นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 299
บทที่ 299 ความหวาดระแวงที่เพิ่มมากกว่าเดิม2
ก่อนหน้าที่เขาจะมายังเมืองหลวงนั้น ฮ่องเต้เหอถูคิดมาดีแล้วว่าพญาราชสีห์จะเปิดปากกว้าง อย่างน้อยราชสำนักต้องริบสิบหัวเมืองจึงจะยอมหยุดศึก
ตอนนี้เขาจะกล้าทำเป็นพญาราชสีห์อ้าปากกว้างเสียที่ไหนกัน
แค่ต้องการเอาหัวเมืองที่เคยเป็นของแคว้นเหอถูก็พอแล้ว
ฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ แหย่หนวดเขาให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
ระหว่างที่สงบเงียบนั้นเขาก็สามารถดับการก่อกบฏของอ๋องถู่ซื่อลง และออกบัญชาสังหารโคตรชั่วจวนเฉิงเสี้ยง…
การต่อสู้กับคนอย่างเขา ไม่มีข้อดีอะไรเลยสักนิด
ฮ่องเต้เหอถูยอมรับข้อเท็จจริง และลดเงื่อนไขการชดเชยที่ดินให้น้อยที่สุดอย่างสุดความสามารถ…
ครั้นฮ่องเต้อำมหิตได้ฟังเขาปริปากเอ่ยถึงเยนโจวและหวินหลงทั้งสองหัวเมืองนี้ จึงรีบตรัสโดยพลัน “พระสัสสุระเอ่ยถึงหัวเมืองเยนโจวและหวินหลงสองแห่งนี้? ข้าจำได้ว่าทั้งสองหัวเมืองนี้ คลับคล้ายว่าจะเคยเป็นเมืองส่วยของแคว้นเหอถู?
ฮ่องเต้เหอถูพยักหน้าอย่างตกตะลึง “ใช่ ใช่ ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ความจำของฮ่องเต้ช่างดียิ่งนัก ถ้าหากฮ่องเต้ยอมเวนคืน…”
ฮ่องเต้อำมหิตขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าดูเหมือนจะเป็นเมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปีก่อน สองแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหอถูสังหารกษัตริย์ที่ครอบครองอำนาจทัพทหารอิสระ ต่อมาได้ส่งกองทหารย้อนโจมตีราชสำนัก เมืองเยนโจวและเมืองหวินหลงเป็นถึงสองหัวเมืองสำคัญที่อยู่ระหว่างราชสำนักและแคว้นเหอถู ง่ายต่อการป้องกันยากจะโจมตี ป้อมปราการนั้นแข็งแกร่ง…”
ทันใดนั้นในใจของฮ่องเต้เหอถูพลันมีลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยจะดี…
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวต่อไป “ในคราแรกสองแม่ทัพยึดเอาสองหัวเมืองนี้เป็นที่มั่น บุกโจมตีราชสำนัก ทำลายราชสำนักย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี แม้นมิใช่แม่ทัพใหญ่โจว๋เทียนหางอาจหาญไร้เทียมทาน ยึดเอาหัวเมืองสองแห่งนี้มา เกรงว่าราชสำนักจะย่อยยับดับสูญไปแล้ว”
ฮ่องเต้เหอถูพยักหน้า “ฮ่องเต้ตรัสได้ถูกต้อง”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “บทบาททางทหารของสองหัวเมืองนี้ทรงพลังเยี่ยงนี้ เพียงพอจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างแคว้นเหอถูและราชสำนัก…ใช่แล้ว เมื่อครู่พระสัสสุระอยากจะพูดว่า ต้องการให้ราชสำนักยกสองหัวเมืองนี้ให้แก่แคว้นเหอถูใช่กระมัง”
“ไม่ ไม่ ฮ่องเต้ทรงเข้าใจผิดแล้ว”
ฮ่องเต้เหอถูตกใจเสียจนรีบอธิบายเป็นพัลวัน “อันที่จริงเมื่อครู่กระหม่อมอยากจะพูดว่าหลังจากที่อำนาจการจัดการของสองเมืองกลับสู่ราชสำนักแล้ว แว่นแคว้นทวยราษฎร์ต่างสงบสุข ประชาชนใช้ชีวิตอย่างเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การจัดการแห่งราชสำนักนั้นมีความผาสุกและเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก จึงไม่จำเป็นต้องมีสัมปทานแล้ว”
ในสายตาของฮ่องเต้อำมหิตฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างที่หยั่งรู้ได้ยาก มุมปากอันชั่วร้ายกระตุกรอยยิ้มโฉดชั่วน้อยๆ “ความหมายของพระสัสสุระคือไม่จำเป็นต้องชดเชยดินแดน?”
