ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 372 ในที่สุดก็กลับมา
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง “แต่ชายชุดเขียวไม่ปรากฏตัวออกมาตอนที่เขาฆ่าหลินเซี่ยกับจีหย่งฟาง”
มู่จิ่วถือถ้วยพลางพยักหน้า หากคนมีความเกลียดชังในใจ เรื่องอื่นก็นับเป็นรองทั้งหมด
เมื่อพูดกลับมาอีกที ชีวิตที่ผ่านมาของหลินเจี้ยนหรูมีส่วนที่น่าเห็นใจและน่าสงสาร แต่การใช้พลังที่ได้มาเปล่าหลอกคนไม่ใช่เรื่องที่ชายชุดเขียวสั่งให้เขาทำ และก็ไม่มีใครบังคับให้เขากลับสำนักแรกพยับไปเป็นผู้อาวุโส หากเขาสามารถเลือกบอกเหตุผลที่จะออกจากแรกพยับกับหัวชิง หัวชิงก็ไม่มีเหตุผลใดไม่ปล่อยเขาไปเนื่องด้วยความกลัวที่มีต่อพลังเสวียนหมิงในร่าง
จะว่าไปแล้ว นี่ยังเป็นเพราะความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขาด้วย
นางไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ฆ่าเขา หากวันนั้นเขาตายด้วยกระบี่ของนาง ก็ไม่รู้สึกว่าเขาตายอย่างไร้ความเป็นธรรม
เพียงแต่เมื่อนึกๆ ดูเรื่องทั้งหมด ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตเขาช่างทุกข์ระทมจนเกินไป
หลิวจวิ้นพยักหน้า สูดลมหายใจช้าๆ แล้วลุกขึ้นมา เดินไปพลางพูด “ยามนี้ไม่เจอร่องรอยของเขาไม่ว่าบนฟ้าหรือดิน เรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับชายชุดเขียว แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่อาจจบลงง่ายๆ กับสำนักแรกพยับ เจ้าพาคนจำนวนหนึ่งไปที่สำนักแรกพยับ หากจำเป็นก็ทิ้งคนเฝ้าไว้จำนวนหนึ่งได้ หรือแฝงตัวอยู่บริเวณใกล้ๆ บางทีอาจเจอเบาะแสอะไร”
มู่จิ่วรับคำ “ข้าขอไปเตรียมตัวสักหน่อย แล้วจะจัดการตามนี้”
หลิวจวิ้นเรียกนางไว้ “ท่านผู้นั้นที่บ้านเจ้ายังไม่กลับมาหรือ?” หากลู่ยาอยู่ ต้องหาเขาพบอย่างรวดเร็วแน่
“ยังเลยเจ้าค่ะ” มู่จิ่วแบมือ “ข้าก็กำลังกังวลอยู่”
หลิวจวิ้นโบกมือให้นางออกไป
หลายวันนี้ด้านหนึ่งนางก็รอลู่ยา อีกด้านหนึ่งก็ตามหาเบาะแสของหลินเจี้ยนหรู
แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เร่งด่วนนัก
ทางด้านทัพทหารสวรรค์เร่งมาก็ส่วนรัด ขอเพียงแค่เห็นพวกเจ้ามีการเคลื่อนไหว พวกเขาก็ไม่ได้เร่งรัดจนเกินไป แม้คดีนี้จะชวนให้ตื่นตกใจ กลับไม่นับว่าเป็นคดีสะเทือนฟ้าดิน
และหลิวจวิ้นยิ่งไม่ได้ร้อนใจ ในเมื่อนางที่มีลู่ยาเป็นที่พึ่งกลับมาแล้ว เขาจะกังวลไปทำไม?
