ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 381 เป็นที่นี่เอง
หลังจากผ่านประตูมาแล้วก็เจอวังขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย!
แต่เมื่อครู่มองผ่านประตูเข้ามาจากข้างนอกนั้นกลับเป็นเพียงแค่พื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น!
มู่จิ่วยืนอยู่ระหว่างประตูวังกับทางเดิน มองไปรอบๆ ไม่ผิด! นี่คือคลื่นจิตพสุธา เป็น ‘บ้าน’ ของชายชุดเขียวที่นางอยู่เมื่อคราวก่อนถึงครึ่งเดือน!
แต่ทำไมนางถึงไม่ถูกพลังวิญญาณทำร้าย?
คราวก่อนเป็นเพราะชายชุดเขียวปกป้องอยู่ แต่คราวนี้ละ?
ทำไมพลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาถึงได้ปรานีนางนัก?
นางยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เดินขึ้นไปบนระเบียงทางเดินอย่างไม่รู้ตัว ผ่านวังเข้าไปทีละชั้น เข้าไปในห้องที่นางเคยอยู่เมื่อคราวก่อน
ช่วงเวลาครึ่งเดือนนั้นนางเดินเล่นอยู่ในวังเสียมาก รู้จักทางอยู่ไม่น้อย
ตลอดทางนั้นสงบเงียบยิ่งนัก สงบกว่าครั้งก่อนอีก
นางกลืนน้ำลาย เดินบนระเบียงทางเดินระหว่างวังอย่างระมัดระวัง
นางไม่รู้ว่าชายชุดเขียวอยู่หรือไม่ เขาบอกว่าเวลาส่วนใหญ่เขาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ นางทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอเขา อยากเจอเพราะว่ามีเพียงเจอเขาเท่านั้นนางถึงจะสามารถคลี่คลายความสงสัยในใจได้ แต่ที่ไม่อยากเจอเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นลู่ยาจริงๆ หากเป็นจริงแล้ว นางจะทำอย่างไร?
นางจึงเครียดขึ้นมา เดินก็ช้าลง
แต่ไม่ว่าจะช้าเพียงไร ก็ข้ามผ่านประตูไป จนมาถึงวังที่นางเคยอยู่
โคมบนระเบียงทางเดินยังอยู่ แต่กลับดูเก่าลงเล็กน้อย
ห้องที่นางเคยอยู่ถูกปิดไว้ แต่ห้องตรงระเบียงทางเดินกลับเปิดกว้างไว้ ด้านในมืดสนิท
นางก้าวเท้าเดินเข้าไปทันที มาถึงบานประตู ในห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย!
โต๊ะเอย เก้าอี้เอย โคมเอย ไม่มีอะไรเหลือ!
ที่เหลืออยู่มีเพียงโต๊ะหยกเก้าอี้หยกไม่กี่ตัวที่มีอยู่เดิม
เขาไม่อยู่?
เขาไม่อยู่ที่นี่?
นางนิ่งอึ้งอยู่ตรงประตู ก่อนจะหันกลับไป ‘ห้องของตัวเอง’ เปิดประตูออก ในห้องก็มีเพียงโต๊ะเก้าอี้หยกชุดหนึ่งเท่านั้น
นอกจากโคมสายนั้นบนระเบียงทางเดินแล้ว ก้ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่มาก่อนเลย!
หากไม่มีโคมไฟสายนี้ นางต้องคิดว่าเรื่องที่นางเคยอยู่ที่นี่มาราวครึ่งเดือนนั้นเป็นภาพลวงตาแน่!
