นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 27
ตอนที่ 27 ครอบครองโดยสมบูรณ์
จุดดันเถียนที่ท้องน้อยของนางราวกับเพชรที่แข็งแกร่ง สายความร้อนทะลวงอย่างรุนแรงจนแตกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระแสความร้อนนั้นเริ่มปกคลุม
กระแสความร้อนครอบคลุมจุดดันเถียนของนางไว้ ทันใดนั้นร่างกายของนางเริ่มเอ่อล้นและตัวนางเริ่มมีความสุข ราวกับว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงนั้นทำให้นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้น…
สายความร้อนเริ่มวิ่งออกจากจุดดันเถียน ไหลไปทั่วร่าง แล้วกลับมาจบที่จุดดันเถียน เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เกิดผลกระทบที่รุนแรงแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า…
“กรี๊ด”
“อ๊าก”
ซินเหยาทรมานจนเหมือนตายอีกครั้ง และอีกครั้ง
นางเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร นอกจากขบกัดริมฝีปากไว้แน่น จนเลือดไหลซิบ นางไม่สามารถทำอะไรได้ ราวกับหญิงสาวอ่อนแอที่กำลังถูกข่มขืน ครั้งแล้วครั้งเล่า ทรมานอย่างแสนสาหัส…
“นางหายนะนั่น ดึกดื่นเยี่ยงนี้ท่านพ่อยังจะปลุกให้ข้ามาดูนาง น่าโมโหนัก” โจว๋ปี้หลัวที่ตื่นจากการนอนหลับอันแสนสบายพาสาวใช้ยีหยุนมายังบ้านรินน้ำเสี่ยวจู้
ประตูไม้ของเรือนถูกปิดไว้อยู่
โจว๋ปี้หลัวดันประตูเปิดออก แล้วเดินเข้าไปข้างใน ใจกลางบ้านมีสระว่ายขนาดเล็ก ในนั้นมีปลาคาร์พสีทองกำลังเล่นน้ำอยู่ ต้นเมเปิ้ลใบเขียวชอุ่มถูกปลูกอยู่ข้างสระน้ำ บดบังท้องฟ้า และสร้างความรื่นรมย์ยิ่งนัก
ช่างเป็นเรือนที่เงียบสงบเสียจริง
โจว๋ปี้หลัวอุทานอยู่ภายในใจ
ตอนนี้ในใจของนางเริ่มบันดาลโทสะขึ้นมาอีกครั้ง
“นางคนชั่ว นางคือตัวหายนะเดินดิน เพียงแค่นางมาถึงที่นี่ พี่สี่ก็ถูกขับไล่ออกไปทันที แล้วยังมาขโมยบ้านรินน้ำเสี่ยวจู้ของข้าไปอีก“ โจว๋ปี้หลัวกล่าวโดยความโมโห
“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดเราถึงไม่คิดหาวิธีขับไล่คุณหนูเก้าล่ะเจ้าคะ” ยีหยุนเริ่มสุมเพลิงให้กองไฟ
“ไร้สาระ หากมีวิธีขับไล่มัน ข้ายังจะต้องรออยู่เช่นนี้หรือ เช่นนั้นบ้านรินน้ำเสี่ยวจู้ก็ตกเป็นของข้าไปนานแล้ว”
“มิใช่ว่าไร้หนทางเสียเลย”
“หญิงน่าตาย มีวิธีแล้วเหตุใดไม่รีบบอกข้าเล่า” โจว๋ปี้หลัวโมโห
“คุณหนูอย่าเพิ่งบันดาลโทสะเจ้าค่ะ ความจริงบ่าวเองก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะสำเร็จผลหรือไม่ แต่ก็น่าจะได้ผลอยู่บ้าง หากไม่มีวิธีอื่นแล้ว ก็ลองวิธีนี้เถอะเจ้าค่ะ”
“รีบพูดมา”
