ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 347 เทพเซียนทะเลาะกัน
***ประกาศ***
ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 62 เป็นต้นไป ท่านเทพมาแล้ว! ปรับวันอัปเดตเป็นทุกวัน เวลา 11.30 น. ค่ะ
“อาจารย์อา”
จุ่นถีมองเขา เดินหน้าเข้าไปสองก้าว “แต่ก่อนข้าเคยบอกแล้ว ความจริงที่ท่านต้องการข้าก็ไม่รู้ ส่วนจื่อเย่าอยู่ที่ไหนข้าก็ไม่ได้รู้อยู่ตลอดเวลา หากให้ข้าหา ข้าก็หาไม่เจอหรอก”
“หาไม่เจอก็อย่ามาวอแวกับข้า” ลู่ยายกเท้าสองข้างขึ้นวางบนโต๊ะกลม “เมื่อไหร่ที่เจ้าตามคนมาได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยสอนให้พวกเขาตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร” เขาหลุบตาลงจิบชา ก่อนเอ่ยอีกว่า “ที่จริงเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเลย เพียงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างชัดเจน ข้าก็จะไปทันที ไม่อยู่ขวางตาเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ฟัง!”
จุ่นถีชะงักไปนิด กุมมือมองลู่ยาอยู่นาน ก่อนสะบัดผ้าคลุมนั่งลงและรินชาให้ตนเอง
“ท่านไม่กลัวอาจิ่วเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่านหรือ?”
ลู่ยามองตาขวาง “เจ้ากำลังเตือนข้าว่าให้ระวังเจ้าฟ้องนางเช่นนั้นหรือ?”
“ถึงข้าไม่ได้พูด ไม่ช้าเร็วนางก็จะรู้เอง” จุ่นถีพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ถึงแม้ปกตินางจะดูโง่ แต่จริงๆ แล้วความคิดกลับไม่เป็นเช่นนั้น หากนางรู้ว่าท่านรั้งอยู่ที่นี่หลายวัน ทั้งยังก่อกวนหงชาง เกรงว่ากลับไปอาจารย์อาจะลำบากเอา”
แววตาของลู่ยาเย็นเยียบ “เช่นนั้นเจ้าว่าคู่หมั้นสำคัญกว่าหรืออาจารย์สำคัญกว่า?”
“นั่นก็ตอบยาก” จุ่นถีก็รินชาให้ตนเอง พูดเรียบๆ ว่า “ตอนเด็กอาจิ่วติดข้าที่สุด ตอนนางอายุได้สามขวบข้าชะล้างรากฐานวิญญาณให้นาง ตั้งแต่เข้าสู่หนทางเซียน นางเติบโตช้านัก ก่อนหน้านางจะเดินได้ตอนอายุห้าสิบปี ก็นอนอยู่ห้องเดียวกับข้าตลอด”
สีหน้าของลู่ยาไม่น่าดูยิ่งนัก
จุ่นถีกลับเอ่ยต่อไป “ไม่เพียงอยู่ห้องเดียวกับข้า แม้แต่เสื้อที่นางสวมก็ล้วนเป็นเสื้อที่ข้าทอขึ้นมาเอง บางครั้งยังเป็นข้าที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อให้นาง…เรื่องนี้ไม่อาจโทษข้าได้ ข้ารับนางเป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียว คนทั้งภูเขาล้วนเป็นชายหนุ่ม มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้”
ถ้วยชาในมือลู่ยาแตกละเอียด! ใบหน้าก็คล้ำทะมึนราวกับเมฆฝน เหมือนไม่นานจะมีน้ำหยดออกมา
จุ่นถีกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เดินหน้าพูดต่อ “ตอนมู่จิ่วยังเด็กไม่ว่าข้าจะเดินไปที่ไหน นางก็จะติดตามไปทุกที่ หากไม่พานางไป นางจะดึงชายเสื้อข้าไว้ไม่ยอมให้ไป แต่เพราะนางมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ สติปัญญาเติบโตมากกว่าเด็กทั่วไป ดังนั้นจึงไม่เคยงี่เง่าไร้เหตุผล