นางหยุดอยู่ที่ประตู เหลือบสายตาขึ้นมองโคมไฟเหล่านี้ ใจก็หนักลงไปที่ละหน่อย
ก่อนหน้านี้นางยังหวังว่าชายชุดเขียวจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นจะได้มั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว
แต่ตอนนี้ ที่นี่กลับไม่มีคนเลย และตอนนี้ลู่ยาก็อยู่บ้าน
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องเพียงเท่านี้แล้วนางจะปักใจเชื่อเลยว่าชายชุดเขียวก็คือลู่ยา เพราะก็มีหลายครั้งที่ลู่ยาอยู่กับนางยามที่ชายชุดเขียวก่อเรื่อง แต่ลู่ยาสามารถแยกร่างได้ สำหรับเขาแล้วการแบ่งร่างเปลี่ยนเป็นอีกคนเพื่อหลอกคนอื่นเป็นเรื่องง่ายมาก…ใช่แล้ว หลอก นางเลือกใช้คำนี้
ในใจของนางถูกถ่วงด้วยความไม่เข้าใจและความโกรธ
นางกลืนน้ำลาย กลับไปยังห้องตรงระเบียงทางเดินอีกครั้ง
ไม่ว่าดูอย่างไร ในห้องยังคงไม่มีเบาะแสอะไรที่น่าเอ่ยถึง ดูออกว่าเครื่องเรือนที่อยู่ในห้องทั้งสองเป็นสิ่งที่เขาเสกขึ้นมา
นางเริ่มจากตรงนี้ เดินเข้าบนระเบียงทางเดินเข้าไปดูแต่ละห้องๆ ครั้งนี้สำรวจไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งก่อนสำรวจด้วยความใคร่รู้ ไม่มีเป้าหมายอื่น แต่ครั้งนี้เป้าหมายชัดเจน ไม่เพียงเพื่อหาชายชุดเขียว แต่ยังต้องการขุดความลับที่อยู่เบื้องหลังเขา! เมื่อดูจากการที่เขาสร้างเขตพลังไว้ข้างหน้าและเลือกที่นี่เป็นที่พักพิง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลื่นจิตพสุธาต้องไม่ธรรมดา
นางมองไปแต่ละห้องละห้อง ซึ่งส่วนใหญ่ว่างเปล่า ทั้งยังไม่พบอะไรพิเศษออกไป
สุดท้ายนางค่อยๆ เข้าใกล้กำแพงวังทางด้านเหนือ อาคารบริเวณนี้พลันกว้างใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตา นี่เป็นวังหลักของคลื่นจิตพสุธา พลังวิญญาณที่แผ่ออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าที่อื่นอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่พบอะไร
นางกระโดดขึ้นไปบนยอดหลังคา ขมวดคิ้วมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตากลับไปตกอยู่ที่วังที่อยู่ห่างออกไปหลังหนึ่ง วังนี้ถูกสร้างบนเส้นแนวใจกลางของเขตวังทั้งหมด ทั้งสี่ด้านมีพื้นที่ว่างกว้างครึ่งลี้ เรียกได้ว่าโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลาง รูปแบบก็ดูแน่นหนาเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้ก่อสร้างทั้งหมดล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง รูปสลักที่อยู่ด้านหน้าเต็มไปด้วยสรรพสัตว์บนฟ้าดินนี้
หากนางจำไม่ผิด วังนั้นชื่อว่าวังวิญญาณเทพ อยู่ใจกลางของที่นี่พอดี
แต่คราวก่อนทุกครั้งที่นางเดินผ่านที่นี่ประตูที่จะเข้าถึงตัววังจะปิดอยู่ตลอด นางจึงไม่เคยเข้าไป
ใจของนางสั่นเล็กน้อย กระโดดขึ้นเมฆลอยไป
ตอนที่นางลงพื้นร่างกายโงนเงนเล็กน้อย มีพลังวิญญาณพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง แต่นางรู้สึกได้ว่ามันทั้งอบอุ่นและหนาแน่นมาก เหมือนกับไอน้ำทำให้คนรู้สึกสบายยิ่งนัก
ประตูใหญ่ยังคงปิดอยู่ นางลองผลักดู แต่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
นางมองซ้ายขวาบนล่าง นอกจากรูปสลักตี้เจียงสองตัวแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
แต่เมื่อมองอย่างละเอียด บนหัวของตี้เจียงสลักคำว่า ‘ขวาน’ อีกตัวคือ ‘มีดเหลือง’ นางอ่านชื่อทั้งสองออกมาโดยไม่รู้ตัว พลันได้ยินเสียงกริ๊กลอยมาหนึ่งเสียง ประตุใหญ่ที่ปิดสนิทด้านหลังกลับเปิดออกแล้ว!