“บ่าวสังเกตถึงเรื่องประหลาดได้เรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ ที่ไหล่ของคุณหนูเก้า มีรูปประหลาดอยู่รูปหนึ่ง เหมือนจะเป็นดอกไม้เจ้าค่ะ แต่ว่ามันเป็นสีดำ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” โจว๋ปี้หลัวชะงักนิ่ง
“จริงนะเจ้าคะ”
“เรื่องแบบนี้จะเอามาพูดส่งเดชไม่ได รู้ใช่หรือไม่”
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะกล้าโหกท่านได้อย่างไร ในครั้งแรกที่คุณหนูเก้ายังไม่ได้ลืมตาตื่น คุณชายสี่มักจะใช้ให้บ่าวมาเช็ดตัวคุณหนูเก้าเจ้าค่ะ บ่าวเห็นรูปดอกไม้สีดำประหลาดบนไหล่ของคุณหนูเก้ามากับตาของตัวเองเจ้าค่ะ หากท่านไม่เชื่อ ก็ไปถามป๋านหนิงกับป๋านมเม้ยได้เลยเจ้าค่ะ พวกข้าต่างเห็นกันทั้งหมด”
“ปานหรือ แต่ข้าจำได้ว่าโจว๋ปี้หรุงไม่มีปาน หากนางมีมัน เช่นนั้นนางคือตัวปลอมใช่หรือไม่ หากนางไม่ใช่โจว๋ปี้หรุงที่แท้จริง แล้วนางเป็นใครกันเล่า”
“คุณหนูเจ้าคะ หากนางไม่ใช่คุณหนูเก้าที่แท้จริง เช่นนั้นก็ไม่สมควรจะได้พำนักที่บ้านรินน้ำเสี่ยวจู้แล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถขับไล่นางจากบ้านรินน้ำเสี่ยวจู้ หรือแม้แต่ขับไล่ไปจากจวนอ๋องโจว๋ได้เลยนะเจ้าคะ ทำให้นางไม่สามารถกลับมายืนหยัดได้อีก” ยีหยุนยั่วยุ
“ยีหยุน หากว่าสามารถขับไล่ตัวหายนะนั่นไปได้จริงๆ ข้าจะมอบหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็นรางวัลให้แก่เจ้า”
ใบหน้าของโจว๋ปี้หลัวเต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย “เหอะ ตัวหายนะ ครั้งนี้เจ้าได้พบกับตายที่ทรมานอย่างสาสมเป็นแน่”
ค่ำคืน…
ยิ่งดึกก็ยิ่งมืดมิด
ซินเหยานอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างโดดเดี่ยว อดทนกับความทรมานแสนสาหัส ที่โลกใบนี้ นางไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ในสนามรบนี้นางไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว
นางตัวคนเดียว อดทนอยู่เงียบๆ…
เป็นคนแปลกหน้าในโลกต่างแดนนี้
แม้นางจะเป็นจะตายไปในตอนนี้ ก็ไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียว
ไม่มีใครสนใจว่านางมาจากที่ไหน ไม่มีใครสนใจว่านางเป็นใคร
หากนางตายไปโลกนี้คงเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกคนคงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีใครต้องมาเจ็บปวดเพราะนาง และดูแลนางอีก
“ข้าจะตายแล้วอย่างนั้นหรือ”
ซินเหยาเริ่มรวยระริน…
สายความร้อนนั้นราวกับจะเผาร่างนางให้สุกก็ไม่ปาน การทะลวงจุดดันเถียนของนางในครั้งนี้… นับเป็นครั้งที่สิบได้แล้ว
และยังคงเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกๆครั้งเสียด้วย
เมื่อจุดดันเถียนถูกทะลวงอีกครั้ง การต่อต้านก็ยิ่งทบทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
