ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 383 เหตุผล
“พวกเราออกไปคุยกันดีหรือไม่?” ลู่ยารู้ว่านางรู้เรื่องหมดแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้ เขายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก?
คิดไม่ถึงว่าเขาป้องกันสารพัด แต่ยังไม่พ้นเดือนหนึ่งด้วยซ้ำก็ปิดไว้ไม่ได้แล้ว!
เขาประเมินความดึงดันของนางต่ำไป
น้ำเสียงเขาเจือแววอ้อนวอน พยายามให้นางสงบใจลง
มู่จิ่วหันกลับมา นั่งเอนหลังพิงกำแพง มองเขาแล้วเอ่ยว่า “นี่คือชาติก่อนของข้า?”
เสียงของนางราบเรียบ ถึงขั้นราบเรียบเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราวกับสามารถเกิดคลื่นใหญ่ได้ทุกเวลา
ลู่ยาเริ่มสงสัยคำพูดของหงจวิน นางในตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนลู่จีอย่างชัดเจน ไม่เหมือนมู่จิ่ว!
“หากข้าเดาไม่ผิด นี่คือเคราะห์ของหกวิญญาณในหมื่นปีให้หลังที่เจ้าเคยบอกใช่หรือไม่?” มู่จิ่วมองภาพที่ค่อยๆ จางลงไป พูดอย่างเย็นชา “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้บอกว่าหาชาติก่อนของข้าไม่เจอ ความจริงแล้วเป็นเพราะข้ามาจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนใช่หรือไม่ ชายชุดเขียว?”
ใจของลู่ยาหนักอึ้งลงเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“ตอบมาสิ” นางยืนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เหลือบมองเขาที่ย่อตัวอยู่บนพื้น
ลู่ยารู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ลอยอยู่รอบตัวอย่างชัดเจน
เขาลุกขึ้นมองนาง ก่อนพยักหน้า
“ดังนั้นเจ้าก็กำลังหลอกข้าจริง ด้านหนึ่งทำเหมือนเจอข้าโดยบังเอิญ ช่วยข้าทำคดี อีกด้านหนึ่งก็คอยสร้างคดีขึ้นมาลับหลัง?” เสียงในตอนท้ายของมู่จิ่วสั่นเครือ ทั้งร่างดูหนาวเย็นเสียดกระดูกเหมือนน้ำแข็งหมื่นปีบนยอดเขาหิมะ โดยเฉพาะแววตายิ่งเย็นชาจนคล้ายพืชพันธุ์ไม่อาจงอกงามได้แล้ว
“ไม่” ลู่ยาขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่ใช่หลอกลวง เพียงแค่มีความลับ..”
“มีความลับ?” มู่จิ่วเดินเข้าไปใกล้เขา ในที่สุดความเย็นชาบนใบหน้าก็เผยออกมา ทำให้สีหน้าอารมณ์แตกออกเป็นผุยผง
“ข้าไม่คิดเลยว่าจตุรเทพผู้อยู่บนสวรรค์อันสูงส่งจะเป็นคนเช่นนี้ สร้างละครฉากใหญ่ขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะอะไร? ตั้งแต่ต้นข้าก็คือของเล่นในมือของเจ้าหรือ? พวกเจ้าวางแผนทำเช่นนี้ ความลับที่เจ้าว่า นอกจากให้ข้าไปสู้กับพลังชั่วร้ายแล้ว ยังมีความลับอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่ใช่!” ลู่ยารีบพูด เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์ “เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง เจ้าฟังนะ…”
…ห้องในคลื่นจิตพสุธาไม่มีลม ‘ลม’ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังวิญญาณที่หกวิญญาณปลดปล่อยออกมา
มู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลางโถง ฟังเสียงลมที่พัดเบาๆ ข้างนอกประตู เสมือนแน่นิ่งกลายเป็นหินอยู่ที่นี่ไปแล้ว
