ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 388 หาโอกาส
สีหน้าลู่ยาดูขุ่นเคือง แต่พริบตาเดียวมุมริมฝีปากก็ยกยิ้ม
“เอาเถอะ ต่างก็โตๆ กันหมดแล้ว” จุ่นถีวางนางลง “เข้าไปนั่งข้างในเถิด”
อย่างไรก็เป็นศิษย์ที่ตนเองเลี้ยงดูมากับมือถึงสองพันปี เหมือนกับลูกสาวในไส้ก็ไม่ปาน เห็นนางตัวติดกับชายอื่น ในใจเลยรู้สึกอาลัยเล็กน้อย เกรงว่าต่อไปนางจะกลายเป็นอาจารย์อาหญิงของเขาแล้ว…
ทั้งสามคนนั่งอยู่บนระเบียงเปิดโล่งของเรือนสนครวญ ที่นั่นมีชาที่ต้มไว้ก่อนแล้ว มีผลไม้สดมากมายวางไว้
วันนี้ลมอ่อนโยนเป็นพิเศษ แสงแดดก็สว่างไสวยิ่งนัก
พวกชิงเสียชิงซวงต่างวิ่งมาหามู่จิ่ว ทั้งยังนำลูกพลับที่บ่มไว้อย่างดีเมื่อปีก่อนมาตะกร้าหนึ่งด้วย ลู่ยาอาจารย์ผู้ก่อตั้งคนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าชนรุ่นหลังแล้วเหมือนไม่ได้แผ่ความน่ายำแกรงออกมาเท่าไหร่นัก อันที่จริงกระทั่งเจ้าสำนักของพวกเขายังไม่ได้มองลู่ยาเป็นรุ่นอาวุโสเลย
มู่จิ่วพูดคุยกับพวกเขาอยู่พักหนึ่ง จึงหันกลับมาเอ่ยกับลู่ยาและจุ่นถีที่กำลังพูดคุยกันอยู่ “หลังจากข้ากลับไปวันนี้ อาจารย์คงไม่เปลี่ยนชื่อแซ่ย้ายที่อยู่หรอกนะเจ้าคะ? ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาจารย์ถึงได้เร้นกายหายไปนานขนาดนี้?” สิ่งที่นางอยากถามคือเป็นเพราะความขัดแย้งของลัทธิประจิมในตอนนั้นหรือไม่? แต่ก็ไม่กล้าถามอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่” จุ่นถีกุมเข่าตอบ “ตอนนั้นที่ตัดสินใจเร้นกายเพราะไม่อยากให้ใครมาถามหรือยุ่งเรื่องของลัทธิประจิมมากเกินไป ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว วิชาสูบวิญญาณของข้าก็ก้าวหน้าขึ้นมาก หากข้าต้องการตั้งสำนักขึ้นก็เป็นเรื่องง่ายนัก แต่เวลาผ่านไปใจคนเปลี่ยน ตอนนี้ข้าอยู่ที่หงชางก็สบายใจดี”
มู่จิ่วถอนหายใจ
“รอจนพวกเจ้าเดินทางไปคลื่นจิตพสุธา บางทีข้าอาจจะช่วยพวกเจ้าอีกแรงได้” จุ่นถีชะงักไปก่อนเอ่ย “บุญกุศลที่ยังขาดอยู่ของเจ้า เดิมทีมาจากคนที่พบเจอหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในชะตาชีวิต เพียงขาดความเข้าใจไป หากจัดการคดีของหลินเจี้ยนหรูจบสิ้น บุญกุศลของเจ้าก็ใกล้ครบแล้ว”
มู่จิ่วตื่นตัวขึ้นมาทันที “มิน่าล่ะ ข้าถึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้จิตใจสงบนัก! เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็สามารถสำเร็จเป็นเซียนได้ไวขึ้นแล้ว”
จุ่นถีพยักหน้า
ลู่ยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วางถ้วยชาลง “เจ้ามิใช่เคยบอกว่าอาคมสูบวิญญาณสามารถเปลี่ยนวิญญาณร้ายเป็นวิญญาณดีได้หรือ?”
