นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 359
บทที่ 359 เปลี่ยนเป็นเย็นชา2
“โจว๋กุ้ยเฟย พวกเราต้องการซื้อเครื่องสำอาง!”
กลุ่มคนเริ่มจะอลหม่านปั่นป่วนขึ้นมา
ซินเหยากล่าวพลางยิ้ม “พี่สี่ของข้าจัดตั้งชั้นวางเอาไว้แล้วที่ศาลาฝั่งตรงข้าม คืนนี้จัดจำหน่ายเพียงแค่สามสิบชุด ขายหมดก็หยุดทันที! เหล่าพี่น้องที่ต้องการซื้อรีบไปต่อแถวเถิด! ไปช้าอาจจะไม่เหลือแล้วนะ!”
สามสิบชุด?
ในที่นี้อย่างน้อยก็มีห้าสิบหกสิบคนเชียวนะ!
เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าคนตั้งครึ่งหนึ่งไม่ได้ซื้อหรอกหรือ
ครั้นได้ยินข่าวสารนี้ หญิงสาวทั้งหลายต่างวิ่งแห่เข้าไปทางศาลาอย่างบ้าคลั่ง!
ผู้ที่ยังคงยึกยักว่าจะซื้อดีไม่ซื้อดีในคราแรก ตอนนี้ก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบถลาเข้าไปต่อแถว กลัวเหลือเกินว่าต่ออยู่ปลายแถวแล้วจะซื้อไม่ได้
กลุ่มคนบินถลาเข้าไปอย่างรวดเร็ว…
อ้านซิงมองเห็นรอยยิ้มได้ใจเล็กน้อยที่ปรากฏบนใบหน้าของซินเหยา พลันกล่าวอย่างดูแคลน “ท่านพยายามตั้งมากมายขนาด ยังลากข้ามาเป็นแบบแต่งหน้าให้แก่ท่านอีก มีจำกัดแค่สามสิบชุดจริงๆ หรือ นี่จะต้องโกหกอีกแล้วกระมัง”
ซินเหยากล่าว “จะโกหกได้อย่างไรเล่า มีขายแค่สามสิบชุดจริงๆ!”
อ้านซิงถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใด? คนส่วนใหญ่ที่นี่มีความตั้งใจที่จะซื้ออยู่แล้ว ห้าสิบหกสิบคน อย่างน้อยต้องซื้อได้สักสี่สิบกว่าชุดสิ!”
ซินเหยาบอก “ต้องมองกันระยะยาวสักหน่อย! ต้องให้คนเหล่านี้ซื้อไม่ทันสักครึ่งหนึ่งถึงจะดี วันพรุ่งพวกนางถึงจะวิ่งแจ้นมาต่อแถว พอพวกนางมา สนมคนอื่นๆ ในวังหลังก็จะแห่มาด้วย! นี่สิถึงเรียกว่าจิตวิทยามวลชน!”
อ้านซิงกล่าว “อะไรคือจิตวิทยามวลชน!”
ซินเหยาเอ่ย “ก็คือว่าตามหัวใจของฝูงชนไง!”
อ้านซิงส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ! ดูเหมือนสิ่งที่ท่านพูดออกมา เรื่องที่ท่านทำลงไป มักจะทำให้คนสับสนอยู่เสมอ”
ซินเหยาเอ่ย “เอาเถิด! ทำต้องกำจัดความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อข้าด้วย ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าจิตวิทยามวลชน! อันที่จริง ข้าก็มักจะไม่ชอบอธิบายคำที่ซับซ้อนแบบนี้เสมอ!”
อ้านซิงเองก็ดูสนอกสนใจขึ้นมา “ดี! เมื่อครู่ข้าเองก็พูดตั้งมากขนาดนั้นแล้ว อยากเป็นฝ่ายฟังดูบ้างว่าท่านจะพูดอะไร”
ซินเหยากล่าว “ตอนข้ายังเด็กเคยฟังนิทานเรื่องหนึ่ง”
“นิทานอะไร”
“นิทานเล่าว่า วันหนึ่งมีคนๆ หนึ่งอยู่บนถนนใหญ่ จู่ๆ ก็มองเห็นอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ทำเพียงแหงนหน้ามองฟ้า…”
“เขากำลังมองอะไรอยู่”
“คนผู้นั้นเองก็เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ แต่ว่าคนที่มองฟ้าผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถาม และไม่สนใจเขา”
“แปลกจริงๆ?”
“ใช่!”
“แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
“ต่อมาคนผู้นั้นสงสัยมากจริงๆ จึงเลียนแบบพฤติกรรมของเขา ยืนนิ่งไม่ขยับ แหงนหน้ามองท้องฟ้า…”
“เขามองเห็นอะไร”
“ไม่รู้ เขาก็แค่เลียนแบบท่าทีของคนผู้นั้น ยืนนิ่งไม่ขยับ แหงนหน้ามองฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าเขามองเห็นอะไรกันแน่…”
“น่าสนใจแล้ว ต่อมาเล่า?”
“ต่อมา คนที่สามผ่านเข้ามา…”
“แล้วอย่างไร”
“เขามองเห็นสองคนยิ่งไม่ขยับ แหงนหน้ามองฟ้า รู้สึกว่ามันน่าสงสัยและแปลกประหลาดยิ่งนัก”
“ใช่สิ เรื่องแบบนี้ มันแปลกพิสดารมาก!”