การพบเจออุปสรรคที่แข็งแกร่ง ยิ่งจะทำให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
สองพลังที่เพิ่มกำลังในการกระทบกระทั่งกัน แต่ซินเหยาก็ยังอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ต่อไป นางรู้สึกได้แค่ว่าร่างกายของนางได้แตกหักไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากความเจ็บปวด นางก็ไร้ความรู้สึกอย่างอื่นไปเสียสิ้นแล้ว
เหตุใดนางถึงต้องมาทนรับกับความทรมานนี่กัน
นางยังไม่รู้ว่าทุกครั้งสายความร้อนทะลวงที่จุดดันเถียน ทักษะของนางจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
นางยังไม่รู้ว่าจากคนธรรมดา ตอนนี้ได้เจาะทะลุไปถึงชั้นเก้าแล้ว แม้แต่อัจฉริยะ ยังอาจจะต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี แม้แต่อันดับหนึ่งคนปัจจุบันอย่างนายท่านโจว๋ก็ทำได้เพียงเจาะทะลุขั้นแปด แล้วมาหยุดอยู่ที่ขั้นสูงของชั้นเก้าเท่านั้น
นางยังไม่รู้ ว่าการบรรลุในแต่ละชั้นจะต้องอดทนกับความทรมานอย่างแสนสาหัส มีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนต่างก็ต้องมาจบชีวิตลงเมื่อได้มาถึงชั้นแปด เหตุเพราะไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้านกับการทะลวงที่รุนแรงเยี่ยงนี้…
นางยังไม่รู้ว่าในยามนี้ ที่อดทนกับความทรมานนี้ ผู้บรรลุชั้นแปดในยามนี้มีเพียงสี่คนเท่านั้น และสี่คนนั้นคือปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่และเก่งกาจที่สุดในตอนนี้ นายท่านโจว๋เองก็คือหนึ่งในนั้น
นางยังไม่รู้ ว่าตัวนางในตอนนี้ได้ก้าวข้ามสี่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานไปแล้ว นางได้บรรลุชั้นแปดไปแล้ว กลายเป็นผู้บรรลุชั้นเก้าที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปเสียแล้ว
ผู้บรรลุชั้นสิบห่างไกลจากนางเพียงไม่กี่ก้าว…
ทั่วแผ่นดินในหนึ่งพันปีที่ผ่านมามีผู้บรรลุชั้นสิบเพียงคนเดียวเท่านั้น
นามนั้นคือโจว๋อี้เฉิน
“เฮือก”
สายความร้อนฟาดสนั่น ในที่สุดก็การทะลวงจุดดันเถียนก็บรรลุชั้นที่เก้าไปจนได้ ผู้บรรลุชั้นสิบ ภายหลังจากโจว๋อี้เฉิน ได้มีผู้บรรลุชั้นสิบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
“กรี๊ด”
เป็นอีกครั้งที่ซินเหยาปวดร้าวจนเหมือนจะตาย
สายความร้อนในกายของนาง ราวไปออกวิ่งมาหนึ่งสัปดาห์ก็ไม่ปาน เมื่อกลับมายังจุดดันเถียนอีกครั้ง จึงเตรียมพร้อมรับมือการทะลวงที่รุนแรงในทันที
แต่สายความร้อนได้หายไปเสียมากแล้ว ดังนั้นจึงทะลวงจุดดันเถียนในชั้นที่สิบไปไม่ได้
ท้ายที่สุด ความร้อนนั้นก็ได้หายไป…
ร่างของซินเหยาค่อยๆฟื้นฟูทีละน้อยๆ
