ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 392 มีข่าวมาแล้ว
หลายวันนี้พักผ่อนอยู่ในบ้าน แน่นอนว่ายังต้องไปที่หน่วยด้วย นอกจากคดีของหลินเจี้ยนหรูแล้ว นางยังมีคดีอื่นที่ต้องจัดการ แต่ทุกวันผ่านไปเช่นนี้ บางครั้งก็เครียดจนโมโห บางครั้งก็อารมณ์ดี เหมือนกับถูกกระแสของคลื่นยักษ์พัดขึ้นๆ ลงๆ จนไม่ได้หยุดพัก
หลังกลับมาจากคลื่นจิตพสุธา พลังวิญญาณของนางก็ควบคุมได้มากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะควบคุมได้สำเร็จแล้วตอนที่นางรู้ความจริง หรือเพราะเข้าใกล้วันที่จะสำเร็จเป็นเซียนแล้ว ถึงพลังวิญญาณวิ่งกระแทกชีพจรเป็นพักๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไรในการควบคุมมันด้วยตนเอง
ภายใต้การช่วยเหลือของลู่ยา ตามพื้นฐานแล้วนางยังสามารถใช้มันในชีวิตประจำวันได้ด้วย อย่างเช่นระหว่างเดินทาง การใช้เมฆ หรือการต่อสู้ใช้วิชาอาคม หากมีพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ทุกอย่างก็ง่ายเหมือนปลาได้น้ำ
กระทั่งเสี่ยวซิงยังรู้สึกว่าช่วงนี้นางก้าวหน้าขึ้นมาก การเคลื่อนไหวก็ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ถึงแม้นางจะยังเป็นนางคนเดิมแต่กลับไม่เหมือนในความรู้สึก
แน่นอน นอกจากเรื่องพลังวิญญาณแล้ว มู่จิ่วเองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรต่างออกไป นางยังคงเข้าครัวทำอาหาร ยังคงต่อปากต่อคำกับซ่างกวนสุ่น เพียงแค่ตอนนี้นางออดอ้อนลู่ยาอย่างไม่สนใจสายตาผู้อื่นบ้าง หรือบางครั้งก็ทำตัวไร้เหตุผล ราวกับมีความสุขสงบอยู่ชั่วฟ้าดินสลายแน่นอน
ใจของลู่ยาราวกับเต็มไปด้วยความหวาน แต่ก็ยังมีความกังวลเล็กน้อย ตอนที่เขาพาเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปอาบแดดที่ภูเขาในภพเบื้องล่าง เขาก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเราสบายอกสบายใจเช่นนี้ ต่อไปไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ศิษย์พี่รองของข้าอาจจะอิจฉาข้าเอาได้” เขาได้ยินว่าตอนจื่อจิ้งกลับไปถูกเขาซักฟอกเสียนาน โดยเน้นย้ำถามว่าหลังจากที่ตนรู้ความจริงแล้วมีท่าทางเป็นเช่นไรบ้าง ช่างใจร้ายนัก
“เช่นนั้นก็หาคนรักให้เขาเสียหน่อย” มู่จิ่วที่หนุนอยู่บนตักเขาเอ่ย “ข้าคิดว่าอาจารย์ของข้าคงสนับสนุน”
“พูดได้ดี!” ลู่ยาอุทาน “แต่ข้าปล่อยให้เขาอิจฉาข้าก่อนดีกว่า” หากภายหลังต้องการตอบโต้กลับไปคงไม่ง่ายแล้ว จุ่นถีคืออาจารย์ของนาง หุนคุนก็คืออาจารย์ของจุ่นถี เขาไม่มองจุ่นถีเป็นศิษย์พี่ได้ แต่กลับไม่อาจไม่สนใจนางที่ยืนอยู่ตรงกลาง
มู่จิ่วยกยิ้ม ลุกขึ้นมาเก็บดอกเบญจมาศป่าที่อยู่บนเนิน
ผ่านไปเช่นนี้หลายวัน ใจของนางค่อยๆ กังวล
วันนี้ตั้งใจว่าจะไปวังหลิงเซียวเพื่อสอบถามข่าวคราว ผู้ติดตามของหลิวจวิ้นกลับพลันมาดักนางที่หน้าประตูหน่วยบัญชาการ “ใต้เท้าหลิวมีเรื่องด่วน ขอให้ใต้เท้าไปหาด่วน!”