“มู่จิ่วจิตใจดี ไม่วุ่นวาย เด็กเช่นนี้แม้แต่ข้ายังเอ็นดูไม่น้อย อีกทั้งนางยังเป็นเด็กผู้หญิงและเป็นศิษย์คนเล็ก ดังนั้นข้าจึงปฏิบัติต่อนางใกล้ชิดกว่าศิษย์คนอื่น ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็สามารถคุยกับข้าได้ มีปีศาจแถวนี้เขียนจดหมายหานางหรือว่าผู้ฝึกตนหนุ่มคนไหนส่งดอกไม้ให้ เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนรู้ทั้งหมด”
ลู่ยาก้มหน้าลงมองมือตนเอง ไม่รู้ว่าควรฟาดฝ่ามือนี้ให้เขาตายไปเลยดีหรือไม่…
จุ่นถีมองใบชาในถ้วยพลางเลิกคิ้วพูด “ลืมบอกท่านไป ตอนยังเด็กนางยังเคยพูดกับปีศาจจิ้งจอกที่ตีนเขาว่าอยากแต่งให้กับคนที่เป็นเหมือนข้า นางบอกว่าข้าเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุด จิตใจดีที่สุด พึ่งพาได้ที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนที่นางพบเจอมา อาจารย์อาก็เห็นแล้ว ถึงแม้นางจะอยู่ด้วยกันกับท่าน แต่หลังจากที่นางรู้ว่าข้าหายไปยังทรุดตัวลงร่ำไห้เลย”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า สำหรับอาจิ่วพวกเราสองคนใครสำคัญกว่ากันแน่?”
ลู่ยารู้สึกว่าฟาดลงไปฝ่ามือเดียวจะเอาเปรียบเขาเกินไป
เขาควรจะเผาจุ่นถีให้เป็นจุณไปเสียเลย!
จุ่นถีเปลี่ยนเสื้อให้อาจิ่วหรืออยู่ห้องเดียวกับนางก็แล้วไปเถอะ แต่กลับกล้าโอ้อวดว่าตัวเองเป็นชายในฝันของนางต่อหน้าเขาอย่างจองหอง?
อีกฝ่ายคงอยากทดสอบว่ากระดูกของตนแข็งขนาดไหนแทบใจจะขาด…
“ศิษย์พี่จุ่นถี ท่านอย่าเล่นกับไฟ!”
จื่อจิ้งที่มองพวกเขาลับฝีปากกันอยู่นานพุ่งเข้ามาด้านหน้าดุจฟ้าแลบ ดึงแขนจุ่นถีไว้ “ท่านพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าปีศาจน้ำส้มสายชูนี่ ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”
ถึงแม้หลายปีมานี้เขาจะก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของลู่ยาอยู่ดี! เขาบ้าไปแล้วหรือ ก็รู้ว่าเจ้าคนระยำนี่จัดการคนได้โดยไม่กะพริบตา ยังกล้าพูดแบบนี้อีก!
จุ่นถีไม่สนใจจื่อจิ้ง ยังคงมองเพียงลู่ยา
เขาเลี้ยงมู่จิ่วมาจนโต มองนางเป็นเหมือนลูกสาวของตนเอง ถึงแม้รู้ว่าวันหนึ่งนางก็ต้องออกเรือนจากตนไป แต่นี่เพิ่งไปสวรรค์ได้ไม่กี่เดือนกลับมีคนมาชอบพอเข้าแล้ว หากบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจะเป็นไปได้อย่างไร แถมคนผู้นั้นยังเป็นอาจารย์อาของตนเองผู้นี้อีก ความรู้สึกบางอย่าง มีเพียงคนในอย่างเขาเท่านั้นที่เข้าใจจริงๆ
“เจ้ายังมีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่? มิสู้พูดออกมาให้หมด” ลู่ยาวางมือบนเข่า หรี่ตามองจุ่นถี ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือ เพียงแค่มองด้วยสายตาก็สามารถแผดเผาอีกฝ่ายจนเป็นจุณได้แล้ว เห็นแก่อาจิ่ว เขาจะให้จุ่นถีพูดให้พอก่อน จากนั้นจะให้ตายอย่างมีความสุข
“ไม่มีแล้ว” จุ่นถีเลิกคิ้ว “แต่ถ้าจะให้พูด ก็ขอให้อาจารย์อารักษาตัวให้ดี อันที่จริงหากข้าตายแล้วอาจิ่วทะเลาะกับท่านอีก นางก็จะไม่มีแม้แต่บ้านให้กลับ ไม่แน่ว่าอาจไม่สนใจใยดีท่านอีกตลอดชีวิต”
ลู่ยาไม่อยากพูดไร้สาระกับเขาอีก
เขาเป็นคนที่ยอมรับคำข่มขู่ของผู้อื่นหรือ?