แสงจันทร์ด้านนอกสาดส่องเสาตรงระเบียงทางเดินจนเป็นเงาทอดยาว กระทั่งเปลี่ยนมันเป็นจุดหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนให้เป็นเงายาวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เหมือนกับนานทั้งชีวิต แต่ก็สั้นราวฝันตื่นหนึ่ง
“เป็นอย่างนี้เอง” ลู่ยาพูดจนจบ เสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ทุกอย่างที่ข้าทำลงไปไม่ใช่เพื่อต่อวาสนากับเจ้าเสียทั้งหมด ทุกคดีที่เกิดขึ้นข้าลงมือจริง แต่เพราะจิตต้นกำเนิดของเจ้ากลับไปเมื่อหนึ่งหมื่นหกพันปีก่อน ดังนั้นเรื่องหลายเรื่องเลยจำต้องเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นชะตาชีวิตของผู้คนทั้งหมดในฟ้าดินนี้ก็อาจต้องเปลี่ยนไปเพราะการมาเกิดก่อนเวลาของเจ้า”
“และตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเราก็ไม่รู้ ถึงแม้รู้ แต่ถ้าเทียบกับชะตาชีวิตที่พวกเรามีอยู่และแก้ไขแล้วในตอนนี้จะลำบากกว่ามาก”
“คดีทั้งหมดล้วนมีเหตุมีผล เรื่องรักสามเส้าของหลีหัง ชิงผิง และเฟยอีนั้นต้องเกิดอยู่แล้ว ในชะตาชีวิตของพวกเขาต้องผ่านเคราะห์กรรมนี้ ลัทธิฉ่านยิ่งใหญ่มาหลายปีแต่กลับผยอง ศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้ก่อเรื่องระหว่างชิงชิวกับพวกเขาขึ้นมาเพื่อเป็นการเตือน”
“เรื่องของอ๋าวเชินและอวิ๋นเฉี่ยนที่แย่งกุญแจจันทรากัน ข้าก็ไม่ใช่คนจัดการ เพราะปัญหาที่บ้านของอ๋าวเชินทำให้เขาไปหาความรักข้างนอก อวิ๋นเฉี่ยนก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องตระกูลของตนเอง ส่วนแมงมุมกลืนวิญญาณที่คุนหลุนตะวันออกเป็นอาคมที่ข้าใช้เพื่อควบคุมชะตาชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าทำเรื่องทั้งหมดขึ้นมา”
“จือเยวี่ยสละชีวิตเพื่อตระกูลอวิ๋นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแสนปีที่แล้ว ร่างของเขาแบกรับชะตาชีวิตของตระกูลหงส์เพลิงไว้ทั้งหมด การสละชีวิตของเขาตอนนั้นปกป้องตระกูลหงส์เพลิงไว้ได้สองรุ่น แต่กลับนำวิญญาณของเผ่าพันธุ์ไปด้วย ดังนั้นโศกนาฏกรรมของพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น ถึงแม้ไม่มีข้า ตระกูลอวิ๋นก็ต้องสูญสิ้นทั้งตระกูล”
“ข้าเพียงทำร้ายอวิ๋นฉัวที่เป็นร่างกลับชาติมาเกิดของจือเยวี่ย ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายอ๋าวเชินด้วย เพื่อเร่งความบาดหมางของพวกเขาให้เกิดเร็วขึ้น”
“ส่วนเรื่องที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เจ้าก็เห็นแล้ว พี่สาวของเหลียงจีแต่งให้กับเสือลายเหลืองเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายก็ตายด้วยเงื้อมมือเขา เรื่องนี้ทำให้เกิดสงครามระหว่างโหย่วเจียงและหนานเซียง หากเสือลายเหลืองไม่มีวิญญาณร้ายที่ข้าหลอมไว้คอยช่วย ย่อมต้องสูญเสียอย่างหนัก แน่นอนว่าซื่ออินก็ต้องพบเจออันตรายเกือบตาย ภายหลังหนานเซียงก็ยังจะถูกโหย่วเจียงทำลายอยู่ดี”