แสงดาว แสงจันทร์ และน้ำค้างในยามเช้า…
ยามที่หลับใหล ร่างกายของซินเหยาราวกับเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ ยังคอยดูดซับแหล่งพลังงานจากธรรมชาติอยู่เนื่องๆ
เสี่ยวป๋านคอยอยู่ข้างๆนางอย่างเงียบๆ อิงแอบอยู่อย่างนั้นเพื่อปกป้องนายของตน
“ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ อย่าได้พูดถึงมันอีกเป็นอันขาด”
โจว๋เส้าฉีบันดาลโทสะตั้งแต่เช้าตรู่
โจว๋ปี้หลัวกล่าว “ท่านพ่อ ท่านมองเป็นความจริงเสียบ้างเจ้าค่ะ นางไม่ใช่น้องสาวของข้า นางไม่ใช่ลูกสาวของท่าน นางไม่ใช่ นางคือของปลอม ตัวปลอม”
โจว๋เส้าฉีปฏิเสธเสียงแข็ง “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”
โจว๋ปี้หลัวกล่าว “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้เจ้าคะ”
โจว๋เส้าฉีกล่าว “ข้ารับรู้ได้ว่านางคือลูกสาวของข้า นางคือโจว๋ปี้หรุง ซินเหยาคือโจว๋ปี้หรุง”
โจว๋ปี้หลัวกล่าว “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ในตอนนั้นข้าอาจจะยังเล็กความจำเลยยังไม่ชัดเจน แต่กับท่านเป็นไปได้หรือที่จะจำผิดไป โจว๋ปี้หรุงที่แท้จริงไม่มีรอยปาน ตอนนี้เจ้าตัวปลอมคนนั้นมีรอยปานสีดำที่ไหล ย่อมไม่ใช่คนเดียวกันแน่ อาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมาก็เป็นได้”
โจว๋เส้าฉีนึกคิดถี่ถ้วน ก็ต้องยอมรับกับความจริงที่น่าสงสัยข้อนี้
โจว๋ปี้หลัวยังคงกระตุ้นความสงสัยของเขาต่อไป “ท่านพ่อ ถึงแม้นางจะเหมือนกับท่านแม่ที่เสียไปแล้ว แต่คนที่หน้าตาเหมือนกันบนโลกใบนี้ก็มีถมไป ไม่แน่ครั้งหน้าอาจมีคนที่หน้าตาเหมือนท่านแม่โผล่มาอีกก็เป็นได้ เช่นนั้นนางก็คือโจว๋ปี้หรุงอีกอย่างนั้นหรือ หากท่านพ่อไม่เชื่อคำของข้า ข้ามีวิธีหนึ่งที่จะมาตรวจสอบให้แน่ชัดไปเลยว่านางคือโจว๋ปี้หรุงที่แท้จริงหรือไม่”
“วิธีใดกัน”
“การทดสอบสายโลหิต”
“ว่าอย่างไรนะ การทดสอบสายโลหิตอย่างนั้นหรือ ไม่ได้ๆ” โจว๋เส้าฉีส่ายหน้า
“เหตุใดถึงไม่ได้กันเล่า หากต้องการพิสูจน์ว่านางคือโจว๋ปี้หรุงที่แท้จริง ทางเดียวที่จะทำได้คือการทดสอบสายโลหิตเท่านั้น ในครั้งแรกที่พี่สี่พานางกลับมา การให้นางเข้าเคารพบรรพบุรุษดูจะสะเพร่าไปเสียหน่อย ในตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพิสูจน์ตัวตนของนาง ถึงแม้จวนอ๋องโจว๋ของพวกเราจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ แต่ก็จะไม่ยอมให้สายเลือดสกปรกนั่นปนเปื้อนเข้ามาอย่างเด็ดขาด”
“โจว๋ปี้หลัว ทำไมเจ้าพูดถึงน้องสาวของเจ้าเช่นนั้นกัน” โจว๋เส้าฉีโมโหโทโส
“เหอะ หากการทดสอบสายโลหิตออกมาว่านางคือน้องสาวของข้าก็ไว้ค่อยว่ากันเถอะ หากนางคือตัวปลอม นั่นต้องเป็นสิ่งที่น่าอับอายเป็นแน่” โจว๋ปี้หลัวขบกรามแน่น “คนชั่วช้าอย่างนาง จะต้องถูกนำไปจองจำที่ห้องขังใต้ดิน”