“ถึงแม้จะยังไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้น แต่ก็ประมาณนั้นได้” จุ่นถีตอบ “อาคมสูบวิญญาณสามารถสูบพลังวิญญาณโดยรอบ มีความสามารถในการควบคุมวิญญาณร้าย”
ลู่ยาพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกแต่ยกชาขึ้นจิบ
นั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ มู่อวิ๋นมู่หัวก็เข้ามา และเชิญคนทั้งสองให้อยู่ต่อเพื่อทานข้าว
ลู่ยาตามใจมู่จิ่ว มู่จิ่วก็ไม่ได้มีธุระเร่งร้อนอะไร กินข้าวเสร็จค่อยกลับสวรรค์ก็ได้
ตั้งแต่กลับจากหงชาง มู่จิ่วใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของนางตลอดเวลา
จุ่นถีบอกว่าบุญกุศลของนางใกล้ครบแล้ว และนางสามารถกลับมาจากคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน นี่แสดงว่าคุณสมบัติบนร่างของเทพหญิงแห่งหกวิญญาณเริ่มปรากฏบ้างแล้ว ถึงแม้พลังวิญญาณในร่างนางยังมีโอกาสระเบิดออกมา ช่วงเวลาก่อนที่จะสำเร็จเป็นเซียน ไม่ว่าอย่างไรนางต้องคอยระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ดีที่ลู่ยาก็คอยระวังอยู่ตลอด อย่างไรตอนนี้ทุกอย่างก็เปิดเผยหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก อีกอย่างหลังจากที่ความคิดจิตใจของชายชุดเขียวกับเขากลับเข้ามารวมกัน ก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณของนางได้ ตอนนี้นางไม่จำเป็นไม่จำเป็นต้องวิ่งรอกไปทั่ว ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
เรื่องราวเบื้องหลังนี้ยังไม่ได้บอกผู้อื่น แต่หลังจากที่หลิวจวิ้นกลับจากวังหลิงเซียวก็มาพูดกับมู่จิ่ว “ทางด้านฝ่าบาทน่าจะสืบเจออะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ได้คุยกับข้าเรื่องคลื่นจิตพสุธามีการเคลื่อนไหว เหล่าสัตว์น้ำสัตว์บกต่างก็หันหน้าร้องคร่ำครวญไปทางทิศเหนือตลอดทั้งคืน พระองค์ยังคิดจะไปเชิญเทพบนสวรรค์อันสูงส่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าขวางไว้แล้ว”
มู่จิ่พลันนึกถึงเรื่องประหลาดตอนที่นางไปคลื่นจิตพสุธา คาดว่าคงทำให้สวรรค์เก้าชั้นตกใจ เมื่อคิดแล้วจึงเอ่ย “รอจนทำคดีนี้เสร็จ ข้าจะไปคุยกับฝ่าบาทและเหนียงเหนียงเอง”
ถึงแม้หลิวจวิ้นจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เพราะยังมีลู่ยาอยู่ด้วย ดังนั้นจึงยินยอมไปตามนั้น
“ทางด้านแรกพยับเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” สิ่งที่มู่จิ่วกังวลใจที่สุดยังคงเป็นเรื่องนี้
หลิวจวิ้นหยิบม้วนบันทึกคดีออกมา ก่อนตอบ “ต่อจากหูเจียงเต๋อก็มีสองสามคนแสดงตัว แต่ไม่มีน้ำหนักมากนัก คนเหล่านั้นส่วนใหญ่กลายเป็นเซียนแล้ว มีเส้นสายอยู่ในสวรรค์บ้าง อีกทั้งทางด้านลัทธิฉ่าน…” พูดตรงนี้เขาก็ส่ายหน้า พูดต่อว่า “แต่หากได้คำให้การจากปากของหลินเซี่ยหรือจีหมิ่นจวินเอง เรื่องราวคงง่ายขึ้นเยอะ”
คำให้การของจีหมิ่นจวินกับหลินเซี่ย?
มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลินเจี้ยนหรู แต่มู่จิ่วประหลาดใจอยู่บ้าง เอ่ยถามว่า “ตอนนั้นหลินเซี่ยถูกหลินเจี้ยนหรูทำลายจิตต้นกำเนิด วิญญาณดับสูญไปแล้ว และจิตต้นกำเนิดของจีหมิ่นจวินก็เหมือนจะโดนทำลายไปเช่นกันมิใช่หรือ? จะหาพวกเขาเจอได้อย่างไร?”
และไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีแบบนั้น สามารถรวบรวมจิตที่แตกสลายกลับมาได้ มิฉะนั้นแล้วหกภพคงไม่มีโทษทัณฑ์นี้
“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่เจ้าสามารถไปดูที่ปรโลกได้” หลิวจวิ้นตอบ “หากไม่สำเร็จ แค่คำให้การของบุตรสาวจีหมิ่นจวินก็น่าจะพอได้ สรุปคือตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคือทำให้แรงจูงใจในการฆ่าคนของหลินเจี้ยนหรูมีเหตุผล เพียงแค่สมเหตุสมผล การฆ่าคนของเขาก็จะต่างออกไปแล้ว”
“หากมีตัวต้นเรื่องมายืนยันว่าเคยรังแกหลินเจี้ยนหรูอย่างไรบ้าง หากไท่ซ่างเหล่าจวินถามหาผู้รับผิดชอบขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของหลินเจี้ยนหรูแล้ว แต่จะเป็นความรับผิดชอบของเจ้าสำนักแรกพยับแทน โอกาสรอดชีวิตของหลินเจี้ยนหรูจะสูงมาก”
มู่จิ่วได้ยินถึงตรงนี้ก็ยืนขึ้นแล้ว “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ”
หลิวจวิ้นพยักหน้า ส่งบันทึกคดีของตระกูลจจีหมิ่นจวินให้นาง
ในปรโลกไม่มีกลางวันกลางคืน มีเพียงแสงสลัวยามโพล้เพล้ตลอดเวลา
มู่จิ่วมุ่งตรงไปยังวังพญายม
พญายมเป็นบัณฑิตหน้ามนท่าทางสง่างาม เห็นมู่จิ่วในเครื่องแบบก็รีบลุกขึ้นหลังโต๊ะ เมื่อมองนางอย่างละเอียดจึงเห็นว่าระหว่างคิ้วนางมีไอมงคลลอยวน แววตาซื่อตรงกระจ่างใส ดูออกว่าไม่ใช่ขุนนางสวรรค์ธรรมดา จึงรีบเข้ามาทำความเคารพด้านหน้าแล้วนำนางไปยังตำหนักหลัง
มู่จิ่วเล่าเหตุที่ตนมาให้ฟัง พญายมรีบส่งคนไปตามหา
เพิ่งผ่านไปชั่วครึ่งถ้วยชา ภูตผีน้อยก็กลับมาแล้ว “เรียนท่านพญายม เหล่าคนที่ท่านเอ่ยนามมาเมื่อครู่ไม่มีอยู่เลย” พูดพลางส่งรายชื่อคนตายมาให้ “ผู้พิพากษาค้นหาอยู่นานก็ไม่พบเลย เขาให้ข้านำสิ่งนี้มาให้”
เมื่อพญายมฟังจบก็รับบัญชีรายชื่อมา จากนั้นส่งให้มู่จิ่ว
มู่จิ่วพลิกไปยังหน้าของหลินเซี่ย เห็นบันทึกไว้เพียงวันเดือนปีเกิด บ้านเกิด ชะตาก็มีบันทึกไว้ แต่สถานที่ที่วิญญาณกลับไปกลับว่างเปล่า เมื่อดูหน้าของจีหมิ่นจวินก็เป็นเช่นเดียวกัน คืนนั้นนางเห็นกับตาว่าหลินเจี้ยนหรูเผานางไปแล้ว และก็เห็นว่าเขาทำลายจิตต้นกำเนิดของนาง จุดจบเช่นนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจนัก
จีเทียนอวี้กับจีเพ่ยฟางก็เป็นเช่นนี้ พลังของหลินเจี้ยนหรูที่กำลังบ้าคลั่งนั้นยิ่งใหญ่นัก เขารวบรวมความเกลียดชังตลอดสองร้อยปีเข้าไปในฝ่ามือ พี่น้องตระกูลจีตายด้วยฝ่ามือพิฆาตนั้น
……………………..