นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 298
บทที่ 298 ความหวาดระแวงที่เพิ่มมากกว่าเดิม1
เหอเทียนจ้าวโขกศีรษะคารวะเก้าครั้ง “กระหม่อมโขกคารวะพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “ขุนนางชั้นสูงทั้งสองท่านลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มู่หรงหยุนและเหอเทียนจ้าวต่างหยัดกายลุกขึ้นอย่างปลื้มปีติ
มู่หรงหยุนเลื่อนขั้นสู่ยศรองนายพลภายในพริบตาแม้กระทั่งกระโดดข้ามขั้นห้าระดับสู่ยศใต้เท้าแม่ทัพชั้นเอกแห่งราชสำนักก็ได้ครอบครองแล้ว ผู้นำแห่งเจ้าหน้าที่ทางการพลเรือน อาจเรียกได้ว่าพุ่งทยานสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ว่าได้
เหอเทียนจ้าวจากแผนกจงตู่เมืองยศสามตำแหน่งเล็กๆ ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าแม่ทัพซึ่งรับผิดชอบดูแลกองทหารสามหมื่นนายแห่งราชสำนัก และได้เป็นแม่ทัพยศชั้นเอก อันที่จริงแล้วก็นั่งในตำแหน่งเทียบเท่ากับโจว๋ก้องฟู่นายพลใหญ่ใต้หล้านี้เลยนั่นเอง
ทั้งสองคนนี้ล้วนมีสภาพร่วมทั่วไปเหมือนกัน
นั่นก็คือต่างเป็นคนสนิทของฮ่องเต้
ฮ่องเต้เหอถูแอบตกอกตกใจ
ฮ่องเต้ที่ทั้งเยาว์วัยและสุขุมผู้นี้ มีรูปแบบและวิธีการทำงานอันน่าขยาดกลัว ใต้หล้านี้ยังคงมีน้อยนัก
เขาออกบัญชาเดียว ก็สั่งเผาจวนเฉิงเสี้ยงที่มีประวัติศาสตร์และมรดกตกทอดหลายร้อยปีจนสะอาดเกลี้ยง
ทั้งยังควบคุมสิทธิอำนาจของจวนเฉิงเสี้ยงเข้าสู่เงื้อมมือของตนในชั่วพริบตาเดียว ซ้ำยังส่งญาติที่ไว้วางใจไปควบคุมจัดการอำนาจทหารและราชวังในเมืองหลวงอีกด้วย
ไม่ยี่หระเพราะถือว่ามีคนหนุนหลังเยี่ยงนี้
ระหว่างการรุดหน้าและล่าถอย กลับมีความบรรยายไม่ถูกเล็กน้อย…
“พระสัสสุระ”
ฮ่องเต้อำมหิตเรียกขานเบาๆ
ฮ่องเต้เหอถูจิตใจระส่ำระสายไปตั้งนานแล้ว จึงรีบตอบกลับฮ่องเต้ทันควันว่ามีราชโองการอันใด
ฮ่องเต้อำมหิตตรัสด้วยท่าทีสุภาพ “เมื่อครู่ข้าและพระสัสสุระกำลังพูดถึงข้อตกลงสบศึกระหว่างแคว้นเหอถูและราชสำนัก แต่กลับถูกขัดจังหวะโดยผู้ใต้บังคับบัญชา พระสัสสุระโปรดอย่าขุ่นเคือง ตอนนี้ เราเจรจาต่อได้ ไม่ทราบว่าพระสัสสุระมีความคิดเห็นอย่างไร ขอเพียงเป็นคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าย่อมพึงพอใจในแต่ละข้ออยู่แล้ว”
ทันใดนั้นฮ่องเต้อำมหิตก็แสดงท่าทีสงบและเรียบนิ่ง ระหว่างการเอื้อนวาจานั้นกลับมีการชักชวนด้วยท่าทีประเภทหนึ่งเคลือบแฝงอยู่…
ยิ่งไปกว่านั้นคือการเรียกขานว่าพระสัสสุระนั้น ก็เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาดีอยู่ไม่น้อย
ข้อนี้ทำให้ฮ่องเต้เหอถูยิ่งระส่ำใจเพิ่มมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาแบ่งรับแบ่งสู้อย่างชัดเจน
คำขอที่สมเหตุสมผลก็จะพึงพอใจในแต่ละข้อ?