“ในเรื่องนี้ข้าเพียงพาเหลียงจีออกมา ให้เสือลายเหลืองมีพลังต่อต้านโหย่วเจียงสักหลายปีหน่อย เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเร่งให้พวกเขาบาดหมางกันเร็วขึ้น ให้เจ้าสามารถคลี่คลายคดี สะสมบุญกุศล แต่ข้าไม่คิดว่าเหลียงจีจะส่งอาฝูออกมา เขาเกิดมาได้จังหวะพอดี ทั้งยังมาอยู่ข้างกายเจ้า”
“เรื่องทั้งหมดยังเป็นไปตามลิขิตสวรรค์”
“รวมถึงเรื่องหลินเจี้ยนหรู เพราะข้ารู้ว่าความโกรธแค้นในใจเขาจะทำให้เขากลายเป็นมาร เลยไม่ได้ขัดขวางการกระทำใดๆ ของเขา ข้าเคยกระทั่งพูดกับเขา หากเขายืนกรานไม่ฆ่าคน ไม่ทำผิดต่อฟ้า ข้าก็จะไม่ทำอะไร ข้าก็เห็นแก่ความตั้งใจแรกของเขา แต่เรื่องราวบนโลกไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงง่ายดายเช่นนั้น? สุดท้ายเขาก็เลือกเดินทางนั้นอยู่ดี”
“หากเจ้าตัดสินว่าการเป็นมารของเขาคือความผิดข้า เช่นนั้นในชาติก่อนข้าไม่ได้ยื่นมือเข้ายุ่ง เขาก็ยังคงเดินไปสู่จุดจบนั้นด้วยตัวของเขาเอง”
“สิ่งที่ข้าทำมีเพียงรักษาทิศทางส่วนใหญ่ของแต่ละคนไว้ ไม่ได้เข้าร่วมการตัดสินใจของพวกเขา หากหลินเจี้ยนหรูไม่ฆ่าคน ไม่กลับไปแก้แค้นคนของแรกพยับ เขายังมีพลังที่ข้าให้ สามารถก่อตั้งสำนักของตนเอง กระทั่งใช้ชีวิตอิสระอย่างม่อเหยียนได้”
“แต่เขากลับไม่เลือกเช่นนั้น ข้าไม่ใช่คนให้รากฐานมารแก่เขา มันเกิดขึ้นจากใจเขาเอง ข้าไม่ได้บังคับเขาไปทำเรื่องชั่วช้า ไปฆ่าคน และไม่ได้ต้องให้เขากลายเป็นมารเท่านั้น หากบอกว่าข้าให้พลังเขาเป็นการสนับสนุนให้เขาทำชั่ว เช่นนั้นทัพทหารสวรรค์ให้อาหารแก่เขา ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิใช่ว่าเป็นผู้สนับสนุนเช่นเดียวกันหรือ?”
ลู่ยามองนางพลางยันพื้นลุกขึ้นมา ปรับลมหายใจก่อนพูดต่อ “เรื่องที่ข้าทำทั้งหมดย่อมเพื่อให้เจ้าสำเร็จเป็นเซียนโดยไว แต่เป้าหมายในการสำเร็จเป็นเซียนของเจ้าไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเมื่อครั้งอดีตของพวกเรา มิใช่เพื่อให้ข้าชดเชยแก่เจ้า เรื่องทั้งหมดนี้สำหรับข้าแล้วสำคัญมากนัก แต่หมื่นปีให้หลัง โศกนาฏกรรมของพวกเจ้าก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี”
“เพื่อให้หกภพสงบสุข พลังร้ายต้องถูกกำจัด และเจ้าคือนักรบของชะตาฟ้า ข้าอยากเคียงคู่ไปกับเจ้า ลืมเรื่องที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราต้องกำจัดภยันตรายในอนาคต ถึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างแท้จริง”
“พลังร้ายในเวลานี้ยังไม่ก่อร่างขึ้นโดยสมบูรณ์ ด้วยพลังของเจ้ากับข้า โอกาสชนะมีมากยิ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราต้องส่งเจ้ากลับมาเวลานี้ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องให้เจ้ารีบสำเร็จเป็นเซียนด้วย อาจิ่ว ข้าทำผิดต่อลู่จีย่อมรู้สึกเสียใจ โทษตนเอง อีกทั้งเจ็บปวด แต่ตอนนี้เวลานี้ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตนี้ให้ดีกับเจ้า”
………………………….