ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 877 มังกรซ่อนเร้น
หลิวอี้เจาเงียบไม่พูดเมื่อได้ยินคำกล่าวหาเสียดสีของจางเว่ยอวี่
“แต่ฉันดีใจนายเรียกตัวเองด้วยชื่อตำแหน่งหน่วยมังกรหลวง” จางเว่ยอวี่มองหลิวอี้เจาอย่างสงบและพูดว่า “ฉันออกจากหน่วยมังกรหลวงมา 23 ปีแล้ว ร่างกายซูบผอมจนเพื่อนเก่าของฉันยังจำฉันไม่ได้ แต่นายกลับจำฉันได้”
หลิวอี้เจาหัวเราะ “ตอนนั้นท่านและอาจารย์หลี่กู้หยวนเป็นผู้สอนเคล็ดลับการบำเพ็ญให้กับผม ในหน่วยมังกรหลวงผมชื่นชมพวกท่านมากที่สุดแล้วจะลืมหน้าตาของท่านได้อย่างไร สมัยนั้นใต้เท้าแต่ละท่านเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อราชาองค์เก่า ช่างเป็นภาพที่สง่างามมาก คือสิ่งที่โหยหาในใจอย่างมาก แต่ตอนนั้นยังมีความลับอีกเรื่องหนึ่งและหวังว่าใต้เท้าจางจะเลิกเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนทรยศของหน่วยมังกรหลวง”
เวลานี้จางเว่ยอวี่ยืนอยู่ในความมืด ดูไม่เหมือนชาวนาธรรมดาเลย ราวกับว่าเขายังเป็นทหารวังในที่ยืนถือดาบกล้าต่อกรกับทุกคนในใต้หล้า
ตำแหน่งทหารวังในเป็นผู้บัญชาการของหน่วยมังกรหลวง ซึ่งโดยปกติแล้วไม่เพียงแต่มีหน้าที่ปกป้องราชาองค์เก่าเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทเป็นหูเป็นตาให้ด้วยจึงเป็นบุคคลที่ราชาองค์เก่าไว้วางใจมากที่สุด
ที่จริงหน่วยทหารวังใน ตอนก่อตั้งขึ้น ทุกคนไม่คิดว่าตัวเองเป็นองครักษ์ ไม่ใช่ว่าละเลยหน้าที่แต่ราชาองค์เก่าไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ด้วยซ้ำ
ผู้ครองบัลลังก์นั้นแข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องรับการปกป้องด้วยหรือ?
แต่เพราะผู้แข็งแกร่งผู้นี้อยู่ๆ ก็จากไป จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ถูกเนรเทศเป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในสถานการณ์ ในเวลานั้นพวกเขาแต่ละคนถูกลงโทษอย่างรุนแรงและได้รับบาดเจ็บสาหัส รากฐานพลังถูกทำลายจนไม่สามารถบำเพ็ญได้อีก ในเวลานั้นยุคของราชาองค์เก่ามีความสงบสุขมานานมาก ในสายตาของผู้คน ภาพลักษณ์ของราชาองค์เก่าจึงค่อยๆเริ่มมีความเป็นมิตรมากขึ้น จนลืมไปว่าประวัติศาสตร์การรบสามพันปีของราชาองค์เก่านั้นโหดร้ายเพียงใด
แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตำหนิใครเพราะมันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาเอง
ระหว่างทางที่ถูกเนรเทศ มีคนช่วยพวกเขาหลบหนีและในที่สุดก็จัดการให้พวกเขาใช้ชีวิตแบบปกปิดชื่อแซ่ที่นี่
เดิมทีคิดว่าจะอยู่อย่างสบายใจแต่หลังจากที่รากฐานพลังของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขากลับแย่ยิ่งกว่าคนทั่วไป พวกเขาทำการเพาะปลูกก็ยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกรังแกจากทุกด้าน
แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญเพราะพวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่ารออยู่
เมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในการทำไร่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของจักรวาลหลี่ว์ก็เกิดขึ้น ราชาองค์เก่าเสด็จสวรรคตและราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์
ในเวลานั้นกลุ่มของพวกเขาร้องไห้อย่างขมขื่นเมื่อรู้ว่าไม่มีความหวังที่จะแก้แค้น
จากนั้นผู้คนที่ช่วยเหลือพวกเขาระหว่างการเนรเทศก็พบพวกเขาและบอกพวกเขาว่าให้รอต่อไป
นั่นเป็นประโยคลวงและก็เป็นความหวังเช่นกัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ส่งข่าวมีอยู่จริงหรือไม่กันแน่
นี่คือลมหายใจที่พวกเขายืนหยัดไว้ ถ้าหากลมหายใจนี้ดับลง พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้
ยิ่งไปกว่านั้น จางเว่ยอวี่ยังคิดไม่ออกว่าคนอย่างตนถูกตัดทำลายฐานรากพลังแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้
จางเว่ยอวี่ยังคงจำน้ำเสียงเย็นชาของอีกฝ่ายในตอนนั้นได้ “จงอย่าตาย องค์ราชามีบางอย่างที่ให้พวกท่านทำ ถือว่าเป็นการทำความดีไถ่โทษ”
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ รู้สึกว่าชีวิตกลับมีความหวังใหม่อีกครั้งหลังจากได้ยินน้ำเสียงที่ดูเหมือนกับให้บุญคุณ
แต่การรอคอยนี้ยาวนานถึง 18 ปีและในที่สุดก็มีคนที่ทนต่อไปไม่ไหว
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ที่ไม่มีรากฐานพลังจึงคงใบหน้าเดิมไว้ไม่ได้ หน้าตาจึงแก่ชราลง ผิดกับในอดีตที่เขาสง่างาม ห้าวหาญเหมือนกับหลิวอี้เจา!
จางเว่ยอวี่มองหลิวอี้เจา “พวกฉันเป็นคนไร้ประโยชน์ จะฆ่าจะแกงก็ตามแต่ท่านเจ้าเมืองหลิว แต่ถ้าท่านต้องการถามอะไรจากฉัน ฉันเป็นชาวนาธรรมดาจึงไม่มีอะไรจะบอก เรื่องในปีนั้นก็ไม่ใช่ความลับเชื่อว่าท่านรู้ทุกสิ่งที่คุณควรรู้แล้ว”
ในตอนนี้ หลิวอี้เจาเป็นยอดฝีมือระดับสอง ส่วนจางเว่ยอวี่เป็นคนไร้ประโยชน์ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จะหนีก็ไม่มีทางหนีพ้น ไม่สู้เหลือศักดิ์ศรีให้ตัวเองบ้างจะดีกว่า
จะร้องขอเมตตาก็คงเป็นไปไม่ได้ 23 ปีที่แล้ว จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้กล่าวขอความเมตตาต่อราชาองค์เก่าแม้แต่น้อย ผิดแล้วก็รับผิด
สิ่งที่จางเว่ยอวี่พูดว่าไม่มีอะไรจะบอกคือไม่รู้ว่าเขาจะมาทำอะไรที่นี่ เขาแค่เชื่อฟังรอคำสั่งอยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจ จะรอนั้น รอทำไม อีกฝ่ายก็ไม่เคยบอกเขา
แต่จางเว่ยอวี่ก็ไม่สนใจ เขาเป็นนักโทษหากมีโอกาสไถ่โทษก็พอใจแล้ว ถึงทหารวังในจะแข็งแกร่งแต่พวกเขาทำผิดและกลายเป็นคนธรรมดา อีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะบอกความจริงกับพวกเขามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้ามันมีความสำคัญกับบัลลังก์จริงๆ แน่นอนว่ายิ่งระมัดระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ดังนั้น จางเว่ยอวี่ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ต่ยังรู้สึกว่าบุคคลที่ราชาองค์เก่าไหว้วานนั้นเชื่อถือได้
หลิวอี้เจายิ้มและพูดว่า “เด็กสาวคู่นั้นเป็น… ?”