นางหยุดชะงักอย่างยากจะระงับความตื่นตระหนกไว้และมองเข้าไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไร จึงค่อยเดินเข้าไป
ด้านในนั้นก็ว่างเปล่า แต่มีทางเดินหินหยกสายหนึ่งมุ่งไปทางตรงข้ามของห้อง
นางเดินเข้าไป มาถึงด้านหน้าของห้อง ประตูนี้ก็ปิดเช่นกัน แต่เมื่อผลักไปมันก็เปิดออก
เมื่อเปิดออก ก็เหมือนกับเปิดโลกอีกใบหนึ่ง
แสงสว่างอาบไปทั่วห้องราวกับเงินรั่วออกมาจากพื้น ตามประตูที่ถูกเปิดออกไป มันพุ่งเข้าหานางอย่างไม่มีสัญญาณแม้แต่น้อย! ทั้งยังมีคลื่นที่รุนแรงจนพูดไม่ออกสายหนึ่ง กำลังผลักนางเข้าไปข้างใน และราวกับมีเสียงที่ฟังไม่ชัดจำนวนมากสะท้อนอยู่ริมหู นางรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง พยายามแข็งใจเดินเข้าไป
แสงสว่างค่อยๆ หายไป กลายเป็นไอมงคล เสียงที่ริมหูก็ค่อยๆ ไพเราะขึ้น
นางตั้งสติเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงกำแพงหยกขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า มีแสงบางๆ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ทั้งทางด้านซ้ายของผนังยังมีแผนผังแปดทิศอยู่ รอบผังแปดทิศนั้นมีลูกแสงกลมๆ ของวิญญาณทั้งหกอยู่ เมื่อมองไปอย่างละเอียดก็พบว่าล้วนมีภูเขาแม่น้ำฟ้าดินอยู่หมด
มู่จิ่วมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แสงสว่างแห่งปัญญาพลันส่องเข้ามาในหัวนาง หรือนี่จะเป็นทางเข้าคลื่นจิตพสุธา ส่วนลูกแสงวิญญาณเหล่านี้น่าจะเป็นหกวิญญาณที่คอยเฝ้าที่นี่อยู่? นางมองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ไปตกที่ป้ายคำสั่งของผังแปดทิศ ตามที่หลิวหยางเคยสอน แม้นางจะเขียนยันต์ไม่เก่ง แต่อย่างไรก็นับว่าอ่านเป็นบ้าง…ป้ายคำสั่งประกาศิตนี้ เป็นปฐมวิญญาณสร้างขึ้นมา!
นี่คือทางเข้าคลื่นจิตพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย!
และลูกแสงนี่ก็คือหกวิญญาณ!
ใจของนางเต้นแรง ไม่รู้ว่าตนเองสามารถสัมผัสหกวิญญาณแล้วยังจะปลอดภัยหรือไม่?
แต่นางยิ่งสงสัย ชายชุดเขียวบอกว่าเรื่องทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องเลวร้ายในอนาคต แต่ตอนนี้มองไม่ออกว่าหกวิญญาณจะมีภัยตรงไหน อีกอย่าง หนึ่งหมื่นปีไม่นับว่ายาวไม่นับว่าสั้น ทำไมเขาต้องเริ่มวางแผนไว้ก่อนนานขนาดนั้น?
นางขมวดคิ้วมองแผนผังแปดทิศ จากนั้นหันไปมองกำแพงวิญญาณตรงข้ามประตู
กำแพงวิญญาณนี้กินพื้นที่ทั้งกำแพง เป็นสีเขียวเข้มโปร่งแสง กลับระยิบระยับสว่าง มู่จิ่วจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกเวียนหัว! เท้าเริ่มไม่มั่นคง ทำให้นางต้องยื่นมือไปจับมัน มือของนางเพิ่งวางลงไป กำแพงหยกตรงหน้าพลันกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่….
……………………………………………