ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 397 ความปรารถนาของนาง
มือของหลินเจี้ยนหรูแข็งเกร็ง กุมมือของนางไว้กลางฝ่ามือตน
ลู่ยาดึงแขนเสื้อมู่จิ่ว พานางออกไปข้างนอก
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านดอกพุดตานสีขาวเข้ามายังระเบียงทางเดิน แสงทองสว่างเป็นหย่อมๆ ส่องจนใจรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ลู่ยาเด็ดดอกไม้ลงมาทัดหูนาง กล่าวว่า “พวกเราอยู่ที่สวรรค์สักสามวัน ให้เจ้าจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย จากนั้นพวกเราค่อยไปสวรรค์อันสูงส่ง พวกเสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นก็ไปด้วยกันให้หมด วังชิงเสวียนจะมีนายหญิงแล้ว ก็ต้องมีคนมาเพิ่มความคึกคักเสียหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแรงกดดันบนสวรรค์อันสูงส่ง ข้าให้พวกเขากินยาต้านทานไว้ก่อนได้ อีกอย่างบนสวรรค์อันสูงส่งยังฝึกบำเพ็ญเซียนได้ง่ายกว่า ผ่านไปอีกสักพันกว่าปีเสี่ยวซิงก็คงบรรลุเป็นเซียนแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวอีก”
“แต่หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่วังชิงเสวียน รอจนพวกเราทำลายพลังร้ายได้แล้วค่อยย้ายไปอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็ได้ หลังจากเจ้าได้รับการแต่งตั้ง วังคลื่นจิตพสุธาคงกลายเป็นอีกแบบ ไม่ต้องสนใจความกันดารในถิ่นทุรกันดารทางเหนือ พวกเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจต้องการ เจ้าสามารถเรียกสหายมาเยี่ยมได้ จะจัดงานเลี้ยงลูกท้อหรืออะไรอย่างที่หวังหมู่ทำก็ยังได้”
“ชีวิตนี้ของข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องโดดเดี่ยวแน่นอน”
มู่จิ่วเอนหัวพิงไหล่เขาพลางถาม “เช่นนั้นข้าเชิญหลิวจวิ้นกับหลินเจี้ยนหรูมาได้หรือไม่?”
ลู่ยาโอบนาง ยกยิ้มแล้วตอบ “เจ้าอยากจะเชิญใครมาก็ได้ทั้งนั้น วังคลื่นจิตพสุธาคือบ้านของเจ้า”
“หากเจ้าตามข้ามาที่คลื่นจิตพสุธา แบบนี้มิใช่ว่าเป็นการแต่งเข้าหรือ?” มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นหยอกล้อเขา
เขายิ้มตอบ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ข้าย่อมเป็นเสาหลักของบ้าน”
“ใครว่าไม่เป็นล่ะ?” มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง
…
บนสวรรค์เก้าชั้นไอมงคลแผ่กระจาย ต้นไม้เจริญงอกงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ
สามวันที่ลู่ยาบอกนั้นครบกำหนดพอดี
วันแรกนางพาเสี่ยวซิงและจุ่นถีกลับไปที่หงชางก่อน ทำให้ทั้งสำนักตื่นตกใจ นี่ยังเป็นผลหลังจากที่จุ่นถีกำชับให้ลู่ยากับมู่จิ่วแอบซ่อนพลังไว้แล้ว
มู่จิ่วทำความเคารพทุกคนในฐานะศิษย์น้อง จากนั้นก็ยกชาให้จุ่นถี ภายหลังนางกลับมาในฐานะเทพหญิง ไม่ว่าจะเป็นฐานะของนางหรือฐานะของลู่ยา แม้เกี่ยวข้องกับจุ่นถีในฐานะศิษย์อาจารย์ แต่ก็ไม่อาจพบเจอกันในฐานะศิษย์อาจารย์ได้อีก
ยามค่ำคืนกลับสู่สวรรค์
หลังจากถึงบ้านแล้วนางจึงเรียกทุกคนออกมาเพื่อสั่งการ ทุกคนล้วนตามกลับไปยังวังชิงเสวียน รอจนทำลายพลังร้ายได้ก่อนค่อยตัดสินใจว่าหลังจากนั้นจะอยู่ที่วังชิงเสวียนหรือไปยังคลื่นจิตพสุธา