จะชายชุดเขียวก็ดี คนชุดขาวก็ดี ลู่ยาก็เพียงถูกขวางไว้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะถูกเขาขัดขวางไปทั้งชีวิตหรือ? ลู่ยาเอาชนะเขาไม่ได้ เทพทั้งสามเหนือหัวขึ้นไปนั้นจะเอาชนะไม่ได้หรือไร? ดังนั้นเขาจึงสบายใจกว่าแต่ก่อนมาก เลิกงานเข้างานตามเวลาทุกวัน เวลาว่างยังนัดเพื่อนไปดื่มเหล้า
แน่นอนว่ายามเข้างานเขาก็ไม่เคยย่อหย่อน หากคดีสามารถคลี่คลายได้เร็วก็ดี หลายวันนี้จึงช่วยมู่จิ่ววิเคราะห์รูปคดีด้วย
หลังจากมู่จิ่วจัดม้วนคดีเสร็จ จึงพาพวกหลี่อี้ไปลาดตระเวนที่สำนักแรกพยับ
สำนักแรกพยับที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก
ผู้คุมยอดเขาบัวหยกจีหมิ่นจวินแม่ลูกตายทั้งคู่ จีเพ่ยฟางได้รับบาดเจ็บสาหัส สายป่านของหลินเซี่ยเท่ากับว่าสิ้นสุดแล้ว
หลังจากที่เหล่าศิษย์จัดงานศพจีหมิ่นจวินและลูกเรียบร้อยแล้วก็ทยอยหนีลงจากเขาไป หากถามหลินเจี้ยนหรูว่าเกลียดที่ไหนมากที่สุด ก็คงไม่พ้นเขาบัวหยกแห่งนี้ ตอนนั้นมีใครบ้างที่ไม่ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาตอนอยู่บนเขา? มีใครบ้างไม่เตะเขาสักหลายครั้ง? ตอนนี้จีหมิ่นจวินถูกทำลายล้างตระกูลแล้ว ถ้าพวกเขาไม่หนีไป ไม่เท่ากับว่าอยู่รอความตายหรือ?
ดังนั้นเวลาเพียงเดือนเดียว ทั้งยอดเขาก็ว่างเปล่า ทุกที่มีแต่กลิ่นอายความสูญเสีย
หลังจากหัวชิงตายก็ไม่มีใครกล้าขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ถึงแม้เหล่าผู้อาวุโสจะมั่นใจในพลังของตนเองอย่างมาก ไม่กลัวหลินเจี้ยนหรูมาล้างแค้น แต่ก็ไม่คิดอยากขึ้นเป็นเป้าสายตา ดังนั้นเรื่องในเขาบัวหยกจึงไม่มีใครเข้าไปยุ่ง เท่ากับปล่อยไปตามยถากรรม และพวกเขาก็ต่างคนต่างจัดการเรื่องของตัวเอง ปิดประตูสำนักแน่น นอกจากศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดิมมาเยี่ยม ไม่ว่าใครก็ไม่พบหน้าทั้งนั้น
ตอนพวกมู่จิ่วไปถึงสำนักจึงสิ้นเปลืองแรงมากมายไปเปล่า
หลินเจี้ยนหรูขึ้นเป็นผู้อาวุโสได้เพราะมีหัวชิงสนับสนุน ซึ่งก็ตรงตามที่เขาคิดไว้คืนนั้น หลังจากเกิดเรื่องแล้ว ทั้งสำนักแรกพยับต่างกล่าวโทษมาทางเขา ถึงแม้เขาถูกเหลียงชิวฉานฆ่าตาย แต่ในการฝังศพ แม้แต่หลิวเติงเจินเหรินที่เขาตั้งใจจะให้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ ก็ยังไม่ให้การปฏิบัติในระดับที่คนเป็นเจ้าสำนักสมควรได้ เพียงแค่เลือกฝังร่างเขาไว้สักที่ตรงบริเวณฝังร่างของเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ
มู่จิ่วค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แล้ว จากนั้นก็ทิ้งคนไว้เฝ้าสำนักแรกพยับสักหลายคน ก่อนจะไปสุสานที่อยู่ทางตะวันตกของสำนักแรกพยับ
ทางตะวันตกของสุสานฝังร่างของครอบครัวจีหมิ่นจวินทั้งสี่คนไว้ รวมถึงหลินเซี่ยด้วย แต่ร่างของจีหย่งฟางกลับทิ้งไว้ที่หลุมตัดวิญญาณ
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี เวลาเพียงเดือนกว่า ยอดอ่อนหญ้าก็งอกขึ้นบนดินหลุมศพเต็มไปหมด
นอกจากร่องรอยการฝังศพแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยว่าช่วงนี้มีใครมาอีก
