ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 846 มหาสงครามใกล้เปิดฉาก
ดีและเลวนั้นสำคัญหรือไม่ คำตอบคือสำคัญ
แต่โลกนี้ใช้ความดีและความเลวมาผูกมัดผู้คน สิ่งที่เรียกว่ามาตรฐานก็คือเครื่องมือที่รับใช้พวกเขาเท่านั้น
เนี่ยถิงและคนอื่นเห็นว่าความสามารถจับวิญญาณของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร เธอจับวิญญาณใครล่ะ แอนโทนี่? จอห์นสัน?
พวก…พวกนั้นควรถูกจับไม่ใช่เหรอ จับได้แล้วก็ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ยุคพลังจิตมาถึงนานขนาดนี้แล้ว ผู้นำของเครือข่ายฟ้าดินมีการติดต่อกับหลี่ว์ซู่มากบ้างน้อยบ้าง ตอนที่หลี่ว์ซู่ปฏิบัติการอยู่ต่างประเทศ บอกว่าโยวหมิงอวี่เป็นคู่ของเขาก็ได้ ส่วนห่าวจื้อเชาก็เป็นมิตรภาพอันลึกซึ้งที่ได้จากการต่อสู้กับหลี่ว์ซู่
ไปเทียบอะไรกับการจับกุมวิญญาณ มิตรภาพสำคัญกว่าชัดๆ
หลี่ซู่สัมผัสถึงมืออันเล็กๆ อันเย็นเฉียบของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง ใช่โลกนี้ยังคงอบอุ่นอยู่จริงๆ
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที เขาต้องการจะบอกบางอย่างกับหัวหน้าบาทหลวงแต่ก็ถูกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดึงไว้ เธอมองเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “นายอย่าเพิ่งพูดอะไร”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
แม้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะเข้าร่วมเครือข่ายฟ้าดินและได้ต่อสู้ให้กับองค์กรนี่ด้วยแต่ทั้งหมดก็เพื่อหลี่ว์ซู่ ในตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่าเรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น
แต่เธอไม่ต้องการที่จะคิดมากเกินไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
เธอมีความปรารถนาอย่างหนึ่งก็คืออยากเป็นราชันฟ้า ตอนนี้ก็สมปรารถนาแล้ว แม่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้แต่ก็ทำให้เธอมีความสุขมากเป็นพิเศษ
ในยามคับขันนี้ ทหารขององค์กรอื่นๆ มาประชิดเมือง เราผู้เป็นอิสระต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น เหล่าองค์กรใหญ่ต่างล้มเลิกขัดขวางการกระทำการกระทำของเราผู้บำเพ็ญอิสระเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปสูญเสียพลังโดยไม่จำเป็น
หัวหน้าบาทหลวงไม่พูดอะไรแล้ว เขาอยู่ๆ ก็สัมผัสถึงอันตรายคล้ายกับเนี่ยถิงกำลังจับตาเขาอยู่
