นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 672
ตอนที่ 672 คนลึกลับ
ซินเหยาพยายามอยากลุกขึ้นจากอ้อมกอดของซ่างกวนเหมิงห้าว ใครจะไปรู้การเคลื่อนไหวของนางจะไปกระตุ้นถูกซ่างกวนเหมิงห้าว ต้องรู้ว่าผู้ชายปกติคนหนึ่ง ในอ้อมกอดมีหญิงที่ตัวเองรัก อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวที่อยู่ไม่นิ่ง นี่จะทำให้เขาอดกลั้นอีกได้อย่างไร
“ถ้าเจ้ายังดิ้นอยู่อีก ข้ารับรองว่าตอนนี้ข้าหิวมาก!”ซ่างกวนเหมิงห้าวพูดอย่างกัดฟันกรอด มองตาของซินเหยา ราวกับกำลังเปล่งประกายก็ไม่ปาน
สีหน้าของซินเหยาเปลี่ยนไป พบว่าร่างกายของซ่างกวนเหมิงห้าวเริ่มมีปฏิกิริยาแล้ว ได้เพียงแต่ก็มหน้าพูดอย่างอ่อนโยน“ข้าหิวมาก ให้ข้าได้กินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ซินเหยาพูดประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ในใจของซ่างกวนเหมิงห้าวบิดม้วนไปมา ตกลงว่ากินข้าวให้เขาอิ่มก่อน หรือกำลังพูดเรื่องของตำรา แต่มีแค่การกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นในใจของเขาจะรู้สึกไม่สงบ
ซ่างกวนเหมิงห้าวออกไปครู่หนึ่ง ไปเตรียมอาหารยกเข้ามาไม่กี่จาน เขารู้ดีว่าซินเหยาไม่ชอบสิ้นเปลือง ไม่ต้องเตรียมอะไรให้มาก แค่เตรียมให้พอสำหรับโภชนาการครบทุกหมู่ก็พอ
ซินเหยาไม่เกรงใจอีก เริ่มลงมือกินอย่างสบายๆ “เจ้าไม่กินหรอ?”ซินเหยาเห็นซ่างกวนเหมิงห้าวมองตนเองทานอาหารอย่างเหม่อมลอย จึงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
ในเวลานี้ทั้งสองคน เป็นสามีภรรยาที่อ่อนโยนอบอุ่น ถึงซ่างกวนเหมิงห้าวจะมองซินเหยาทานอาหาร ในใจก็รู้สึกเต็มอิ่มแล้ว ไม่มีความรู้สึกแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว จึงหัวเราะ“เจ้าบอกว่ารอเจ้ากินอิ่มแล้ว ค่อยป้อนข้าไม่ใช่หรือ?”คำพูดประโยคนี้ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนอุณหภูมิสูงขึ้น ร่างกายของทั้งสองไหลเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น เบาบางแต่มีความรุนแรง รุนแรงจนทำถึงวิญญาณของทั้งสองคน
ซินเหยาไม่สนใจสีหน้าอันไร้เหตุผลของซ่างกวนเหมิงห้าว ก้มหน้าทานอาหารต่อ
“ทางที่ดีเจ้ากินให้อิ่ม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวถ้าข้าพูดเรื่องตำรากับเจ้าไป เจ้าหิวมาก รอแทบไม่ไหวแล้ว!”ใบหน้าที่ก้มอยู่ของซินเหยา ไม่มีสีหน้าใดๆปรากฏออกมาให้เห็น ทุกคำที่พูดไปเหมือนกับจ้องไปกับโต๊ะแล้วแนบเข้าหัวใจของซ่างกวนเหมิงห้าว ถึงแม้ว่าสายตาของซ่างกวนเหมิงห้าวจะสั่นไหว แต่เหมือนกับยังมีความตื่นเต้นที่ปิดไว้ไม่อยู่
ซินเหยาตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากไป แล้วค่อยๆวางถ้วยลง มองหน้าของซ่างกวนเหมิงห้าว สายตาของนางดุจดั่งสายน้ำ ไม่มีความเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ
ซ่างกวนเหมิงห้าวไม่รู้ว่าเหตุใดซินเหยาถึงได้มีสีหน้าแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกกลัวสีหน้าแบบนี้“เป็นอะไรไปหรือ?เมื่อครู่ข้ากินจากข้างนอกมาแล้ว เจ้าคิดว่าฮ่องเต้คนหนึ่งควรกินข้าวในนี้หรือ จะเป็นที่ดึงดูดความน่าสงสัยหรือเปล่า” ซ่างกวนเหมิงห้าวหัวเราะ สายตาแฝงไปด้วยความอบอุ่นเล็กน้อย