ไม่ใช่แน่!
ลู่ยาพลันสะบัดผ้าคลุม ม้วนเอาลมขุมหนึ่งขึ้นมา กลางอากาศมีดอกบัวทองลอยขึ้นมากมาย ราวกับสายฟ้าฟาดท่ามกลางฝน ฝนดาวตกท่ามกลางฟ้ามืด พลันล้อมรอบตัวจุ่นถีเอาไว้
จุ่นถีนั่งอย่างสงบ ไม่ได้ลงมือตอบโต้ ทั้งยังไม่มีท่าทีตกใจ เพียงดื่มชาแก้วนั้นจนหมดอย่างสงบ ก่อนถอยไปด้านหลังกลางอากาศ พร้อมสร้างกำแพงน้ำขึ้นมาขวางด้านหน้า
พูดไปก็แปลก ดอกบัวเหล่านั้นเมื่อเจอกับกำแพงน้ำก็พลันถอยร่น เรียงตัวกลายเป็นกำแพงดอกไม้…
“ศิษย์พี่จุ่นถีสุดยอด!”
จื่อจิ้งปรบมือชื่นชม
ลู่ยาเก็บดอกบัวมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง มองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา “หลายปีมานี้นับว่าเจ้าไม่ได้เสียเวลาเปล่า นี่คือมหาอาคมดูดกลืนวิญญาณใช่หรือไม่?”
“อาจารย์อาชมเกินไปแล้ว” จุ่นถีเดินกลางอากาศ ก่อนเอ่ย “เทียบกับอาจารย์อาแล้วยังไม่นับเป็นอะไรได้”
ลู่ยายิ้มเยาะ “รู้ก็ดีแล้ว!”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นจุ่นถีพลันขยับตัวไม่ได้…ไม่ใช่ไม่อยากเดิน เท้าขวาของเขายังสามารถยกขึ้น แต่ขยับไม่ได้!
ไม่เพียงขยับไม่ได้ ใต้เท้ายังมีหลุมไฟปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้วย!
หลุมไฟนี้เริ่มจากใต้เท้าเขา จากนั้นค่อยๆ กระจายไปทั้งสี่ทิศ หินไฟสีแดงเพลิงเหมือนกับน้ำแกงสีแดง คลื่นไอร้อนลอยขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า!
จื่อจิ้งร้องครวญพลางถอยออกไปก่อนแล้ว
จุ่นถีมองลู่ยา “อาจารย์อาลงมือว่องไวนัก”
“เก็บคำพูดไร้สาระไว้ซะ!” ลู่ยายิ้มเยาะ “เล่าเรื่องที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด จื่อเย่าคือใคร ชายชุดเขียวคือใคร พวกเขาหรือพวกเจ้าวางแผนร้ายอะไรไว้? อีกอย่าง พลังวิญญาณในร่างมู่จิ่วคืออะไร? พวกเจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? อย่าได้พูดตกไปสักประโยคเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าอับจนหนทาง แล้วก็ไม่ต้องมาคอยรับผลลัพธ์ที่ตามมาอีก”
ใบหน้าของจุ่นถีกระตุก แม้เปลวเพลิงใต้เท้าจะแผดเผาจนเขาร้อน แต่ดวงตาทั้งสองกลับเย็นเยียบ
…………………………….