อะไรคือความเหตุสมผล?
อะไรคือไม่สมเหตุสมผล?
นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านตัดสินใจเด็ดขาดเพียงคนเดียวหรอกหรือ?
เฮอะ
ก็แม้แต่จวนเฉิงเสี้ยงอันสูงศักดิ์ ก็ยังถูกท่านกำจัดจนมอดไหม้ด้วยประโยคเดียวเลย
ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือขั้นเก้า นำมาซึ่งความไร้น้ำหนักแห่งความสมดุลอำนาจเพียงน้อยนิด แต่ความสมดุลอันน้อยนิดนี้ กลับเพียงพอที่จะทำลายสถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันใต้หล้านี้ได้
ตระกูลชั้นสูงสามแห่ง
ตระกูลป๋ายกั้นเขตเจียงหนานเป็นแคว้นปกครองตนเอง
จวนอ๋องโจว๋กำอำนาจทหารเก่งกาจหนึ่งแสนนายในราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือต้นตระกูลมีทหารเป็นของตนอีกหนึ่งแสนนาย
ทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจแข็งแกร่งมากที่สุด
เฉิงเสี้ยงถางเปิ่นนับว่าเป็นคนที่เจริญรุ่งเรื่องมากที่สุด แต่ว่ามีหนึ่งประโยคที่กล่าวว่าใช้ปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมา
เป้าหมายหลักของจวนเฉิงเสี้ยงคือการควบคุมชีวิตทางเศรษฐกิจใต้หล้า ฮ่องเต้ทุกยุคสมัยจำต้องมอบตำแหน่งเฉิงเสี้ยงนี้ให้แก่คนของตระกูลถางเปิ่น เพื่อเป็นหลักประกันว่าราชสำนักจะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
อีกทั้งจวนเฉิงเสี้ยงนั้นถือครองทัพทหารต้องห้ามของวังหลวง และยังมียอดฝีมือขั้นเก้าเป็นผู้สนับสนุนหลักอีกด้วย
ต่อให้ฮ่องเต้จะไม่พึงพอใจต่อครอบครัวตระกูลถางเปิ่นมากเท่าใด
ไม่พึงพอใจ? ก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทน
เนื่องจากเมื่อครั้นยั่วโทโสตระกูลถางเปิ่นเข้า ก็จะลาออกจากตำแหน่งอย่างง่ายดาย ทำให้ราชสำนักมีสภาพกึ่งอัมพาตไปทั่วทุกอณู
สำหรับผู้ที่มีผลกระทบร้ายแรงจะตรงเข้ามาสู่ราชวัง และสังหารฮ่องเต้พระองค์ไปเสีย
จะต้องรู้ว่า
ยอดฝีมือขั้นเก้าคนหนึ่งเป็นถึงการดำรงอยู่ของเทพเซียนก็ไม่ปาน
หากต้องการสังหารใครสักคน ก็ล้วนหนีไม่พ้นเป็นอันขาด
ดังนั้นฮ่องเต้จำต้องเปิดทางให้อย่างเสียไม่ได้
ทว่าตอนนี้ ฮ่องเต้ครอบครองวรยุทธ์ของยอดฝีมือขั้นเก้าด้วยองค์เอง ชั่วขณะนั้นตระกูลถางเปิ่นก็สูญเสียข้อได้เปรียบทั้งหมดทันที…
ในราชวงศ์ที่ประเทศนี้ก่อตั้งขึ้น ไร้ซึ่งการสนับสนุนของวิทยายุทธ์อันแกร่งกล้า ก็ไร้ซึ่งหลักประกันที่มั่นคงยิ่งใหญ่
ตระกูลป๋ายและจวนอ๋องโจว๋ที่ครอบครองกองกำลังทรงพลัง ยังสามารถนั่งในตำแหน่งเทียบเท่ากับราชสำนัก แต่ว่าตระกูลถางเปิ่นกลับเป็นผู้รับเคราะห์กรรมคนแรก
นี่คือเรื่องที่ใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติราชวงศ์เทียนส้งที่มีมาหลายร้อยปี