“เอาล่ะ บอกข้าก่อนว่าเจ้าอยากรู้อะไร?”ซินเหยาหาที่สบายๆ แล้วจึงนอนลงไปอย่างสบาย เหมือนเมื่อครู่สายตาของนางสะท้อนออกไปแล้วไม่ใช่หรือ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่เมฆที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วก็ถูกลมพัด มองไม่เห็นเบาะแส
ซ่างกวนเหมิงห้าวรู้จักนิสัยของซินเหยาดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม นางมักจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเสมอ แต่มีเรื่องเยอะมากที่เหมือนกับปุยหิมะที่ล่องลอยอยู่ งดงาม รู้สึกว่าอ่อนนุ่ม ในตอนที่ได้สัมผัสอยากจะจับต้องมัน ความรู้สึกอันหนาวเย็นทำให้หนาวเหน็บไปทั้งหัวใจของเจ้า
“เกรงว่าเจ้าคงอยากรู้อะไรมั้ง?แต่ข้าจะบอกเนื้อหาในแต่ละหน้าก่อน หลังจากนั้นข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเนื้อหาที่น่าสนใจในนี้ หรือว่าเจ้าสับสนมาโดยตลอด แต่สิ่งเดียวที่เจ้าไม่ควรสับสนนั่นก็คือความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า ผ่านความเป็นความตายด้วยกัน?นี่เป็นรอยเท้าที่พวกเราเคยร่วมเดินด้วยกัน!”ความรู้สึกที่เก็บไว้ลึกสุดก้นบึ้งหัวใจยังมีคำพูดที่เสียงดังกราว ทำให้คนไม่หลงเหลือความสงสัย
ซินเหยามองตำราที่อยู่ตรงนั้น หลังจากนั้นก็พูดเนื้อหาบางอย่างในตำรา บอกกับซ่างกวนเหมิงห้าวไปจานหมด
แต่ แน่นอนว่านางยังเก็บไว้อีกเยอะ หรืออาจจะยังมีสิ่งที่สำคัญ ครั้งก่อนดูคลุมเครือเกินไป ครั้งนี้กลับดูละเอียดมาก ซินเหยาพบสิ่งที่สำคัญในนั้น นั่นก็คือในตอนที่ซินเหยาคุยกับซ่างกวนเหมิงห้าวเกี่ยวกับเนื้อหาในตำรา ครั้งนอกยังมีคนเตรียมตัวแต่กลับไม่มีข่าวคราว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?หลายวันนี้ไม่เจอฮองเฮา นับตั้งแต่นางเข้าไปในห้องอักษรก็ไม่เคยเห็นออกมาอีกเลย?”เว่ยโก๋กงมองไทเฮา แล้วถามอย่างสงสัย ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เหตุใดถึงไม่พบแล้ว ตกลงสองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เห็นได้ชัดว่าไทเฮาอ่อนโยนเอาใจใส่ เรื่องน่ากลัวพวกนี้ไม่มีมานานแล้ว แต่ตอนนี้เว่ยโก๋กงกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ
“เว่ยโก๋กง เจ้ารู้อยู่แล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่เชื่อใจข้า ข้าได้ยินมากจากนางกำนัลของซินเหยา แต่เจ้ารู้ดีว่าวันนั้นข้าไปพบเขา กลับไม่เห็นซินเหยาแม้แต่เง!”ท่าทางของไทเฮาดูบริสุทธิ์ใจ ดวงตากลมโตที่มองไปยังเว่ยโก๋กงยังมีของเหลวใส เห็นไดชัดว่ารู้สึกไม่สบายใจ ราวกับจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ ออกไปจากโลกนี้
เว่ยโก๋กงเห็นสภาพของไทเฮา จึงรู้ดีว่านางไม่ได้โกหก แต่สายตาของเจากลับแฝไปด้วยแววตาอันแหลมของกมาป่า มุมปากยกขึ้น เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้“เจ้าไปถามนางกำนัลคนนั้น ว่าตอนฮองเฮาเดินจากไปมีของติดไม้ติดมืออะไรไปหรือไม่?”