“คนแปลกหน้า คนในเมืองเป็นพยานได้ อย่าไปยุ่งกับผู้บริสุทธิ์” จางเว่ยอวี่พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ถ้าเจ้าเมืองหลิวต้องการตัวเขาไปรับความชอบก็จับตัวไปเถอะ ตอนที่ราชาองค์เก่าอยู่มักเตือนพวกฉันเสมอว่าให้ฆ่าคนที่จะควรฆ่าเท่านั้น”
หลิวอี้เจามองจางเว่ยอวี่และพูดว่า “ผมคิดว่าเป็นหลานของท่านจริงๆจึงอยากจะดูแลสักหน่อย ตอนนี้พวกเขาอยู่ในวัยที่เหมาะกับการบำเพ็ญอย่างมาก ในเมื่อไม่ใช่ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ผมมาขัดจังหวะในวันนี้หวังว่าใต้เท้าจางจะไม่ถือสา แต่ท่านมีสิ่งที่ท่านพูดไม่ได้ ผมก็มีของผม เรื่องจะพูดมีเพียงเท่านี้ก็ขอให้เวลาเป็นผู้ตัดสิน ขอลาล่ะ “
พูดจบ หลิวอี้เจาก็หันหลังและจากไปอย่างไม่ลังเล
จางเว่ยอวี่กลับเป็นฝ่ายที่สงสัย หลิวอี้เจาต้องก่อกบฏเมื่อ 18 ปีก่อน มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขาคนนั้นจะยอมปล่อยให้เขากลายเป็นเจ้าแห่งเมืองหนานเกิงได้หรือ
ตอนนี้ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจแล้ว … จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดว่าไม่มีใครสามารถเชื่อได้ในตอนนี้ ภารกิจที่พวกเขาแบกรับยิ่งใหญ่มากจนเขาไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นอย่าไว้ใจคนอื่นง่ายๆดีกว่า
เขายังลังเลเกี่ยวกับเรื่องของหลี่ว์ซู่ เขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ถูกส่งมาเพื่อทดสอบเขา แต่แล้วก็พบว่าไม่ใช่
จางเว่ยอวี่รู้สึกสงสัยที่มาที่ไปของหลี่ว์ซู่ หลังจากได้เห็นพลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่แล้วก็สงสัยว่าหลี่ว์ซู่เป็นลูกศิษย์ของหนีจาก กระท่อมกระบี่ แต่พอมาคิดๆดูแล้ว สถานที่อย่างกระท่อมกระบี่ไม่มีอัจฉริยะที่มีพลังระดับหกและใช้พลังกระบี่ได้ ตอนที่หลิวอี้เจาบอกว่าต้องการดูแล จางเว่ยอวี่อยากจะหัวเราะ แม้ว่าหน่วยมังกรหลวงจะร้ายกาจแต่ความร้ายกาจของมันอยู่ที่การต่อสู้เป็นกลุ่ม ไม่มีกองทัพใดในโลกที่มีความแข็งแกร่งโดยภาพรวมเช่นนี้แล้ว แต่เมื่อพูดถึงวิชา เขาจะเห็นได้ว่าพลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ไม่มีใครในหน่วยมังกรหลวงสามารถต่อกรได้ ถ้าเป็นทหารวังในก็ยังพอได้
ไม่ใช่ว่าจางเว่ยอวี่คิดว่าหลี่ว์ซู่ สามารถต่อสู้กับหน่วยมังกรหลวง แต่เด็กหนุ่มคนนี้มีอนาคต ตอนนี้มังกรซ่อนเร้น ไม่แน่อาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสักวันหนึ่ง