มู่จิ่วเห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียด ใจก็หนักอึ้ง รีบเดินทางมุ่งไปยังห้องทำงานของหลิวจวิ้น
เมื่อเข้าไปในประตู ในห้องกลับสงบเงียบยิ่งนัก เหล่านกร้องอยู่ใต้ต้นอู๋ถง และก็ไม่เห็นว่ามีใครอื่นอีก มู่จิ่วรอไม่ไหว จึงออกจากลานบ้านข้ามไปยังระเบียงทางเดินฝั่งตรงข้าม เมื่อมองไปก็เห็นหลิวจวิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน กำลังอ่านม้วนบันทึกคดีอยู่
“ใต้เท้าเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรเจ้าคะ?” มู่จิ่วรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยถาม “หรือทางด้านวังหลิวเซียวมีข่าวร้าย?”
“ข่าวร้าย?” หลิวจวิ้นวางม้วนบันทึกลง หยิบผ้าแพรสีเหลืองจากในลิ้นชักออกมาส่งให้นาง “ข่าวร้ายหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ เจ้าดูเองแล้วกัน”
มู่จิ่วเห็นท่าทางของเขาก็ประหลาดใจ เมื่อเห็นผ้าแพรสีเหลืองก็รีบรับมาทันที ก่อนจะคลี่มันออกอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องไปที่คำว่า ‘อภัยโทษ’ สองคำนี้ นางอดดูอย่างละเอียดอีกรอบไม่ได้ คราวนี้เห็นชัดเจนว่าบนนั้นเขียนไว้ว่าอภัยโทษหลินเจี้ยนหรูละเว้นโทษตายไว้อย่างชัดเจน เก็บรากฐานเซียนไว้ ไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว! ตราประทับที่ด้านหลังก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง!
“ดียิ่งนัก!” ใจของนางลิงโลด ราวกับพุ่งจากเหวลึกขึ้นสู่กลางอากาศ ความดีใจนี้ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ “ฝ่าบาทเหนียงเหนียงปรีชาสามารถนัก!”
“อย่าได้รีบดีใจไป บนราชโองการนั้นเขียนอย่างชัดเจน ถึงแม้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงจะเห็นพ้องต้องกันว่าให้รักษารากฐานเซียนของเขาไว้ แต่เขาก็ต้องรับโทษทัณฑ์อสุนีบาตเก้าสาย เขาจะทนรับได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่!”
หลิวจวิ้นพลันสาดน้ำเย็นดับฝันนาง
“จะกลัวอะไร!” แต่ความยินดีของมู่จิ่วยังไม่ดับมอด นางเอ่ย “นั่นก็ถือว่าเป็นการผ่านด่านเคราะห์! ที่จริงแล้วอยู่หรือตายมีอะไรสำคัญกัน? สิ่งที่สำคัญคือความหมาย ถึงแม้จะผ่านอสุนีบาตนี้ไปไม่ได้ แต่เมื่อมีราชโองการนี้ อย่างน้อยก็นับว่าสวรรค์ได้มอบความยุติธรรมให้แก่เขาแล้ว! เหล่าคนที่รวมหัวจมท้ายไปกับแรกพยับไม่มีทางจะทำเรื่องชั่วต่อไปได้อีก! ข้าคิดว่าคุ้มค่าเสียอีก”
นางพูดพลางเก็บราชโองการไป คิดจะไปหาหลินเจี้ยนหรูที่คุก
หลิวจวิ้นรีบเรียกนางไว้ “เจ้าหน้าที่ตัดสินคดีส่งข่าวไปนานแล้ว! เมื่อแจ้งข่าวเสร็จถึงได้นำราชโองการมาให้ข้า ตอนนี้กำลังรอรับโทษ เจ้าไปไม่ได้!”