แบบนี้แสดงว่าหลินเจี้ยนหรูน่าจะยังไม่เคยกลับมา
นางสั่งให้หลี่อี้ทิ้งคนไว้สักหลายคน ก่อนกลับสวรรค์ไป
มู่จิ่วไม่ใช่ไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่น หลินเจี้ยนหรูระมัดระวังตัวขนาดนั้น เขายังไม่มีความสามารถล้างบางทั้งสำนักแรกพยับ หากเขาต้องการทำจะต้องมาสืบหาข้อมูลก่อน หากรู้ว่าพวกหลี่อี้อยู่ สักครึ่งต้องไม่ลงมือแน่
แต่นางก็ยังคิดจะทำเช่นนี้
บางทีในใจลึกๆ นางคงยังหวังให้เขาหวาดกลัวแล้วหนีไป กลับตัวกลับใจก่อนจะสาย
แน่นอน นางไม่ยอมใช้คนของสำนักแรกพยับเป็นเหยื่อล่อเขา นางไม่คิดจะจับเขาอย่างจริงจัง หากเลี่ยงไม่ได้ก็คิดอยากเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา นางคิดว่าเขายังควรได้รับเกียรติเช่นนี้
ยุ่งอยู่แบบนี้หลายวัน ตอนหลังค่อยผ่อนคลายลงหน่อย
แต่ลู่ยาก็ยังไม่กลับมา นางเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว
นี่ไม่เหมือนกับเขาเลย หากไม่มีเรื่องเกิดขึ้นเขาจะต้องส่งข่าวกลับมาแน่นอน!
วันนี้มู่จิ่วสั่งให้ซ่างกวนสุ่นไปดูที่หงชาง ตอนค่ำเพิ่งกลับจากหน่วยงาน นางที่ยังอยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยจากในบ้านดังเข้ามา “…ฝึกฝนเป็นอย่างไร? ทั้งสองคนมีใครแอบอู้บ้าง?”
มู่จิ่วตื่นเต้นดีใจ ก้าวเท้าเข้าประตูไป!
“ลู่ยา!”
ลู่ยาสวมชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อใต้ต้นท้อในลานบ้าน ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นมวย กลิ่นไม้กฤษณาอ่อนๆ ลอยมาตามลม ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?!
นางวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”
ลู่ยาถูกนางกอดแบบนี้ก็พลันรู้สึกแสบร้อนตรงจมูก มือทั้งสองกอดนางไว้ “รอข้าจนร้อนใจแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ!” นางยืนขึ้นมา มือก็ทุบไปที่อกเขาไม่หยุด พูดเสียงดังว่า “หากเจ้ายังไม่กลับมาอีก ข้ากลัวว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว!” ความตื่นเต้นจากการที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทำให้นางลืมไปว่ารอบข้างยังมีคนอยู่อีกมาก “ข้ามีเรื่องสำคัญมากจะบอกเจ้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายวันนี้ข้าเจออะไรมาบ้าง!”
“พี่สาว! เมื่อเช้าอาจารย์กลับมาก็ถามถึงท่านก่อนเลย ทั้งยังเอาดอกไม้มาให้ท่านมากมายด้วย!”
อาฝูทนไม่ไหว พูดแทรกขึ้นมา
“จริงหรือ?” มู่จิ่วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง มองไปก็เห็นว่ามีดอกโบตั๋นเสาเย่ากลิ่มหอมสีสดมากมายปักอยู่ในแจกันบนโต๊ะ
ลู่ยาเดินตามเข้ามา “หลายวันก่อนข้าอยู่ที่หงชาง ใครจะรู้ว่าศิษย์พี่หญิงของข้าจะเรียกข้ากลับไปจัดการงานบางอย่าง ดังนั้นจึงเสียเวลาไปนานขนาดนี้ ดอกไม้นี้เก็บมาระหว่างทางในวังของนาง เจ้าพอใจหรือไม่?”
“ดีมาก ดีมาก!” แม้มู่จิ่วจะไม่ใช่คนรักสวยรักงาม แต่เด็กสาวที่ไหนจะไม่ชอบดอกไม้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงดีใจยิ่งนัก
ลู่ยามองนาง ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
…………………………………..