ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 359 หลังจากนั้น
ลู่ยาไม่ตอบ เขานั่งตัวงออยู่บนพื้น มองไปยังโถงอันว่างเปล่าที่เคยจัดวางโต๊ะมงคล
“จากนั้นล่ะ?” เขาถาม “ลู่จีกลายเป็นอาจิ่วได้อย่างไร? พวกนางไม่เหมือนกันเลย…”
แม้เขาจะแน่ใจว่ามู่จิ่วคือลู่จี แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบุคลิกนิสัยของพวกนางต่างกันมากนัก
หงจวินทำหน้าเคร่งมองประตู “ลู่จีตัดสินใจหนักแน่น เข้าไปในใจกลางคลื่นจิตพสุธาหวังจะดับสูญไปพร้อมพลังลมปราณร้าย แต่พื้นฐานของนางยังไม่ถึงขั้นจะทำลายพลังนั้นได้หมดจด หากคิดจะทลายพลังร้าย ทำได้เพียงรั้งอยู่ในคลื่นจิตพสุธาเพื่อรอโอกาสเหมาะ แต่เพราะเจ้าแข็งขืนบุกเข้าไปจึงทำความเสียหายแก่หกวิญญาณบนกำแพง ทำให้พลังร้ายรั่วไหลออกมา นางจึงทำได้เพียงสละชีวิตเข้าปกป้อง สุดท้ายนางเข้าทลายพลังร้ายและทำให้หกวิญญาณกลับมามีสภาพดังเดิม จนจิตวิญญาณแตกซ่านไปทั้งหมด”
ลู่ยาไม่ขยับ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปาดเลือด
“ข้าไม่เชื่อ” หากจิตวิญญาณแตกซ่านไป จะกลายเป็นอาจิ่วได้อย่างไร?
“สิ่งที่อาจารย์ลุงกล่าวนั้นไม่ผิด จิตวิญญาณได้แตกซ่านไปแล้ว”
จุ่นถีพูดช้าๆ “แต่เพราะนางคือบุตรสาวของวิญญาณทั้งหก หกวิญญาณฟื้นฟูสู่สภาพเดิมด้วยพลังวิญญาณที่มีมาแต่เกิดของนาง จึงยังคงเหลือจิตรับรู้ของนางอยู่ อาจารย์ลุงไปถึงทันเวลาพอดี อาศัยพลังบริสุทธิ์ของสวรรค์อันสูงสุดตามหาพลังวิญญาณของนาง แล้วส่งกลับไปราวๆ หกพันปีก่อน…หรือก็คือหนึ่งหมื่นหกหรือเจ็ดพันปีก่อน พอดีกับที่พลังฟ้าเริ่มเคลื่อนไหว สามารถบิดเบือนมิติเวลาได้”
“หรือหมายความว่านางกลับไปยังยุคที่ไม่มีนางอยู่ เริ่มชีวิตใหม่ในโลกมนุษย์”
“แต่เพราะจิตรับรู้ของนางอ่อนแอเกินไป ยังไม่สามารถไปเกิดเป็นคนได้ และก็มีเพียงพลังเซียนสายหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกข้าจึงพานางเวียนว่ายตายเกิดไปอีกหลายช่วงเวลาก่อน ล่าสุดก็คือที่โลกมนุษย์ นางใช้ชีวิตอยู่ราวยี่สิบกว่าปี พลังเริ่มสมบูรณ์ขึ้นหน่อยถึงได้พากลับโลกเซียน ให้ข้าช่วยนางออกจากปากเสือ”
“อาจิ่วในตอนนี้จึงไม่ใช่ลู่จีที่แท้จริง นางเป็นเพียงจิตต้นกำเนิดส่วนหนึ่งเท่านั้น บุคลิกนิสัยของนางเป็นเพียงส่วนหนึ่งของลู่จีเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ที่ท่านเห็นว่าบุคลิกนิสัยของพวกนางต่างกันมากก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ แต่หลังจากที่พลังระเบิดออกที่คุนหลุนตะวันออกครั้งนั้น ตอนนี้วิญญาณที่เหลือซึ่งหลบซ่อนอยู่ในร่างกายนางก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น”
“หมื่นกว่าปีก่อน?”