“ดังนั้นคนๆ นี้ก็ถามสองคนที่มองฟ้าอยู่ ถามพวกเขาว่ากำลังมองอะไร เหตุใดต้องมอง…ทว่าเขาถามไปหลายคำถามมาก สองคนนั้นต่างไม่ยอมตอบเขา!”
“เขาก็เลยเดินจากไป?”
“เปล่า เขาก็เลียนแบบคนที่สอง ยืนนิ่งไม่ขยับ แหงนหน้ามองฟ้า…”
“คนที่ตามก็มองท้องฟ้าตามด้วย?”
“ใช่แล้ว! อย่างเชื่องช้า คนที่สี่ คนที่ห้า…ต่อมาพบว่ามีทั้งหมดหลายสิบคนต่างยืนแน่นิ่ง แหงนหน้ามองฟ้า ท้องถนนใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน มันน่าตื่นเต้นและแปลกประหลาด!”
อ้านซิงถามอย่างสงสัยยิ่งนัก “สรุปแล้วพวกเขากำลังมองอะไรอยู่ และมองเห็นอะไรกันแน่”
ซินเหยาเอ่ย “เจ้าลองเดาดู”
อ้านซิงส่ายหน้า ก่อนกล่าว “อันที่จริง คนมองท้องฟ้าคนแรกน่าจะรู้ดีที่สุดกระมัง”
ซินเหยาเอ่ยพลางยิ้ม “เจ้าผิดแล้ว!”
อ้านซิงกล่าว “ผิดแล้ว? ทำไมกัน?”
ซินเหยาบอก “คนแรกที่มองท้องฟ้า เป็นคนที่ไม่รู้อะไรมากที่สุด!”
อ้านซิงพูด “จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร เขาไม่ได้เป็นคนแรกที่มองท้องฟ้าหรอกหรือ เขาน่าจะรู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่กระมัง”
ซินเหยาเอ่ย “เจ้าฟังข้าเล่าเรื่องนี้ให้จบก็รู้เอง”
อ้านซิงกล่าว “เช่นนั้นท่านรีบเล่าสิ”
ซินเหยาเอ่ย “ผู้ที่ยืนนิ่ง แหงนหน้ามองท้องฟ้าบนถนนใหญ่มีมากขึ้นเรื่อยๆ…ต่อมา คนแรกที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าก้มหน้างุดกะทันหัน มองเห็นคนจำนวนมากที่ยืนมองท้องฟ้าอยู่ข้างกาย รู้สึกแปลกประหลาดและไม่เข้าใจยิ่งนัก…”
“จากนั้น เขาถามคนข้างๆ เหตุใดต้องแหงนหน้ามองฟ้า บนท้องฟ้ามีอะไรหรือไม่”
“ทุกคนต่างพากันพูด ว่ามองเห็นคนอื่นเป็นเช่นนี้ ก็เลยทำตาม…”
“และก็ทำตามอย่างนี้คนแล้วคนเล่า…ท้ายที่สุด คนที่มองท้องฟ้าคนที่สาม ก็โยนความขัดแย้งชี้ไปให้คนมองท้องฟ้าคนที่สอง”
คนที่แหงนหน้ามองฟ้าคนที่สองบอกว่าข้ามองเห็นเจ้ากำลังมองท้องฟ้า ดังนั้นจึงมองตาม จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าบนท้องฟ้ามีอะไรกันแน่…”
“ด้วยวิธีนี้ คนทั้งหมดต่างรู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่!”
“ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่!”
“และไม่มีสักคนเดียวที่มองเห็นอะไร!”
“หัวหอกทั้งหมด ก็มุ่งมาที่คนแรกที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า!”
“เนื่องจากเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า จึงได้นำพาคนจำนวนมากขนาดนี้แหงนหน้ามองฟ้าไปกับเขาด้วย!”
ได้ฟังซินเหยาพูดถึงตรงนี้ อ้านซิงก็อยากรู้อยากเห็นจะแย่อยู่แล้ว!
“ท่านรีบพูดเร็วเข้า! ต่อมาเล่า? ต่อมาเป็นอย่างไรกันแน่”
“ต่อมา?”
“อื้อ รีบเล่าเร็วเข้า”
“ต่อมา…คนแรกที่แหงนหน้ามองฟ้าก็พูดอย่างใจเย็น เมื่อครู่เลือดกำเดาข้าไหล จึงแหงนหน้าห้ามเลือด เมื่อคนอื่นๆ ฟังจบ ก็พากันเป็นลมล้มพับ”
“ฮ่าๆๆ…”
จู่ๆ อ้านซิงก็ระเบิดหัวเราะลั่นขึ้นมา!
ซินเหยาเอ่ย “ที่แท้แม่นางอ้านซิงก็หัวเราะเป็นอยู่นี่นา!”
อ้านซิงบอก “นิทานที่ท่านเล่ามันน่าขันเสียเหลือเกินจริงๆ!”
ซินเหยาเอ่น “เพียงน่าขันหรอกหรือ?”
อ้านซิงเอ่ย “ไม่! มันยังทำให้ข้าเข้าใจแล้วว่าจิตวิทยามวลชนคืออะไร บางครั้งผู้คนไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่ก็หลับหูหลับตาทำตามคนอื่น ก็เหมือนกับที่พวกเรากินเส้น หากมองเห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไหนที่คนมากๆ ก็จะไปกินที่ร้านนั้น อันที่จริงพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไหนอร่อย เพียงแต่คิดว่าทุกคนยังไปกินที่ร้านนั้น มันจะต้องอร่อยมากแน่ๆ นี่ก็คือจิตวิทยามวลชนนั่นเอง!”