลางลานก็พบคนจำนวนหนึ่งรีบเดินออกมารับจากห้องโถง คนที่นำมาคือหัวชิง ด้านซ้ายคือซ่านเซียนผู้หนึ่ง ด้านขวาคือหลินเจี้ยนหรูที่ปกปิดความประหลาดใจไว้ไม่มิด คนด้านหลังที่ตามมาก็มองด้วยความสงสัย
หัวชิงเคยพบมู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นมาก่อน แต่ตอนพบกันที่ชิงชิวนางยังเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา ตอนนี้นอกจากนางจะมีทหารสวรรค์ติดตามแล้ว ด้านข้างยังมีเสือขาวและนกต้าเผิงมาด้วย นางที่ดูทรงพลังในตอนนี้ช่างไม่เหมือนตอนนั้นเลย
เขาเงียบไปสักครู่ก่อนมองจีหมิ่นจวิน จากนั้นประสานมือทักทายมู่จิ่ว “ขอบังอาจถาม ใต้เท้ากัวมาค่ำมืดเช่นนี้มีเรื่องอันใด?”
มู่จิ่วก็กวาดมองจีหมิ่นจวินคราหนึ่ง ก่อนตอบ “หน่วยข้ามีคนมาร้องทุกข์บนสวรรค์ ร้องทุกข์ว่าการตายของหลินเซี่ยเมื่อสองปีก่อนคือการฆาตกรรม ใต้เท้าหลิวส่งข้ามาทำคดีนี้ ดังนั้นเลยมารบกวนเจินเหรินกลางดึก โปรดอภัย”
พูดจบนางมองหลินเจี้ยนหรูที่อยู่ด้านหลังเขาคราหนึ่ง ถึงค่อยละสายตากลับไป
หลินเจี้ยนหรูเห็นนางกับจีหมิ่นจวินมาด้วยกันกะทันหัน ในใจก็ตื่นตระหนก จนเมื่อนางพูดออกมา ใบหน้าเขาก็ถอดสี!
“ฆาตกรรม?” หัวชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่เห็นความประหลาดใจมากนัก เขามองจีหมิ่นจวิน “ศิษย์น้องตายเพราะถูกคนฆ่า มิใช่ว่ารู้นานแล้วหรือ? ฆาตกรก็จับตัวแล้ว เจ้าคิดจะก่อเรื่องอะไรอีก?”
“คนที่ถูกจับคือลูกสาวของข้า ไม่ใช่ว่าจะเป็นฆาตกรที่แท้จริง!”
ใจของจีหมิ่นจวินตอนนี้ว่างเปล่า ปกตินางเป็นคนเกรี้ยวกราดโอหัง แม้ไม่เคยปะทะหัวชิงโดยตรง แต่เมื่อเรื่องบานปลายถึงขั้นนี้ ก็เท่ากับเป็นการหักหน้าหัวชิงแล้ว หากกัวมู่จิ่วสามารถคลี่คลายคดีได้ก็โชคดีไป หากคลี่คลายไม่ได้ พวกนางสามแม่ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ในสำนักแรกพยับลำบากแล้ว
แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้นางไม่อาจถอยได้แล้ว นางเป็นท่านหญิงของอาณาจักรจื่อจิว หากหัวชิงไม่ยอมให้นาง เช่นนั้นอาณาจักรจื่อจิวก็จะไม่อ่อนข้อแรกพยับเช่นกัน! ราชวงศ์จื่อจิวเป็นเผ่าเทพ ไม่ใช่คนธรรมดา!
ในความเป็นจริง มู่จิ่วก็แอบเลื่อมใสนางอยู่เช่นกันที่หาญกล้าเผชิญหน้ากับหัวชิง หากไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าชีวิตจืดชืดเกินไป เช่นนั้นก็คงเกรี้ยวกราดจนเคยตัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ มู่จิ่วพูด “หลินเซี่ยขึ้นได้รับแต่งตั้งเป็นเซียนโดยแท้ หน่วยลาดตระเวนรับคดีมา ข้าก็ไม่อาจไม่ฟังคำสั่ง ตอนนี้ข้าต้องมาอยู่ที่นี่ หวังว่าเจ้าสำนักจะอำนวยความสะดวก”
หัวชิงอดกลั้น พยักหน้าพลางตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญคณะของใต้เท้ากัวไปยังยอดเขาบัวหยกด้วย หลินเซี่ยตายที่นั่น อีกทั้งภรรยาของเขายังเป็นผู้ร้องทุกข์ คิดดูแล้วแบบนี้สะดวกต่อการสืบมากกว่า”
มู่จิ่วไม่มีความเห็น และก็ไม่ได้มองพวกเขาอีก นำคนเดินตามจีหมิ่นจวินไปยังยอดเขาบัวหยก
จีหมิ่นจวินนำไปยังลานบ้านด้านหลัง จัดแจงให้อยู่ที่ลานชั้นสองทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ด้านในมีสามห้อง มู่จิ่ว ซ่างกวนสุ่น และอาฝูอยู่คนละห้องพอดี
ส่วนหลี่อี้กับผู้ติดตามอีกสี่คนพักอยู่ด้านนอก
ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ละคนเมื่อได้ห้องก็แยกย้ายไปพักผ่อน
มู่จิ่วไม่รีบร้อน นางพักผ่อน อาบน้ำ รินชา จัดตะเกียงไว้แล้วปลอกเมล็ดสนอยู่ข้างโต๊ะ นางยังต้องครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดก่อน
บนสำนักแรกพยับมีต้นสนมากมาย ต้นสนออกลูกเยอะนัก แต่ละลูกใหญ่สมบูรณ์ เด็ดมาไม่สิ้นเปลืองอะไร
เมื่อปลอกไปได้สิบสี่สิบห้าเมล็ด เสียงลมด้านนอกแปลกไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้มีเพียงกิ่งไม้สั่นไหวเบาๆ แต่ตอนนี้กระทบหลังคา