“ไม่ผิด” จุ่นถีพูดต่อ “ถึงแม้ตอนนั้นจะหล่อเลี้ยงจิตต้นกำเนิดของลู่จีขึ้นมา แต่กลับไม่ใช่ของดั้งเดิมของนาง นี่เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับหกภพ ข้ายังจำได้ ตอนที่เทพหญิงจากไป ฟ้าดินเปลี่ยนสี แม่น้ำทะเลโหมซัด สายฟ้าฟาดไปทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้น ดาวผืนใหญ่ตกลงมาที่สวรรค์อันสูงส่ง”
“ฝนตกห่าใหญ่ติดต่อกันเก้าวันเก้าคืน อาจารย์ลุงโกรธจัดจึงจับท่านเข้าไปใต้ดอกบัวทอง หลังจากนั้นอาจารย์กับอาจารย์อาสามขอร้องไว้ อาจารย์ลุงถึงได้ปล่อยท่านออกมา ตัวท่านอ้อนวอนขอให้ยอมให้อยู่ด้วยกันกับเทพหญิง อาจารย์ลุงคิดแล้วว่าเทพหญิงต้องกลายเป็นเซียน จึงใช้พลังเจ็ดดาวเหนือดึงจิตรับรู้ของท่านออกมาส่วนหนึ่ง ทำให้กลายเป็นชายชุดเขียวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”
ลู่ยาเงียบไปครู่หนึ่ง มองเขาก่อนเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าพวกเจ้าทั้งหมดต่างก็รู้เรื่องราวทั้งหมด มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่รู้?”
ในฟ้าดินนี้เต็มไปด้วยมิติเวลามากมาย พวกเขาสามารถเดินทางเข้าออกได้ตามใจชอบ เรื่องนี้เขาไม่สงสัย แต่ทำไมเขาต้องแยกเขาออกเป็นสองคน?
“ไม่ใช่” จุ่นถีส่ายหน้า “คนที่รู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงอาจารย์ลุงคนเดียว ข้าเพิ่งรู้ตอนที่ท่านมาขุดคุ้ยเรื่องของข้าที่หงชาง อาจารย์ลุงคาดว่าท่านจะมา จึงกลายร่างเป็นจื่อเย่ามาหาข้าเสียก่อน กระทั่งอาจารย์กับอาจารย์อาสามก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อเร็วๆ นี้ น่าจะเป็นตอนที่ท่านถูกขวางที่คลื่นจิตพสุธาแล้วกลับมาไม่นาน”
“เดิมทีอาจารย์ลุงตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากที่อาจิ่วกลายเป็นเซียนแล้ว แต่เรื่องนี้กลับผิดแผน พวกเราประเมินความดื้อด้านของอาจารย์อาน้อยผิดไป หลายครั้งที่ความจริงเกือบถูกท่านเปิดเผย อาจารย์ลุงจึงจำต้องปรากฏตัวออกมา”
“ส่วนเรื่องที่อาจารย์อาน้อยไม่รู้ว่าชายชุดเขียวเป็นตนเอง และทำไมถึงต้องปิดบัง นี่เป็นเพราะตัวท่านเองบอกไว้แต่แรกก่อนที่จิตรับรู้จะถูกดึงออกมา ท่านหวังว่าในชีวิตนี้จะสามารถอยู่กับนางได้อย่างสงบ อาจารย์ลุงจึงส่งเสริมท่าน ทำให้จิตรับรู้นั้นกลายเป็นท่านอีกคน หมื่นปีให้หลังอาจารย์ลุงต้องจัดการเรื่องทั้งหมด ส่วนท่านช่วยให้อาจิ่วกลายเป็นเซียน”
“เช่นนั้นทำไมตอนนางเห็นชายชุดเขียวถึงได้ดูไม่ออกว่าเป็นข้า?” ใจของเขาสั่นไหวราวกับคลื่นซัดสาด
จุ่นถีถอนหายใจก่อนเอ่ย “นั่นเป็นเพราะจิตต้นกำเนิดของเทพหญิงยังไม่กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ ตอนนี้นางมีเพียงวิญญาณเซียน อีกห้าวิญญาณที่เหลือยังคงหลับลึกอยู่ อีกอย่างอาจารย์ลุงตั้งใจไม่ให้นางกับท่านรู้เรื่องทั้งหมดในตอนนี้ ใบหน้าของชายชุดเขียวจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยในสายตาของนาง”
“ดังนั้นนางเลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านเมื่อก่อนเลย มีเพียงให้วิญญาณทั้งหกของนางตื่นขึ้นจนครบ ตอนที่ความทรงจำของลู่จีกลับคืนมา ความทรงจำของนางที่มีต่อชายชุดเขียวถึงจะซ้อนทับกับท่าน”
“เช่นนั้นทำเช่นไรถึงจะปลุกวิญญาณที่เหลือขึ้นมาได้!”