เสี่ยวซิงไม่มีปัญหาใด แต่ซ่างกวนสุ่นกลับอยากพานางกลับบ้านก่อนไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ที่จริงทั้งเผ่าต้าเผิงยังไม่เคยมีใครได้ขึ้นไปยังสวรรค์อันสูงส่งมาก่อน นี่เป็นการสร้างหน้าให้ตระกูล ภายหลังไม่ต้องกังวลว่าจะโดนดูแคลนอีก อย่างไรก็ต้องกลับไปร่ำลาพ่อแม่
อีกอย่างเขาอยากพาเสี่ยวซิงกลับไปทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศของครอบครัวเขาก่อน ถึงแม้ตามความคิดของมู่จิ่วจะไม่ควรให้เสี่ยวซิงแยกจากนางไป แต่ช้าเร็วเสี่ยวซิงก็ต้องกลับไปเจอแม่สามีอยู่ดี
มู่จิ่วเล่าความต้องการของซ่างกวนสุ่นให้เสี่ยวซิงฟังจนเข้าใจแล้ว อย่างไรนางก็ไม่อาจให้เสี่ยวซิงไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ใบหน้าของปีศาจกระต่ายแดงอยู่พักหนึ่ง สุดหน้าก็ผงกศีรษะกระแอมรับด้วยใบหน้าแดงเถือก
ถึงแม้นางจะยังดูเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสาม แต่ที่จริงอายุถึงห้าร้อยปีแล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ความอะไรเลย
ยังเหลืออีกสองวันพอดี พวกเขาพูดจบก็เดินทางทันที ออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ไปในคืนนั้น
มู่จิ่วกำลังจะเตรียมส่งอาฝูและรุ่ยเจี๋ยกลับไป เช้าวันถัดมาซื่ออินและเหลียงจีรวมถึงคู่สามีภรรยาเฒ่าแห่งชิงชิวกลับจะพาองค์หญิงองค์ชายมายังสวรรค์ บวกกับอวี้ตี้หวังหมู่ก็เกรงอกเกรงใจลู่ยาและมู่จิ่ว มักจะให้คนนำของมาให้อยู่บ่อยครั้ง เหล่าเซียนในสวรรค์ต่างก็มาแสดงความยินดี ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสงบเงียบเลย
ตกบ่าย อ๋าวเชินก็พารัชทายาทมา ตามด้วยปี้เสียหยวนจวิน มหาเทพตงเยวี่ย และเซียนคนอื่นๆ ลู่ยารำคาญยิ่งนักจึงสั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา
ตกกลางคืนมีคนมาร้องเรียก มู่จิ่วรู้สึกว่าเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคย จึงส่งเสี่ยวซิงไปเปิดประตู ผู้มาเยือนเป็นอ๋าวเจียงนั่นเอง
สีหน้าอ๋าวเจียงดูดีขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนไปมาก เขาอยู่ที่เกาะเป่ยอี๋ปีกว่านั้นราวกับปลาได้น้ำ ทั้งยังผูกมิตรกับเทพน้ำได้หลายองค์
หลังเขาจากไป หลินเจี้ยนหรูก็มาพร้อมขวดที่เก็บวิญญาณของเหลียงชิวฉาน
ไม่ต่างจากที่คาดไว้ เขายังเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเหลียงชิวฉานอย่างกล้าหาญ
บางทีอาจไม่มีอุปสรรคอะไรที่จะเอาชนะความรักได้ ตั้งแต่ออกมาจากคุกจิตใจของเขาสงบลงมาก และตอนนี้รอบตัวเขามีไอมงคลแผ่ออกมา มู่จิ่วไม่กล้าพูดว่าเขารักเหลียงชิวฉานลึกซึ้งเพียงไหน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยพูด แต่นางกลับดูออกว่าพื้นที่ของเหลียงชิวฉานในใจเขาไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ได้
นางคืออดีตและอนาคตของเขา เป็นทั้งฝันร้ายในวัยเด็กและแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่
ตอนแรกเขาเกลียดนางปฏิเสธนาง เย็นชาต่อนาง นั่นคือการป้องกันอย่างหนึ่ง ต่อหน้าความแค้นถึงเป็นถึงตายระหว่างเขากับแรกพยับ นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้นางได้
บางทีความรักอาจเกิดขึ้นนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ยอมรับมัน