ทุกคนต่างรู้ว่าไงเนี่ยถิงไม่ได้ใช้ดาบมานานแล้ว เขาเอาแต่เก็บตัวทำสมาธิ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากเก็บตัวนี้ พลังของจอมดาบอันดับหนึ่งจะน่ากลัวขนาดไหน
แต่หัวหน้าบาทหลวงและนักบุญก็ยังสงสัย พวกเขายังตกใจไม่หายที่เห็นกล่องดำในมือของเนี่ยถิง หรือว่าเนี่ยถิงหาวิธีใช้พลังได้แล้ว
“มีหลายคนขอให้ฉันอย่ามาที่แนวหน้า ในเมื่อใช้พลังไม่ได้ก็นั่งประจำการอยู่กองหลังดีกว่า” เนี่ยถิงพูด “แต่ฉันคิดว่ามันไร้เหตุผลที่ฉันจะมาซ่อนตัวอยู่ขณะที่ทุกคนมีโอกาสเป็นตายอยู่ในแนวหน้า บางทีหลังจากวันนี้ไปตาข่ายฟ้าดินอาจจะไม่มีพลังเสินฉังจิ้งแต่ละข่ายฟ้าดินมีบุคลากรมากมายขาดฉันไปคนหนึ่งไม่เสียหาย”
ได้ยินเท่านี้ทุกคนก็รู้ว่าเนี่ยถิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สือเสวจิ้นนั่งอ่านกองหนังสืออยู่ในบ้านที่ตรอกหลิวไห่ เมืองหลวงก็หยุดอ่านเพราะรู้สึกสัมผัสอะไรได้บางอย่าง
หลี่ว์ซู่มองเนี่ยถิงอย่าเงียบๆ เขาอยากจะบอกว่าท่านอย่าทำเรื่องที่ทำลายอนาคตของตนเองเลย ทุกคนช่วยกันคิดหาวิธีได้แต่คำถามคืออีกฝ่ายมียอดฝีมือมากขนาดนั้น หลี่ว์ซู่พูดอะไรก็แก้ปัญหาตอนนี้ไม่ได้
แล้วทุกคนก็รู้ว่าถ้าเนี่ยถิงตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้
พูดเสร็จเนี่ยถิงก็บีบกล่องดำในมือจนแหลกละเอียด ดาบยาวสีดำที่อยู่ข้างในก็ลอยออกมาและด้ามดาบก็ค่อยๆ ตกลงสู่ฝ่ามือของเนี่ยถิง
มือขวาของเขาถือดาบขึ้นมาแล้วกรีดลงที่กลางฝ่ามือซ้าย มีดนั้นกรีดลงเป็นแผลลึกแต่ไม่มีเลือดไหลออกมาแต่เป็นเส้นเลือดสีดำที่ไหลไปทั่วร่างของเนี่ยถิง ในพริบตานั้นใบหน้าอันหล่อเหลาของเนี่ยถิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำอันลึกลับ
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่สัมผัสถึงปราณของเนี่ยถิงที่เบาลงอย่างรวดเร็ว ลดจากเสินฉังจิ้งสู่ระดับ A! เหมือนกับดวงดาวที่ตกลงสู่ท้องฟ้า!
มีดนี้แทงลึกเข้าไปสู่จิตวิญญาณแต่เนี่ยถิงกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!
หลี่ว์ซู่คิดว่าดาบนี้น่าอัศจรรย์จริงๆ มันไม่ได้เอาไว้ใช้ฟันตัวเอง ถ้าดาบนี้ฟันใส่ร่างศัตรูจะถูกทำลายรากฐานพลังลงอย่างแน่นอนมันคืออาวุธสังหารชั้นยอดของโลกทีเดียว!
แต่เนี่ยถิงพลิกแพลงวิธีนี้มาใช้ลดพลังของตัวเอง!
เหล่าทหารในเกราะทองแดงทุกคนต่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่องค์กรใหญ่พวกนี้บุกรุกเข้ามา เนี่ยถิงคงไม่เลือกใช้วิธีเช่นนี้!