ถึงแม้จะอยู่ไกลโพ้นถึงแนวชายแดน แต่ว่าฮ่องเต้เหอถูก็ยังพอมีความเข้าใจต่อเรื่องระหว่างราชสำนักและสามตระกูลใหญ่อยู่บ้าง
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวเซ้าเบาๆ “เหตุใดพระสัสสุระจึงไม่เอ่ยคำ มีข้อสงสัยต่อการเจรจาสงบศึกเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้เหอถูกล่าว “ไม่ ไม่ ฮ่องเต้ทรงคิดมากเกินไปแล้ว”
ฮ่องเต้อำมหิตเอ่ย “เช่นนั้นพวกเรามาพูดถึงข้อกำหนดเฉพาะของข้อตกลงสงบศึกกันดีกว่า ข้าและพระสัสสุระเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ความปรองดองและความมั่นคงย่อมต้องเป็นเรื่องที่ประชาชนของราชสำนักและฮ่องเต้เหอถูต่างคาดหวังมากที่สุด”
“พระสัสสุระทรงทำคุณงามความดีต่อเรื่องที่อ๋องถู่ซือก่อกบฏ ข้าซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเห็นถึงความภักดีต่อราชสำนักของพระสัสสุระ ข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับเรื่องที่พระสัสสุระคิดจะก่อกบฏนั้นย่อมต้องแพ้ภัยและสูญสลายไปเอง”
“ใช่ ใช่ ฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งนัก”
ครั้นได้ยินคำว่าก่อกบฏ ใจของฮ่องเต้เหอถูพลันหวาดกลัวขึ้นมา
นึกถึงจุดจบของทั้งตระกูลเฉิงเสี้ยง เขาไหนเลยจะไม่เข็ดหลาบ
ฮ่องเต้ผู้นี้ทั้งลุ่มลึกทั้งฉลาด
อำมหิตและเลือดเย็น
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั่นคือ เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเก้าคนหนึ่ง
“ข้าตัดสินแน่วแน่แล้วว่าจะออกราชโองการแต่งตั้งพระสัสสุระขึ้นเป็นอ๋องถู่ซือคนใหม่ ควบคุมจัดการพื้นที่น้อยใหญ่ตามแนวชายแดนแทนข้า พระสัสสุระเป็นคนของข้าเอง ข้าน่าจะเชื่อใจได้มากพอกระมัง”
“ใช่ ฮ่องเต้ทรงวางพระทัย กระหม่อมมิกล้าปันใจเป็นสองต่อฮ่องเต้เป็นแน่”
ฮ่องเต้อำมหิตพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบท่ามกลางความเงียบนิ่ง “ดีมาก ความภักดีของพระสัสสุระ ข้าและราชสำนักจะไม่ลืมเลือน ผู้ที่มีใจภักดีต่อข้า ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยเป็นแน่ ไม่รู้ว่าในส่วนเรื่องการชดเชยดินแดนภาคส่วนของข้อตกลงสงบศึก พระสัสสุระต้องการหัวเมืองกี่แห่ง”
“เอ่อ ข้อนี้…เมืองเยนโจว เมืองหวินหลง…”
สิ่งที่ฮ่องเต้เหอถูต้องการมากที่สุดนั่นก็คือเมืองเยนโจวและเมืองหวินหลง สองเมืองสำคัญตามเขตชายแดนนั่นเอง
หัวเมืองสองแห่งนี้ เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเคยเป็นเมืองส่วยของฮ่องเต้เหอถู
ต่อมาถูกโจมตีโดยโจว๋เทียนหาง และกลับสู่ภายใต้อำนาจการปกครองของราชสำนัก ไม่เคยหวนคืนอีกเลย
เหตุผลที่ฮ่องเต้เหอถูประกาศสงครามต่อราชสำนักหลังมีกองกำลังทหารที่แกร่งกล้านั้น ความปรารถนาอันสำคัญที่สุดก็คือต้องการยึดคืนดินแดนสองหัวเมืองแห่งนี้นั่นเอง