ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 399 สงครามครั้งสุดท้าย (2)
มู่จิ่วหันกลับไปหาเหล่าคน ดึงเสี่ยวซิงเข้ามากอด จากนั้นเดินเข้าไปในคลื่นจิตพสุธากับลู่ยาและพวกหงจวิน
เสี่ยวซิงที่รออยู่ด้านนอกอดกังวลใจไม่ได้ ซ่างกวนสุ่นกอดนางไว้ ไม่รู้ว่าใจจะพะวงอยู่กับเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังประตูดี
วังคลื่นจิตพสุธาที่มีต้นไม้ดอกไม้นั้นดูไม่เหมือนกับเมื่อก่อนยิ่งนัก แต่เมื่อเดินไปบนเส้นทางเดิม กลับรู้สึกว่ามีคลื่นพลังกระทบเข้ามาคลื่นแล้วคลื่นเล่า เมื่อพิจารณาดูดีๆ ถึงพบว่าเป็นพลังวิญญาณของหกวิญญาณ มู่จิ่วพลันเอ่ย “พลังของหกวิญญาณคล้ายสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะข้า”
หงจวินพยักหน้า “นี่คือการเคลื่อนไหวของวิญญาณร้าย ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ก่อร่าง ทว่าก็มีแรงตอบสนอง พวกเจ้าไปครั้งนี้ต้องระวังให้ดี พวกเราเข้าไปไม่ได้ แต่หากมันฝ่าออกมา ต่อให้จะสร้างเขตพลังกันไว้ ขอแค่มีพลังชั่วร้ายหลุดลอดมาเพียงนิด ก็สามารถรวบรวมปราณร้ายบนโลกไปทำเรื่องเลวร้ายได้”
“ดังนั้นเจ้าควรใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากเกินหนึ่งชั่วยามยังไม่ออกมา พวกเราจะปิดผนึกผังแปดทิศ พวกเจ้าต้องรออีกหนึ่งพันปีผังแปดทิศนี้ถึงจะเปิดออกอีกครั้ง และภายในหนึ่งพันปีนั้น พวกเจ้าจะสามารถอยู่ท่ามกลางพลังร้ายได้โดยไม่เป็นอะไรหรือไม่นั้นก็พูดยาก”
“รู้แล้ว” ลู่ยาจับมือมู่จิ่วขึ้นมา ก้าวยาวๆ เข้าไปในวังวิญญาณเทพ
พวกหงจวินก็ตามเข้าไป
เมื่อเปิดประตู คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่พลันพัดเสื้อของพวกเขาลอยขึ้น
ลมพัดเข้าไปด้านในตามทางเดิน ไม่นานก็ค่อยแยกแยะความโกรธที่เจือมากับพลังวิญญาณได้ ถึงแม้วิญญาณร้ายจะไม่เคยออกมา แต่ความบ้าคลั่งของมันก็กระตุ้นความโกรธของหกวิญญาณ ในวังนี้ได้เกิดสงครามแบบไร้รูปขึ้นแล้ว
ลู่ยาเดินไปทางซ้ายของกำแพงวิญญาณ มองลูกแสงที่สว่างวูบไหวรอบๆ ก่อนหันกลับมาหามู่จิ่ว มู่จิ่วพยักหน้า รวมพลังมาไว้ที่มือแล้วสะบัดมันออกไป หกวิญญาณค่อยๆ สงบลง คลื่นที่ออกมาจากพลังวิญญาณสงบลงทีละน้อย ลู่ยายกมือกดลงบนผังแปดทิศ ผังนั้นก็ปล่อยแสงสว่างออกมาหมื่นจั้ง! พริบตาเดียวประตูก็เปิดออก เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงดึงมือมู่จิ่วเข้าไปข้างใน!
ราวกับเข้าไปในบ่อน้ำลึก ตลอดทางมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีสิ่งของอะไรให้จับต้องได้ หากไม่ใช่เพราะพลังวิญญาณแข็งแกร่งพอจนสามารถพยุงร่างไว้ได้ เกรงว่าคงสามารถแตกสลายไปได้ตลอด แต่ข้างล่างนี่จะเป็นเพียงที่ไร้แสงไร้ก้นบึ้งเท่านั้นหรือ? ในระยะร้อยจั้งไม่มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งลึกลงไปอีกร้อยจั้งถึงค่อยๆ มีพลังวิญญาณไร้นามเข้ามาวนเวียนรอบร่าง
“นี่คือด้านนอกของคลื่นจิตพสุธาเท่านั้น รังของวิญญาณร้ายอยู่ที่เขาเสียงสื่อวิญญาณ พวกเรายังต้องลงไปอีก”
ลู่ยาพูดพลางดึงดอกบัวทองออกมาไว้ข้างหน้า แสงสว่างของดอกบัวทองส่องไปทั่วทั้งสี่ทิศ มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าที่นี่ว่างเปล่า มีเพียงหินประหลาดตั้งสูง เนินเขาคดเคี้ยว เพียงแต่ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเลย นอกจากพื้นที่ว่างเปล่าก็ไม่เจอหญ้าสักต้น หนอนสักตัว ทั้งอากาศยังหายใจลำบากยิ่งนัก
ความจริงลู่ยาก็ไม่เคยเข้ามา นอกจากปฐมวิญญาณ พวกเขาคงเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาในนี้
ที่นี่พวกเขาไม่ใช่เทพสูงศักดิ์ เป็นเพียงนักรบที่ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จและมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้
เมื่อลงไปอีกหลายพันจั้ง เหล่าหินงอกค่อยๆ หยาบขึ้น จนกลายเป็นทรงยอดเขาอยู่เลาๆ น่าจะเข้าใกล้พื้นหุบเขาแล้ว
ทั้งสองรีบดึงพลังวิญญาณมาเป็นม่านเซียน ลดความเร็วลง สุดท้ายเมื่อมาถึงพื้นด้านล่างถึงค่อยลุกขึ้นมองสำรวจโดยรอบ
ในถ้ำหินแห่งนี้กลับมีสิ่งมีชีวิต เถาวัลย์สีดำและสีม่วงเกือบดำคดเคี้ยวอยู่บนยอดหิน ต่ำลงมามีเพียงกิ่งไม้แห้งกับต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีคางคกดำเก้าหัว ยุงตัวเท่าฝ่ามือบินไปมา รอบด้านมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยคละคลุ้ง มู่จิ่วเพียงยื่นมือไปสัมผัสหญ้าเจ็ดใบตรงซอกหิน มันก็แห้งเหี่ยวโรยราในฉับพลัน
“ของประหลาดที่นี่เติบโตได้เพราะวิญญาณร้ายหล่อเลี้ยง เจ้าเป็นคู่พิฆาตกับมัน ดังนั้นทุกที่ที่เจ้าไป ของพวกนี้จะไม่อาจอยู่รอดได้” ลู่ยามองต้นหญ้าในมือตนที่ยังปลอดภัยไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนกล่าว “เราต้องหาจุดที่วิญญาณร้ายถือกำเนิดก่อน อย่าเพิ่งทำให้พวกมันแตกตื่น”
มู่จิ่วพยักหน้า เก็บพลังวิญญาณเข้าไป รอลู่ยาคำนวณทิศทาง แล้วจึงเดินเลียบไปบนทางเส้นเล็กสายหนึ่งด้านตะวันตก
ถึงแม้ไม่เคยมา แต่พวกเขาก็ยังคุ้นเคยกับสภาพโดยรวมของด้านล่าง ปฐมวิญญาณทำนายล่วงหน้าว่าวิญญาณร้ายจะถือกำเนิดขึ้น ย่อมต้องทำให้ที่นี่ไม่ผิดแผกมากไป
จุดกำเนิดของวิญญาณร้ายอยู่ที่เขาเสียงสื่อวิญญาณ เขานี้มีปราณร้ายหนาแน่นที่สุดในคลื่นจิตพสุธา ทั้งยังเป็นจุดที่ลึกและมืดที่สุดด้วย
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวผลีผลามไม่ได้เพื่อไม่ให้วิญญาณร้ายแตกตื่นวุ่นวาย หากลดอานุภาพกดดันลงได้ต่ำสุดก็ทำ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ใกล้ถึงที่หมายแล้ว…ด้านใต้เขาหินตั้งโดดเดี่ยวแต่ละลูกท่ามกลาง ‘แสงสายัณห์’
เหตุที่บอกว่า ‘แสงสายัณห์’ เป็นเพราะที่นี่พลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าแสงนี้มาจากที่ใด และเขาหินก็ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่แอ่งกระทะ หินแหลมทั้งหมดชี้ขึ้นข้างบน ดูไปแล้วเหมือนกระถางใบใหญ่ก็ไม่ปาน
ตรงตีนเขามีไอพิษลอยกระจาย อากาศสกปรกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หากไม่มีพลังวิญญาณมหาศาลในร่าง คนธรรมดาจะอยู่รอดปลอดภัยที่นี่ถึงครึ่งเค่อได้ที่ไหน?