ใบหน้าของโจว๋เส้าฉีมืดครึ้ม
การทดสอบสายโลหิตอย่างนั้นหรือ
นั่นไม่ใช่หนทางที่ดีเลย
เรื่องการขับไล่โจว๋หยุนถิง ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่มีต่อซินเหยาย่ำแย่ไปมาก หากยังมาสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของนางอีก น่ากลัวว่านางคงจะหมดศรัทธาในตัวเขาไปจนสิ้น ถึงแม้สิ่งที่โจว๋ปี้หลัวพูดมาจะมีน้ำหนักเบา แต่ก็พูดไม่ได้ว่ามันไม่สมเหตุสมผล
โจว๋ปี้หรุง… นางถูกขโมยไปตอนครึ่งขวบ และไร้ข่าวคราวมาโดยตลอด แต่โจว๋เส้าฉีผู้เป็นบิดาคนนี้ก็จำได้อย่างชัดเจน ร่างของโจว๋ปี้หรุงนั้นไม่มีปานใดใดทั้งสิ้น
หากยังคงเป็นที่น่ากังขา และไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนให้ได้ในตอนนี้ ในภายภาคหน้าก็คงไม่พ้นตกเป็นขี้ปากของคน และในไม่ช้าการทดสอบสายโลหิตก็ย่อมมาถึงอยู่ดี
โจว๋ปี้หลัวเมื่อเห็นบิดานิ่งคิดไปนาน ก็เริ่มกระตุ้นอีกคราว “ท่านพ่อเจ้าคะ คิดว่าอย่างไรบ้าง แม้แต่ข้ายังสงสัย แล้วเหตุใดคนอื่นจะไม่สงสัยกันเล่า ท่านอยากให้เกิดการนินทาขึ้นภายในจวนอ๋องอย่างนั้นหรือ และการทดสอบสายโลหิตเองก็มีเรื่องที่ดี หากนางเป็นตัวปลอม ก็จะได้รีบขับไล่นางไปอย่างไรเล่า หากนางคือโจว๋ปี้หรุงจริงๆ ก็จะได้ไร้ข้อกังขาใดใดอีก”
โจว๋เส้าฉีพยักหน้า “หวังว่าจะเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่ซินเหยาที่มากพอ”
โจว๋ปี้หลัวกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปบอกท่านปู่ และบรรดาท่านลุง ท่านอาด้วย”
โจว๋เส้าฉีกล่าว “อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่นัก
โจว๋ปี้หลัวกล่าว “ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ต้องให้ทุกคนในตระกูลโจว๋รับรู้ หากผลการทดสอบสายโลหิตออกมาว่านางคือโจว๋ปี้หรุงที่แท้จริง ในภายหลังจะได้ไม่มีใครสงสัยตัวตนที่แท้จริงของนางอีก”
ซินเหยาฟื้นขึ้นมาในเช้าตรู่
แสงแดดที่สาดส่อง ความอบอุ่นในท้องฟ้า น้ำค้างยามเช้าผสมกับกลิ่นหญ้า อากาศที่สดชื่นช่างน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
“ข้าหลับอยู่บนหญ้าทั้งคืนเลยหรือ”
ซินเหยาออกแรง เพียงต้องการลุกขึ้นจากพื้นเท่านั้น แต่ทันใดนั้นร่างก็ทะยานขึ้นฟ้าราวกับติดจรวด…
“เหวอ”
ซินเหยาตกลงมากระแทกพื้นอย่างจัง แต่ร่างกายของนางกลับไม่รู้สึกปวดเลยสักนิด
“เหตุใดร่างกายของข้าถึงเบาขนาดนี้ ขีดจำกัดในร่างกายถูกกำจัดไปเสียสิ้น เพียงชั่วข้ามคืนพลังภายในของข้าเพิ่มขึ้นมาหลายร้อยเท่าถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน”