ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – Ze tian ji - ตอนที่ 60 ความจริงของสวนโจว
ถ้าคิดว่าท้องฟ้าคือขอบเขตของอากาศและไม่มีน้ำหนัก เป็นธรรมดาที่ชิ้นส่วนของมันย่อมเบากว่าใบไม้ มันจึงลอยไปลอยมาขณะร่วงหล่น ลอยไปทางทิศตะวันออกบ้าง ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันตกที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้บ้าง ทำให้ไม่สามารถตามรอยแล้วจับไว้ได้
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง ในที่สุดชิ้นส่วนของท้องฟ้าชิ้นนี้ก็ตกลงบนพื้นดิน ไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่ มันได้ตกลงบนร่างอันมหึมาของอสูรกระทิงที่อยู่หลังคลื่นอสูรพอดี จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นดวงไฟสีขาวเจิดจ้าบาดตา ที่ให้แสงสว่างและความร้อนไม่สิ้นสุด อสูรกระทิงแผดร้องอย่างโหยหวน ก่อนหายไปพร้อมดวงไฟสีขาว อย่าว่าแต่โครงกระดูกเลย ขนาดขี้เถ้ากับฝุ่นควันก็ไม่เหลือ!
ทุ่งหญ้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สัตว์อสูรในพื้นที่ต่างล้มระเนระนาด สัตว์อสูรเลื้อยคลานอย่างอสรพิษวารีกระอักโลหิตตาย แรงสั่นสะเทือนยังลามมาถึงบริเวณโดยรอบสุสาน ฝุ่นควันนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกจากช่องว่างระหว่างหินขนาดใหญ่ รวมทั้งพื้นหินสีเขียวคราม
แรงสั่นสะเทือนทำให้หนิงชุ่ยกับฮว่าชิว สองสาวใช้ตื่น และรู้สึกได้ถึงพลังอันน่ากลัวซึ่งระเบิดออกจากที่ที่ไกลออกไป พวกนางตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หนานเค่อนั่งหลับตา รู้สึกได้ถึงรอยแตกของโค้งฟ้าสีคราม นางคลับคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงพึมพำ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เรื่องที่เกิดไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆ สิ่งที่ควรทำก็คือ หาสาเหตุของเรื่องว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เฉินฉางเซิงรีบหันมองที่ที่เกิดแสงกระจ่างใสพุ่งสู่ท้องฟ้าเมื่อครู่ พบว่าแสงกระจ่างใสพุ่งออกจากเสาหินหน้าสุสานต้นหนึ่ง
รอบๆ สุสานมีเสาหินลักษณะคล้ายกันอยู่สิบต้น เมื่อวานตอนเขากับสวีโหย่วหรงมาถึงสุสานโจวก็สังเกตเห็นเสาหินเหล่านี้ เสาหินสูงพอประมาณ สลักอักขระจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากถูกแดดลมฝนชะล้างเป็นเวลานาน อักขระจึงพร่ามัว ทำให้ดูไม่ออกว่าหมายความว่าอะไร
แต่ที่เขาจดจำเสาหินที่ไม่มีความโดดเด่นเหล่านี้ได้ เพราะทำให้เขานึกถึงเสาหินนอกพระราชวังหลี และเพราะเสาหินเหล่านี้เมื่อเทียบกับสุสานที่ยิ่งใหญ่ตระการตาแล้ว มันช่างดูเก่าแก่ทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกที่ไม่เข้ากันเป็นอย่างยิ่ง เหมือนไม่ใช่ส่วนเดียวกัน ตอนนี้ดูไปแล้ว เสาหินสิบต้นที่ไม่โดดเด่นจึงน่าสงสัยมาก หรือเสาหินเหล่านี้มีพลังอันน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ภายใน มันเปล่งแสงกระจ่างใสออกมา แสงที่สามารถฉีกท้องฟ้าทั้งผืนออกเป็นชิ้นๆ ได้!
เศษชิ้นส่วนสีอ่อนๆ ของท้องฟ้าเพียงชิ้นเดียว ทำให้สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกลายเป็นความว่างเปล่าได้ ขณะที่ตัวชิ้นส่วนเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่ราบทุ่งหญ้ากลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เงียบสงัดไปเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิง สองสาวใช้ หรือสัตว์อสูรทั้งหลายต่างก็มองไปยังเสาหินต้นนั้น พลางรู้สึกกังวลใจและไม่สบายใจอย่างยากอธิบาย
ทันใดนั้น หินก้อนหนึ่งก็หลุดออกจากพื้นผิวเสาหิน มันเป็นหินที่หนาและกว้างหลายนิ้ว พอหล่นลงบนพื้นหินสีเขียวครามก็แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมเสียงอันแผ่วเบา แต่ในทุ่งหญ้าอันเงียบสงัด เสียงนี้กลับเขย่าขวัญสั่นประสาท จนคลื่นอสูรม้วนตัวขึ้น ทำให้สัตว์อสูรมากมายตื่นตระหนกจนล้มทับกันบนพืชน้ำ
จากนั้นไม่นาน พลังสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเสาหินต้นเดิมอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นแสงกระจ่างใสลอยออกไปจากสุสานอย่างเงียบเชียบ และในตอนนี้เองที่เฉินฉางเซิงพลันตระหนักรู้แล้วว่า นั่นคือพลังอันสูงส่งไร้เทียมทานจากบรรพกาล
พลังสายนั้นมีความเป็นมาที่ยาวนานกว่าดินแดนต้าลู่ด้วยซ้ำไป
เสาหินเหล่านี้แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่?
ครั้งนี้ แสงกระจ่างใสมิได้พุ่งไปที่ท้องฟ้าสีคราม แต่ดูเหมือนลอยไปที่บริเวณริมทุ่งหญ้าอย่างไม่ตั้งใจ โดยไม่รู้ว่าจะหยุดลอยเมื่อไหร่ ขณะที่สายตาตื่นตระหนกหลายคู่กำลังจ้องมองมัน คล้ายกำลังส่งมันให้ลอยออกไปไกลลับตา
ผ่านไปเนิ่นนาน ค่อยได้ยินเสียงทึบตันที่เกิดจากการตกกระทบ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา เหตุเกิดที่ริมทุ่งหญ้าห่างออกไปไกล แต่สะเทือนมาถึงรอบๆ สุสาน และเพราะไกลกันมาก เสียงทึบตันจึงไม่ดังนัก แต่แผ่นดินกลับสั่นไหวรุนแรง พืชน้ำนับไม่ถ้วนปลิวลอย ในสุสานเกิดฝุ่นควันขึ้นมาอีกครั้ง
แผ่นดินไหวรุนแรงจนทำให้เฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่เกือบล้มคะมำ แต่สายตาของเขายังไม่ย้ายไปไหน จ้องจับแต่เสาหินไม่วางตา และสังเกตเห็นว่ามีหินก้อนหนึ่งหลุดร่อนออกจากพื้นผิวของเสาหินอีก
เสาหินตากแดดตากฝนมานาน พื้นผิวจึงหยาบกร้าน สีก็ซีดหม่น ดูไปแล้วเหมือนเสาหินทั่วไป แต่พอหินสองก้อนหลุดร่อนออก เนื้อในจึงปรากฏให้เห็น ภายใต้แสงสว่างกระจ่างใส เห็นชัดเจนว่า เนื้อในเป็น…สีดำ
ไอพลังที่อยู่ในเสารั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แผ่กระจายออกด้านนอก แล้วกลายเป็นดวงแสงกระจ่างใสหลายดวง บ้างก็ลอยอยู่บนทุ่งหญ้า บ้างก็ลอยหายไปบนท้องฟ้า ตกอยู่ริมทุ่งหญ้าที่ห่างไกลออกไป ตกอยู่บนพื้นดินใกล้สุสาน พวกมันเข้าฉีกท้องฟ้า พลิกคว่ำผืนดิน จนเกิดเสียงระเบิดตูมตามที่น่าหวาดผวาไปทั่ว
ในแสงกระจ่างใสเหล่านั้นซ่อนพลังอันน่ากลัวที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ แม้เฉินฉางเซิงมีกระบี่หมื่นเล่มติดตัวก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะพลังที่มีอยู่ในเสาหินเป็นพลังประเภทที่ห่างไกลจากความเข้าใจของเขามากมาย และไม่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ลัทธิเต๋า
ฟ้าดินสั่นไหว พลังรุนแรงระเบิดออกปกคลุมทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลทั้งหมด แม้มองไม่เห็น แต่จินตนาการได้ว่า สวนโจวในตอนนี้กำลังเดินทางไปสู่จุดจบ
เมื่อแสงกระจ่างใสปรากฏ ก้อนหินก็หลุดร่อนออกจากพื้นผิวเสาหินไม่หยุด ก่อนตกแตกกระจายบนพื้น ทำให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเสาหินชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งด้านในของเสาหินยังคงเป็นหิน เพียงแต่เป็นหินสีดำที่กระดำกระด่าง เหมือนศิลาจารึกที่ยังจารึกไม่เสร็จอย่างไรอย่างนั้น
ตอนมองดูพื้นผิวเสาหินกระดำกระด่าง มองดูหินสีดำที่ปรากฏออก ไม่รู้เพราะเหตุใด เฉินฉางเซิงรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง จึงคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ขณะเดียวกัน นิ้วมือที่จับด้ามกระบี่ของเขากลับซีดลงเล็กน้อย ตัวสั่น ริมฝีปากแห้งผาก
ตอนเผชิญหน้ากับมหาวิหคปีกทอง เขายังกล้าจับกระบี่เข้าต่อสู้ แต่ตอนนี้ ขณะมองดูเสาหิน เขาคล้ายกับสูญเสียความกล้าในการชักกระบี่ออกจนหมดสิ้น
เขาคิดในใจอย่างตื่นตระหนก…เป็นไปไม่ได้!
เสาหินยังคงเปล่งแสงกระจ่างใสอย่างต่อเนื่อง พื้นผิวเสาหินหลุดร่อนไม่หยุด หินสีดำด้านในยิ่งมาก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น
ในที่สุดพลังรุนแรงที่ระเบิดออกก็ชนกันเอง กลายเป็นพายุหมุนอันน่าหวาดหวั่นหลายลูก เริ่มม้วนผืนดินบนทุ่งหญ้าอย่างเกรี้ยวกราด
แผ่นดินไหวรอบๆ สวนโจวที่สุดแล้วก็ลามมาถึงสุสาน… ลามมาที่เท้าของเขา
ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ เสาหินที่เหลืออีกเก้าต้นรอบๆ สุสานก็เริ่มสั่นไหวน้อยๆ แล้วเช่นกัน กรวดหินร่อนหลุดจากพื้นผิวเสาหินเสียงดังแกรกๆ พลังอันน่ากลัวกำลังจะหลุดออก
เฉินฉางเซิงจับด้ามกระบี่ รู้ว่าตนเองควรทำอะไร แต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
ด้ามกระบี่สั่นเล็กน้อย
ที่แท้ กระบี่พิการหมื่นเล่มที่ถูกฝังไว้ในทุ่งหญ้า มีไว้เพื่อควบคุมเสาหินเหล่านี้ พูดให้ถูกก็คือ ใช้สำหรับผนึกพลังในเสาหินไว้ชั่วคราว
แต่ตอนนี้พอทะเลกระบี่ถูกเขาเก็บไป เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายในเสาหินสิบต้นก็ปรากฏขึ้น
เสาหินเหล่านี้คืออะไรกันแน่?
เฉินฉางเซิงพอเดาออก แต่เขาไม่กล้าเชื่อ และไม่อยากจะเชื่อด้วย
ทว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
พื้นผิวของเสาหินเหล่านี้หลุดร่อนไปกว่าครึ่ง
ก้อนหินสี่เหลี่ยมสีดำก้อนหนึ่ง ค่อยๆ ปรากฏขึ้นระหว่างสวรรค์และพื้นโลก
ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นโลก
แม้ยังมีเศษหินติดอยู่ตามพื้นผิวของก้อนหินสีดำ แต่ก็ยังมองเห็นเส้นสายอันซับซ้อนและยากทำความเข้าใจเหล่านั้นได้
ซึ่งเฉินฉางเซิงต้องรู้สึกคุ้นตาแน่ เพราะไม่ว่าผู้ใดเคยจ้องมันนานวันเข้า ย่อมไม่มีทางไม่คุ้นตา
เขาเคยเห็นวัตถุที่คล้ายก้อนหินสีดำมากมายในเนินสุสานทางตอนใต้ของเมืองจิงตู
พื้นผิวของก้อนหินสีดำมีเส้นสายนับไม่ถ้วน เส้นสายก็คือลายลักษณ์อักษร เป็นก้อนหินที่ใช้จารึกตัวอักษร ซึ่งก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์นั่นเอง
ที่แท้ หินสีดำคือแผ่นป้ายอนุสรณ์
แผ่นป้ายอนุสรณ์สีดำ
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์