ถึงแม้ว่าไทเฮาจะไม่เข้าใจความหมายของเว่ยโก๋กง แต่ก็รู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เขามีเหตุผล จึงพยักหน้าจึงพูดกับฉือรุ่ยที่อยู่ข้างๆ
“เว่ยโก๋กง ข้าอยากรู้มากว่า สืบหาเบาะแสของซ่อนตัวตาเฒ่าแม่ทัพโจว๋ได้หรือยัง?”ได้ยินคำพูดของเว่ยโก๋กงครั้งก่อน ตอนนี้ไทเฮารู้สึกเป็นห่วง ความเชื่อใจนี้ไม่ใช่ว่ารักเว่ยโก๋กงมากเท่าใด อีกทั้งความจริงที่นางรู้ดีว่าสำคัญ
เว่ยโก๋กงหัวเราะ“ตอนแรกก็ไม่มีอยู่แล้ว แต่เพราะเสียงแปลกประหลาดพวกนั้น ข้าพบว่ามีเบาะแสเล็กน้อย!”เห็นได้ชัดเขาพูดอย่างได้ใจ
เห็นได้ว่าไทเฮาชื่นชมอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“อะไรผิดปกติ?”นางดูแล้ว ตนอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี กลับไปเคยได้ยินว่าเขาผิดปกติ
เว่ยโก๋กงเอาแต่จ้องไปยังทิศหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดย่างชัดเจนว่าตกลงคืออะไรกันแน่
ไทเฮาเห็นเขาไม่พูด จึงไม่ได้ถามอะไรมากความ ได้แต่มองตามสายตาของเขาไปยังที่แสนไกล สายตาของเขาตกลงที่คุกอันเหม็นฟุ้ง ดูท่าแล้วนางต้องไปดูแล้ว
“ใช่แล้ว ยังมีคำถามหนึ่ง ในเมื่อเจ้าไม่เห็นคน ถ้าอย่างนั้นยังมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือห้องอักษรยังมีห้องลับ!”เขาผ่านราชสำนักมานานหลายปี บวกกับเขาเห็นอะไรมามาก สิ่งนี้ไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อไปควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เขารู้ดีว่าไทเฮาควรจะทำอย่างไรต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้จะไปตรวจฝั่งไหนก่อนดี?”ไทเฮาอยากจะให้ความร่วมมือกับเว่ยโก๋กง แบบนี้อาจจะทำให้โอกาสประสบความสำเร็จมีมากขึ้น
เว่ยโก๋กงที่ได้ยินไทเฮาพูดแบบนี้ จึงขมวดคิ้ว แล้วก็คิดทบทวน พลางพูดขึ้นว่า“เจ้าไปดูหน่อย ว่าตกลงฮ่องเต้ทำอะไรที่ห้องอักษรกันแน่ จำไว้ว่าจะต้องหาเวลาที่เหมาะสม ถึงเวลานั้นพวกเจ้าพูดคุยกัน ข้าจะพบ สำหรับสิ่งอื่น ข้าจะหาไปสืบ เจ้าไม่ต้องทำอะไรมาก!”เว่ยโก๋กงพูดจบก็ไม่มองไทเฮาอีก เขาไม่รู้สึกว่าประโยคสุดท้ายที่เขาพูดมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ไทเฮาที่ได้ยินประโยคสุดท้าย ในใจก็สั่นสะท้าน แล้วจึงก้มหน้า ซ่อนความเจ็บปวดทุกอย่างไว้
ในใจของนาง เว่ยโก๋กงไม่ใช่คนที่สำคัญ ความจริงในใจของเว่ยโก๋กง แน่นอนว่าไม่ใช่ หรือในใจของทั้งสองรู้กันดีอยู่แล้ว หรือนางเองจะรู้อยู่แล้ว เว่ยโก๋กงไม่รู้ว่าไทเฮาคิดอะไรอยู่ ไม่เคยพูดกับนางดีๆมาก่อน ความคิดของไทเฮาดูจะบอบบางกว่าตนเองมาก เข้าใจและมีความมั่นใจ แบบนี้ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
ความจริง ถึงแม้ซินเหยาจะหายไป ไม่ใช่เบาะแสที่สำคัญ กลับทำให้ความเคลื่อนไหวหายไป ต่างกำลังยุ่งกับการสืบ ยังมีการเตรียมของ
ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าทางด้านโจว๋หยุนดูสงบเงียบมาก จุดนี้ทำให้ซ่างกวนเหมิงห้าวไม่เข้าใจ
“เจ้าว่า การเคลื่อนไหวของเว่ยโก๋กงใหญ่ขึ้นมากเท่าไหร่ จวนโจว๋กลับดูสงบเงียบมากเท่านั้นหรือ?”ซ่างกวนเหมิงห้าวให้ซินเหยาอ่านที่เหลือจนจบ แล้วทั้งสองก้ค่อยคุยกันในเรื่องอื่น แต่ช่วงเวลานี้ เขายังคงไม่ยอมให้ซินเหยาพบกับใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาดูแล้ว เขายังคงกังวลโจว๋หยุนถิงอยู่
สำหรับเจ้าปีศาจ เพราะว่าครั้งก่อนคนลึกลับเตือนไว้ ซินเหยาจึงนำพ่อของตนเองกับเจ้าปีศาจไว้สถานที่ลับข้างๆคุกหลวงด้วยหัน นั่นเพราะเพื่อเลี่ยงการถูกรบกวน แต่เหมือนนางจะประเมินสถานที่ลับนั่นไว้สูงเกินไป หรือเสียงของเจ้าปีศาจบวกกับเสียงพ่อของตนเองจะมีความพิเศษ เพราะฉะนั้นถึงได้ถูกคนบางพวกสังเกตกบ