ฮ่องเต้เหอถูอ้ำอึ้ง ทำได้เพียงพยักหน้า “แน่นอน แน่นอน ข้อนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมั่นคงระหว่างราชสำนักและแคว้นเหอถูจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “เช่นนั้นในส่วนค่าชดเชยสำหรับข้อตกลงสงบศึก เป็นจำนวนห้าล้านตำลึงที่พระสัสสุระเคยกล่าวไว้ก่อนหน้ามันค่อนข้างมหาศาลอยู่…”
ฮ่องเต้เหอถูกล่าวอย่างหวาดผวา “ฮ่องเต้ คิดเสียว่ากระหม่อมไม่เคยพูดเถิด”
ฮ่องเต้อำมหิตแสร้งทำเป็นโกรธ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ในคราแรกข้าพูดไว้ดิบดีว่าขอเพียงพระสัสสุระสงบศึกกับราชสำนัก ส่งทหารไปย้อนโจมตีการก่อกบฏของอ๋องถู่ซือ ราชสำนักจะตบรางวัลและมอบค่าชดเชยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แด่แคว้นเหอถู ข้าเป็นถึงกษัตริย์ผู้ทรงสง่าแห่งประเทศหนึ่ง จะนึกย้อนเสียใจกระนั้นเชียว? นับประสาอะไรที่สามารถปราบปรามการจลาจลของอ๋องถู่ซือได้ แคว้นเหอถูสิ้นเปลืองกองทหารและทรัพยากร ควรจะได้รับการชดเชย ควรได้รับการชดเชยอย่างยิ่ง”
ฮ่องเต้เหอถูเบิกบานใจอย่างยิ่ง “ขอบพระทัยพระกรุณาของฮ่องเต้ยิ่งนัก”
เขาคิดในใจ “ถึงแม้จะไม่ได้หัวเมือง แต่ว่ายังได้รับการชดเชยเป็นเงินก้อนใหญ่ ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ดูท่าทีของฮ่องเต้แล้ว เงินห้าล้านตำลึงคงนอนอยู่ในมือแน่แล้ว
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าแคว้นเหอถูนั้นหนาวเหน็บ เป็นดินแดนที่แห้งแล้ง กฎหมายและระเบียบวุ่นวาย ข้าคิดว่าจะส่งคณะกรรมาธิการพิเศษเข้าสนับสนุน มอบหมายช่างไม้ ช่างฝีมือและอื่นๆ อีกจำนวนห้าร้อยคน ไปสอนงานฝีมือทุกประเภทให้แก่ประชาชนแคว้นเหอถู ก่อร่างสร้างเมือง สร้างความมั่นคงแก่ประชาชน ราชสำนักจะรับผิดชอบค่าวัสดุและค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง ช่วยเหลือให้ประชาชนชาวเหอถูสร้างสถานที่ชุมนุมและใช้ชีวิตอย่างเจริญรุ่งเรืองและผาสุก เมื่อประชาชนมีบ้านที่มั่นคงแล้ว ก็มิอาจเกิดการพลัดพรากได้อีก เมื่อมีทักษะในการเอาตัวรอดได้แล้ว ก็ไม่อาจถูกแย่งชิงพื้นที่ปล้นสะดมเพราะพื้นที่แห้งแล้งปันส่วนไม่ครอบคลุมอีกต่อไป ราชสำนักจัดสรรเงินจำนวนสิบล้านตำลึงแบ่งออกเป็นระยะเวลาสามปี ไม่ทราบว่าพระสัสสุระมีความเห็นว่าอย่างไร”
“เอ่อ…พระมหากรุณาของฮ่องเต้ กระหม่อมและประชาชนแคว้นเหอถูขอบพระคุณพระมหากรุณาของฮ่องเต้”
ฮ่องเต้เหอถูได้ยินคำว่าสิบล้านตำลึง ก็ดีใจเสียจนไม่ได้ยินชัดเจน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงเต็มปากเต็มคำ
ฮ่องเต้อำมหิตยิ้มเล็กน้อย ก่อนตรัส “พระสัสสุระเป็นคนชอบธรรมอย่างแท้จริง เงื่อนไขค่าชดเชยหลักๆ ของการเจรจาสงบศึกครั้งนี้ก็ตกลงตามนี้ ส่วนข้อตกลงเพิ่มเติมอื่นๆ ก็ให้ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายร่างรายละเอียดเถิด อย่างไรก็ตามราชสำนักจะต้องสนองความต้องการของประชาชนแคว้นเหอถูอย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก”
คราวนี้ฮ่องเต้เหอถูจึงนึกย้อนเสียใจ
แต่น่าเสียดายที่มัน…สายไปแล้ว
สิบล้านตำลึง?
ฟังดูแล้วจะเพิ่มขึ้นจากเงินชดเชยเดิมสองเท่า
แต่ว่าฮ่องเต้ได้ชี้ชัดแล้วว่า เงินก้อนนี้สามารถนำไปใช้ในการสร้างห้องหับ วัสดุสร้างเมืองและค่าใช้จ่ายของช่างฝีมือเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งสร้างเมืองได้มากขึ้นเท่านั้น
แคว้นเหอถูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนหนึ่งชนเผ่า
พื้นดินแห้งแล้ง
ประชาชนแทบจะไม่คุ้นชินกับงานฝีมือและการสร้างที่ มักจะเปลี่ยนถิ่นที่อยู่และเดินทางไกลเร่ร่อนอยู่เรื่อยมา
ดังนั้นจึงมักจะมีคดีจี้ปล้นวัวแพะขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
เนื่องจากชนเผ่าเร่ร่อนไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง อัตราการเร่ร่อนของประชากรมีมากอย่างยิ่ง
ไม่สะดวกต่อการจัดการ
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนปวดกบาลอย่างยิ่ง
ทว่าก็เป็นข้อได้เปรียบอันทรงพลังของกองกำลังทหารแคว้นเหอถูเช่นกัน
คนเร่ร่อนสัญจรไปมาดุจลม ฮึกเหิมและกล้าหาญ เป็นข้อได้เปรียบในการทำศึกยิ่งนัก
ส่วนนโยบายโจรที่คุกคามแนวชายแดนก็เป็นเรื่องที่ราชสำนักปวดหัวมากที่สุดเรื่อยมา
คนเร่ร่อนเหล่านี้กลายเป็นโจรปล้น ช่วงชิงวิ่งราวไปทั่วเมือง
พวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ร่อนเร่ไปทั่วทุกแห่ง
ใครก็ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลใดที่ก่อคดีขึ้น
รู้ว่าเป็นใครก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันอยู่ดี