แล้วเนี่ยถิงพูดต่อว่า “วันนี้ข้าเนี่ยถิงทำลายรากฐานพลังตนเอง จับดวงวิญญาณระดับ A มาเล่นเพื่อราชันฟ้าที่สิบเอ็ดของฉัน เพื่อให้คนทั่วโลกรู้ซึ้งถึงกฎข้อหนึ่ง บุกรุกดินแดนของข้า ตายสถานเดียว”
เมื่อพูดจบ เขาจึงฟันดาบสีดำลง พลังดาบแหวกอากาศเข้าใส่หัวหน้าบาทหลวงทันที ความมืดมิดที่ทำให้ฟ้าดินยังดำมืดลง
หัวหน้าบาทหลวงห่างจากเนี่ยถิงอยู่หลายร้อยเมตรแต่กลับรู้สึกว่าหลบด่านนี้ไม่พ้นแน่นอน
พลังดาบนี้เป็นเสมือนกุญแจที่เปิดศึกสงครามครั้งนี้ นักบุญลงมือโจมตีในทันทีและยอดฝีมือจากองค์กรใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มบุกโจมตีเมืองพร้อมกันทุกทาง
ยอดฝีมือผู้มีพลังแต่ละคนต่างบุกโจมตีใส่กำแพงเมืองราวกับเป็นตั๊กแตน วันนี้จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์โลกการบำเพ็ญแน่นอน
…
ห่างออกไปห้ากิโลเมตร มีเงาร่างของคนคนหนึ่งลอยผ่านไปบนท้องฟ้าแต่ทันใดนั้นก็ถูกคนสองคนขวางทางเอาไว้
หลี่เสียนอีหยุดและมองดูอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อตรงหน้าอย่างนิ่งเฉย “รอฉันมานานแล้วสิ”
ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าลงมาจากฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปราวกับเป็นหอกยาวสายฟ้า หลี่เสียนอียิ้ม “ฉันก็รอพวกนายมานานแล้ว”
อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อต่างถอยหลังออกไปเพื่อหลบหอกกุงเนียร์ที่มุ่งโจมตีเข้ามาและเห็นคอรัลลอยลงมาอยู่ข้างๆ หลี่เสียนอีด้วยใบหน้าเย็นชา
“ทำไมเธอมาที่นี่ได้” พยัคฆ์จื๋อขมวดคิ้ว พวกเขาไม่อยากต่อสู้กับคอรัล
คอรัลมาที่ภูเขาจั่งไป๋ตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ลงมือเพราะเมื่อเดือนก่อนที่หลี่ว์ซู่ออกจากเมืองลั่วเฉิง เขามาหาเธอ
ตอนนั้นคอรัลเตรียมตัวกลับบ้านแต่ระหว่างทางเธอเห็นหลี่ว์ซู่ที่รอเธออยู่ หลี่ว์ซู่พูดเพียงประโยคเดียวว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอจำเรื่องราวเมื่อก่อนได้หรือไม่ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะกลับมาได้ไหมแต่ฉันมีเรื่องไหว้วานเธอเรื่องหนึ่ง ช่วยปกป้องหลี่เสียนอีด้วย”
นับตั้งแต่ตอนนั้นหลี่ว์ซู่คิดว่าความแค้นของปรมาจารย์หุ่นเชิดและมูลนิธิต้องมาตกที่ตัวหลี่แต่หลี่เสี่ยนอีคนเดียวสู้ทั้งสองคนไม่ไหวอยู่แล้ว เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นตอนที่เนี่ยถิงเข้าสู่พลังเสินฉังจิ้น หลี่ว์ซู่ไม่อยากหลี่เสียนอีเกิดเรื่อง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่อยากให้เกิดเช่นกัน
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ถึงไปหาคอรัล
ก่อนที่เขาไปหาคอรัลก็ยังกังวลว่าคอรัลที่สูญเสียความทรงจำจะไม่ยอมตอบตกลง แต่อีกฝ่ายแค่เห็นห่วงที่เปิดกระป๋องบนนิ้วหลี่ว์ซู่ก็ตกปากรับคำทันที
ท่าทีคอรัลทำเอาหลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะสูญเสียความทรงจำหรือไม่ถ้าหลี่ว์ซู่เอ่ยปากขออีกฝ่ายก็จะตอบตกลง
ตอนนี้อวิ๋นอี่พูดด้วยเสียงราบเรียบ “วันนี้มาขวางนายไม่ได้มาเพื่อฆ่านายแต่มาเพื่อยืนยันเรื่องในอดีตกับนาย! “
พยัคฆ์จื๋อมองที่เนินเหลาหู่เป้ยและขมวดคิ้วให้อวิ๋นอี่ “สรุปสั้นๆ ก็คือ ฉันรู้สึกว่าโลกนี้กำลังจะพังทลายลง การต่อสู้ของระดับ A เกิดขึ้นถี่เกินไป มันอันตราย! “
หลี่เสียนอีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถามมา ถ้าฉันตอบได้ก็จะตอบ”
“ในปีนั้นใครเป็นคนบอกที่อยู่ของพวกเราให้กับมูลนิธิ”