พวกเขาไปคุนหลุนตะวันออกตอนค่ำ
ลู่ยานำร่างของเหลียงชิวฉานมาไว้บนแท่นดอกบัวเหนือบึงน้ำดำ
ผิวน้ำในบึงพลิกไหวเป็นคลื่น เพียงมู่จิ่วพ่นลมหายใจออกไป ผิวน้ำนั้นก็สงบราบเรียบราวกระจก
เหลียงชิวฉานบนแท่นดอกบัวไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้เลย วิญญาณออกมาจากขวด มู่จิ่วใช้ยันต์ชีวิตนำทาง พริบตาเดียววิญญาณก็เข้าร่าง จากนั้นนางถึงลืมตาขึ้น หลินเจี้ยนหรูที่บีบมือนางแน่นลุกขึ้นมาคุกเข่าคำนับพวกเขา
เหลียงชิวฉานคุกเข่าคำนับเช่นกัน
จากตายแล้วฟื้น จากวิญญาณเร่ร่อนกลับคืนสู่ร่าง นางก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือตื่นเต้นจนเสียกิริยา ทุกอย่างคือความนิ่งสงบ ราวกับถูกกำหนดไว้แบบนี้ทุกชาติภพไป
มู่จิ่วตื้นตันกับความรักเช่นนี้ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบหลังจากผ่านโศกนาฏกรรมมา สำหรับพวกเขาแล้วคงมีค่าที่สุดกระมัง มันเรียบง่ายเหมือนกับล้างแป้งบนหน้าออกจากหมด ละทิ้งความหวานชื่นที่ควรมีดั่งเช่นบนโลกมนุษย์ ความรักของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ เคียงคู่กันไปอย่างมั่นคงแน่วแน่ ใครจะพูดได้ว่าไม่ใช่ความสุขชนิดหนึ่ง?
“ข้ายังมีอีกเรื่องอยากขอร้อง”
เมื่อออกมาจากคุนหลุนตะวันออกก็ถึงเวลาลาจากแล้ว หลินเจี้ยนหรูมองดวงจันทร์บนฟ้า พลันหันมองลู่ยากับมู่จิ่ว “ข้าอยากให้ท่านทั้งสองเป็นพยานให้ข้า ข้าหลินเจี้ยนหรู ยินดีรับเหลียงชิวฉานเป็นภรรยา เป็นตายไม่แยกจาก อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์”
เขาดึงเหลียงชิวฉานให้คุกเข่าลง
มู่จิ่วมองลู่ยา
ลู่ยากอดอกอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย “เจ้าได้พลังของข้าไป นับว่าเป็นศิษย์ของข้ากึ่งหนึ่ง ทว่าข้าไม่อาจรับเจ้าได้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นเพื่อนอาจิ่วก็ว่ากันยาก ฉะนั้นข้าจะเป็นพยานให้พวกเจ้า ถือว่าเป็นมิตรภาพแล้วกัน”
พูดจบเขาก็สะบัดมือเรียกโต๊ะมงคลและเทียนมงคลออกมา จากนั้นยังเปลี่ยนชุดแต่งงานให้พวกเขาด้วย
มู่จิ่วยินดีนัก นั่งรับการคำนับของพวกเขาอย่างตั้งใจ คิดๆ แล้วก็ยกมือขึ้นลูบกระหม่อมเหลียงชิวฉาน มอบพลังให้นางเล็กน้อย
ไม่ง่ายนักที่จะมีคนจริงใจกับหลินเจี้ยนหรู นางหวังเพียงว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า เป็นตายไม่แยกจาก พลังของเขาไม่น้อยแล้ว แต่เหลียงชิวฉานยังห่างจากเขามากนัก หากขาดพลังไป นางคงสำเร็จเป็นเซียนช้ากว่าหลินเจี้ยนหรูนานนัก
ความจริงพวกเขาทั้งคู่คงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่เป็นพยานของพวกเขา จะไม่ให้ของขวัญยินดีสักหน่อยได้อย่างไร?
เหลียงชิวฉานคำนับขอบคุณนางทั้งน้ำตา มู่จิ่วยิ้มพลางกลับไปหาลู่ยา หวนคืนสู่สวรรค์ภายใต้แสงจันทร์
สำหรับนางแล้ว การให้นั้นมีความสุขมากกว่าการรับ
นางเชื่อว่าบนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ใช้กำปั้นและแผนการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ นางไม่ชอบแสร้งทำใสซื่อเป็นดอกบัวขาวเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน นางก็เชื่อว่าความขัดแย้งบนโลกนี้ใช้การให้และความปรารถนาดีเข้าแก้ไขจะเหมาะสมกว่า
………………………..