รอบด้านเขาหินมีบึงน้ำมีควันดำโชยกลิ่นเหม็น
ในบึงน้ำดำสนิทดุจน้ำหมึก หากไม่มีแสงสว่าง ‘ยามสายัณห์’ ส่องสะท้อนก็มองไม่เห็นน้ำใดๆ เลย
มู่จิ่วชะโงกหน้าไปมองเขาหินที่ค่อยๆ มืดสลัวลง กล่าวว่า “อากาศพิษรอบด้านยิ่งหนาแน่นขึ้นอีก เราต้องรีบไปแล้ว ข้าจะบุกนำหน้า เจ้าระวังหลังแทนข้าก็พอ” นางพูดพลางทะยานไปยังหินภูเขา
ลู่ยาดึงนางไว้ “วางใจเถิด ข้าไม่แย่งเจ้าหรอก แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนด้วย พวกเราไปด้วยกัน อีกเดี๋ยวเจอมันแล้วเจ้าค่อยเข้าไป ทางข้าจะคอยเตรียมระวังอยู่ด้านข้าง”
มู่จิ่วไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ถูกเขาดึงให้ทะยานขึ้นฟ้าแล้ว
และต่อจากนั้นนางก็ไม่มีเวลาตอบโต้และไม่มีใจจะต่อรองกับเขา เพราะเพิ่งลอยจากพื้น กลิ่นเหม็นก็ถาโถมเข้าใส่! เวลาเดียวกัน จิตสังหารเหี้ยมโหดเข้ามาใกล้ตัวในทันใด! มู่จิ่วขยับมือตามความคิด พลันหมุนตัวอยู่จุดเดิมแล้วทะยานขึ้น ไอดำสามสี่กลุ่มแล่นผ่านข้างแก้มนางไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ!
“นี่คือพลังของวิญญาณร้าย ระวังไว้!”
ลู่ยารีบตะโกนพลางถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
ฝั่งเขาก็ไม่ง่ายดาย ไอดำนั้นเหมือนมังกรร่อนและผ้าไหมดำ เคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนจนแม้แต่เขายังต้องตั้งสมาธิให้มั่น
ผืนฟ้าที่มีแสงส่องลงมาอยู่ส่วนหนึ่ง บัดนี้เต็มไปด้วยหมอกดำ บนอากาศมีเพียงไอดำนับไม่ถ้วนวิ่งไปมา พวกมันเคลื่อนไหวไวว่อง ทุกครั้งที่หักโค้งจะทะลวงไปไกลหลายพันลี้ ร่างขาวทั้งสองกลางอากาศราวขนนกสีขาวปลิวว่อน ยามทะลวงผ่านหมอกดูเหมือนกระฉับกระเฉง แต่หากดูดีๆ จะเห็นว่าไม่มีกิริยาใดเลยที่ไม่ลำบาก
ภายในคลื่นจิตพสุธาดุจมีเพลิงกัลป์ลุกไหม้ ไม่เพียงมีหมอกดำวนเวียน ความร้อนแผดเผาจากใต้พื้นดินยังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ!
…………………………