มู่จิ่วจึงทำได้เพียงถอยกลับมา
จากนั้นก็หยิบราชโองการขึ้นมาเปิดอีกรอบ ยังคงกักเก็บความดีใจไว้ไม่มิด
ผลลัพธ์เช่นนี้คงนับว่าดีที่สุดในเวลาเช่นนี้แล้วใช่หรือไม่? ได้รับอภัยโทษ ระหว่างหลินเจี้ยนหรูกับแรกพยับก็นับว่าหายกันแล้ว
ส่วนอสุนีบาตเก้าสายนั้น นางไม่กังวลใจแทนเขา ไม่ใช่ว่ามั่นใจในตัวเขามาก แต่ตลอดมานางเห็นใจเขาเรื่องที่ต้องแบกรักความอยุติธรรมจากแรกพยับ วันใดที่สวรรค์คืนความยุติธรรมให้เขาแล้ว อยู่หรือตายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีก คนไม่น้อยตายเพราะอสุนีบาต มีเขาเพิ่มเข้าไปอีกคนก็ไม่เป็นไร อยู่ในปรโลกสักพัก ชาติหน้าค่อยอาศัยรากฐานเซียนมาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนต่อได้
มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า คนมีชีวิตอยู่กับใบหน้าหนึ่ง ต้นไม้มีชีวิตอยู่กับเปลือกชั้นหนึ่ง หากไม่สามารถชำระแค้นกับแรกพยับได้หมดจด ต่อไปเขากลายเป็นเซียนก็คงยังหนีไม่พ้นบาดแผลในจิตใจ การจะเกิดจิตชั่วร้ายขึ้นมาเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิด
“เช่นนั้น อสุนีบาตนี้จะมาเมื่อไหร่?” นางถาม
“ท่าทางจะเป็นตอนกลางดึก” หลิวจวิ้นตอบพลางยืนขึ้นมา เอ่ยกับนางว่า “คดีนี้ก็นับว่าจบแล้ว แต่ยังมีอีกสองเรื่อง ตอนนี้รู้ตัวตนของชายชุดเขียวแล้ว ซึ่งก็คือลู่ยาเต้าจู่ แต่เฟยอีล่ะ? ยังมีอีก เจ้ายังไม่ได้เล่าเหตุผลที่เต้าจู่ก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นให้ข้าฟัง เรื่องเหล่านี้ข้าควรจะรายงานเช่นไร เจ้าต้องบอกข้า”
มู่จิ่วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “มิสู้ข้าพาท่านไปหาเขาเลย”
หลิวจวิ้นพยักหน้า ก่อนจะเดินตามนางออกไป
เมื่อมาถึงบ้าน ลู่ยากำลังบดยาอยู่บนระเบียงทางเดิน มู่จิ่วเล่าเหตุที่หลิวจวิ้นมาให้ฟัง เขาครุ่นคิดแล้วก็กวักมือเรียกนางให้พาเข้ามา
หลิวจวิ้นสะบัดผ้าคลุมคุกเข่าลง คำนับให้เขาสามครั้งอย่างเป็นทางการ ยังไม่ทันได้เอ่ย ลู่ยากลับชี้ไปยังมู่จิ่วแล้วเอ่ย “นี่คือเจ้าของคลื่นจิตพสุธา เจ้าก็ทำความรู้จักเสียใหม่”
ตอนนี้บุญกุศลของมู่จิ่วใกล้ครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันอีก
หลิวจวิ้นได้ยินคำว่าเจ้าของคลื่นจิตพสุธาก็พลันนิ่งอึ้งไป มู่จิ่วยกยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้เขา
“นี่คือ…นี่คือเรื่องอะไรกัน?” หลิวจวิ้นสับสนอยู่บ้าง เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคลื่นจิตพสุธามีเจ้าของอยู่ด้วย และยิ่งไม่รู้ว่ามู่จิ่วมีที่มาที่ไปซับซ้อนเช่นนี้!
มู่จิ่วกระดากอายอยู่บ้าง
นางจะมีหน้าไปเล่าเรื่องเบื้องหลังเหล่านี้ได้อย่างไร ยังมีเรื่องที่นางกับลู่ยาก่อไว้จนยุ่งเหยิงตอนนั้นอีก?
ทำได้เพียงให้เวลาพวกเขา ส่วนตนเองเดินออกมาก่อน
…………………………………………