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป?”โจว๋หยุนถิงไม่รู้ว่าแม่ของตนเองเป็นอะไรไป ช่วงนี้มักใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นแค่ตอนนี้ แต่สติก็มีความเลอะเลือน
นายหญิงโจว๋เงยหน้าขึ้น ถึงได้พึ่งมองเห็นโจว๋หยุนถิง นัยน์ตาของนายหญิงโจว๋ กลับมีน้ำตา เห็นได้ชัดว่าทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“แม่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มักใจไม่อยู่กับล่องกับลอย เหมือนกับพ่อของเจ้ากำลังร่ำเรียก ใจของแม่รู้สึกถูกบีบรัด!”โจว๋หยุนถิงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง พยายามจัดการกับความเจ็บปวดของตนเอง แต่ยังมีเหมือนราวกับคลื่นที่ขึ้นสูง ถาโถมซัดสาดเขามายังตนเอง
โจว๋หยุนถิงขมวดคิ้ว“ท่านแม่ ตกลงท่านรู้สึกถึงอะไรกันแน่?”โจว๋หยุนถิงคิดว่าแม่ของตนเองไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแน่ๆถึงจะถูก ถ้าหากแค่พ่อของตนเองร่ำเรียก นางไม่ควรเจ็บปวดขนาดนี้
ทันใดนั้นนายหญิงโจว๋ก็ดึงมือของโจว๋หยุนถิง พูดด้วยน้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนว่า“เหลยเอ๋อร์ เจ้าไปตามหาซินเหยาหน่อยเถอะ ให้นางช่วยลดความเจ็บปวดของพ่อด้วยเถอะ แม่รู้ดีว่าตอนนี้พ่อของเจ้ากำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมาน อีกทั้งโอกาสจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ!”ดวงตาของนายหญิงโจว๋เต็มไปด้วยม่านน้ำตา นางหาที่ระบายไม่ได้แล้วจริง นางได้แต่ดึงมือของโจว๋หยุนถิง พูดแต่ผลลัพธ์ สำหรับเหตุผล นางกลับพูดออกมาไม่ได้
โจว๋หยุนถิงจับไหล่ของนายหญิงโจว๋ไว้แน่น แล้วจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ ท่านบอกข้าทีเถิด ตกลงอะไรทำให้ท่านเป็นแบบนี้ได้ บอกข้าได้ไหม?”โจว๋หยุนถิงไม่ใช่คนโง่เขลา คำพูดของแม่ตนเอง ยังมีน้ำเสียงที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานแทบขาดใจ นางสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
นายหญิงโจว๋ส่ายหัว ดึงมือของโจว๋หยุนถิงไว้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสารจนแทบจะสิ้นหวัง“เหลย ถือว่าแม่ขอร้องเจ้าล่ะ!”ตกลงว่านี่เป็นเพราะพลังของความรัก ที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่สนใจภาพลักษณ์ขนาดนี้
โจว๋หยุนถิงทนไม่ได้ที่เห็นแม่ของตนเองเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีความน่าสงสัย แต่ก็พยักหน้ารับปากคำร้องขออ้อนวอนจากนายหญิงโจว๋ นางหญิงโจว๋ที่เห็นโจว๋หยุนถิงพยักหน้า เหมือนต้นไม้ที่อยู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่พบกับความหวัง จึงยิ้มผุดออกมา ความหวาดกลัวในใจมลายหายไปในทันใด“เหลยเอ๋อร์ แม่ติดค้างพวกเจ้าสองพี่น้อง!”มีแต่เสียงร่ำไห้ นายหญิงโจว๋กอดโจว๋หยุนถิงแล้วร้องร่ำไห้เหมือนเด็ก
โจว๋หยุนถิงตบบ่าของนายหญิงโจว๋เบาๆ ในใจรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ได้แต่ส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้ เหตุใดยิ่งเข้าใกล้กับความจริง เขายิ่งมีความหวาดกลัวอย่างสิ้นหวัง ตกลงกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอะไรกันแน่ เห็นได้ชัดว่าโจว๋หยุนถิงทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าสามารถตามหาตัวของซินเหยาได้จากที่ไหน ครั้งก่อนซินเหยาสั่งว่าให้ตนอย่างได้เป็นห่วง แต่รับปากคำขอร้องของท่านแม่แล้ว ดูท่าคงต้องไปหาคนลึกลับแล้วล่ะ
ในค่ำคืน ไม่มีดวงดาว แม้แต่ดอกไม้ยังสัมผัสได้ได้ถึงบรรยากาศอันน่าพิศวงที่เกิดขึ้น เก็บความสวยงามของตนเอง เปลี่ยนเป็นสงบเงียบมากขึ้น