นางรวมพลังไว้ที่ปลายนิ้วก่อนเปิดประตูผ่านอากาศ มีคนผู้หนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ตรงนั้น อยากหนีก็หนีไม่ได้
“เจ้ากลายเป็นคนลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” มู่จิ่วเหลือบมองด้านนอก สีหน้าเย็นชา
บนใบหน้าของหลินเจี้ยนหรูเจือความตระหนกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลายเป็นเย็นชาเช่นเดิม
เขาเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะ ก่อนเอ่ย “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ”
“คิดไม่ถึงว่าจีหมิ่นจวินจะฟ้องร้องเจ้า?” มู่จิ่วไม่มองเขา ยังคงปอกเมล็ดสนไป
“ไม่ คิดไม่ถึงว่าคนที่สืบคดีการตายของหลินเซี่ยจะเป็นเจ้า”
น้ำเสียงของหลินเจี้ยนหรูแม้จะราบเรียบ แต่กลับเนิบนาบในแบบที่มู่จิ่วไม่เคยได้ยินมาก่อน
มู่จิ่วหันมา เหลือบมองเขา “นี่คืองานของข้า ข้าจะไม่มาได้อย่างไร?”
“แต่เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าเราคือเพื่อนกัน” เขาพูด “ข้าเคยคิดว่าแม้เจ้าจะทิ้งเพื่อนเช่นข้า แต่ก็คงช่วยรักษาความลับ ย่อมต้องไม่มีความคิดลากข้ากลับไปลงโทษ แต่การมาของเจ้าในครั้งนี้ มาเพื่อให้ความยุติธรรมแทนเบื้องบน ขุดความผิดของข้าออกมาทั้งหมด จากนั้นไปรายงานสวรรค์ ให้ข้ากระโดดแท่นประหารเซียนเช่นนั้นหรือ?”
มู่จิ่วรู้สึกราวกับมีลมเย็นๆ พัดเข้ามาในใจ มือเท้าเย็นเฉียบ
ถึงแม้นางมีความคิดจะห่างเหินจากเขา ถึงแม้นางรู้ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะลากตัวเขาออกมา แม้ครั้งนี้รับทำคดี ก็ไม่ใช่ความตั้งใจของนางแต่แรก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็คิดถึงหนทางเลือกของนางแล้ว!
นางหันไปกล่าว “ถึงแม้ข้าจะทำเช่นนี้ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรผิด หรือข้ามีหน้าที่ต้องปกปิดความผิดของเจ้า?”
“ข้าแค่ทำหน้าที่เท่านั้น ช่วยนักโทษปกปิดความผิดข้าก็ต้องรับโทษเช่นกัน หากข้าช่วยเจ้าก็คือรักษาสัมพันธ์ หากไม่ช่วยก็คือทำตามหน้าที่ เจ้าอย่าคิดว่าคนทั้งโลกล้วนติดค้างเจ้า ข้ากัวมู่จิ่วกล้าสาบานต่อสวรรค์ ไม่ว่าข้าตัดสินใจอย่างไร ข้าก็ยังมีหน้ากล้าสู้ฟ้าดิน! และไม่ติดค้างเจ้าสักนิด!”
นางทุบลูกสนลงไปบนโต๊ะ ใบหน้าเย็นชา ยังหนาวเย็นกว่าลมเย็นที่พัดเข้าสู่ใจนางสิบเท่า
คิดจะได้คืบเอาศอกกับนางหรือ? เขาคิดผิดแล้ว!
หลินเจี้ยนหรูไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน เดิมทีคิดแผนการไว้ในใจ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงไปโดยไม่อาจห้าม
เขาลืมไป เบื้องหลังนางยังมีลู่ยา..
เขากระแอมไอ น้ำเสียงอ่อนลง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแค่พลั้งปากไปหน่อย”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร สรุปคือข้ามาเพื่อทำคดี ข้าเพียงต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะสืบออกมาอย่างไร ข้าจะทำตามหลักเมตตาเท่านั้น” มู่จิ่วมองเขานิ่งๆ ไม่มีความคิดจะคุยด้วยแล้ว
ไม่ผิด ปกตินางเป็นคนยอมคน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ใครเอาเปรียบอย่างใดก็ได้
นางจะทำดีกับใคร นางตัดสินใจเอง ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ
หลินเจี้ยนหรูในตอนนี้ไม่ใช่คนที่นางรู้จักในตอนแรกแล้ว นางเห็นความร้อนตัวของเขา เห็นความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เขาที่มาขอร้องนางแต่ก่อนมักมีท่าทีหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาที่มาซักถามนางถึงที่ แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับเรื่องที่ตนเองเคยทำมาก่อนก็ยังสงบนิ่งได้
…………………………..