“ทำให้นางกลายเป็นเซียน” จุ่นถีกอดอก
“กลายเป็นเซียน?”
“ใช่” จุ่นถีพยักหน้า “ถึงแม้เทพหญิงไม่อาจมีคนที่สองได้ แต่ตอนนี้พลังร้ายในคลื่นจิตพสุธากลับยังคงก่อรูปอยู่อย่างช้าๆ และพลังของหกวิญญาณก็รวมอยู่ในตัวของนางไปแล้ว ทั้งยังไม่สามารถให้กำเนิดนางอีกคนได้ คนที่จะทลายพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้มีเพียงบุตรีของหกวิญญาณเท่านั้น วิญญาณเซียนในร่างของอาจิ่วเป็นหนทางเดียวที่จะปลุกวิญญาณที่เหลือทั้งห้าขึ้นมา”
“หากนางไม่กลายเป็นเซียน ก็จะไม่อาจควบคุมพลังของวิญญาณเซียนได้ มีเพียงกลายเป็นเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมวิญญาณเซียน กระตุ้นวิญญาณทั้งห้าให้ตื่นขึ้น หลังจากหกวิญญาณรวมตัวกันแล้ว นางจะกลับไปสู่ฐานะเทพหญิง ไม่เพียงจะจำท่านได้ทั้งหมด แต่ยังมีความสามารถยับยั้งพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา กำราบมันได้อย่างราบคาบ นางเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด และเป็นตัวเลือกเดียวเท่านั้น”
ลู่ยามองพวกเขาอย่างตกตะลึง ก่อนหันหลับมาสัมผัสหกวิญญาณบนกำแพงและหลับตาลง
นานนักกว่าเขาจะลืมตาขึ้นมองพื้นแล้วเอ่ย “เช่นนั้นการที่ข้าปรากฏตัวข้างกายนาง ก็เพื่อช่วยให้นางรีบสะสมบุญกุศล กลายเป็นเซียนโดยเร็ว เพื่อไปกำราบพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธา?”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” หงจวินเดินเข้ามาพูด “เรื่องคลื่นจิตพสุธาเป็นเจ้าที่ก่อขึ้นมา เรื่องนี้เจ้าไม่ทำใครจะไปทำ? อีกอย่างจุดจบความรักของเจ้ากับเทพหญิง อย่างไรก็ต้องให้พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง เจ้าอ้อนวอนข้าหลังจากเกิดเรื่องนี้ และข้าก็จำต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าสืบจนรู้ที่มาของชายชุดเขียวหมดแล้ว ต่อไปก็รอดูว่าเจ้าจะรับมือสถานการณ์ของนางทางนั้นอย่างไร”
“สถานการณ์ของนาง?” เขาขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
“เมื่อครู่จุ่นถีบอกว่าตั้งแต่พลังระเบิดที่คุนหลุนตะวันออก วิญญาณทั้งห้าที่เหลือในร่างนางคลับคล้ายจะค่อยๆ เผยตัว หากไม่เพิ่มการควบคุม หกวิญญาณในร่างกายนางอาจระเบิดออกมาอีก นางที่ยังไม่กลายเป็นเซียนไม่อาจควบคุมมันได้ เจ้าก็รู้ดี หากเป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือนางดับสูญไปอีกครั้ง และครั้งนี้คงไม่โชคดีเหมือนหมื่นปีก่อนอีกแล้ว นางต้องได้วิญญาณเซียนปกปักเท่านั้น บนโลกนี้ไม่มีคนสามารถช่วยนางได้อีก ตอนนี้เจ้าต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ”
สีหน้าลู่ยาซีดขาว
ยืนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“พูดง่ายๆ หากต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิตหลังจากนี้หมื่นปีของพวกเจ้า มีแต่ต้องให้นางสะสมบุญกุศลกลายเป็นเซียนอย่างราบรื่น จากนั้นปลุกหกวิญญาณในร่างให้ตื่นขึ้น รอจนพวกเจ้าทั้งสองกำจัดพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธาได้สำเร็จ ก็สามารถละทิ้งโซ่ตรวนทั้งหมดและอยู่ด้วยกันได้แล้ว”
หงจวินกอดพู่หางม้าเหลือบมองเขา
“ข้าจะไปหานาง!”
ลู่ยารอไม่ได้อีกแล้ว รับชักเท้าตรงไปข้างนอก
หงจวินยกพู่หางม้าขึ้นขวางเขาไว้ “ไปหานางตอนนี้ คิดจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่นางใช่หรือไม่?”
…………………………….