นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 340 เขาอยู่ในห้องเรียน
ตั้งแต่ได้รับการช่วยเหลือ นีนีที่หลังจากได้สติก็ตามติดซูฉิงตลอด
ในสายตาของเธอ ซูฉิงเป็นเหมือนนางฟ้าที่แม่เคยบอก ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเธอ แต่ยังช่วยชีวิตคนในหมู่บ้านและเพื่อนฝูงมากมายในโรงเรียน
พี่สาวคนสวยคนนี้เป็นคนดีที่สุดในโลกเลย
ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินคำพูดของหัวหน้ากู้ภัย นีนีไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เงยหน้ามองซูฉิงอย่างน่าสงสาร ราวกับสัตว์เลี้ยงจรจัด มือเล็กๆ ของเธอจับที่ชายเสื้อของซูฉิง
เธอไม่อยากแยกกับพี่สาวแสนสวยคนนี้ เธอไม่อยากไปที่ “ที่ปลอดภัยกว่านี้” เธอแค่ต้องการอยู่กับพี่สาวแสนสวยคนนี้
ซูฉิงเห็นดวงตาที่ไม่เต็มใจและน่าสงสารของนีนีก็ยกมุมปากยิ้มน้อยๆ
เธอเองก็คิดว่านีนีน่ารักมาก ไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยที่เพิ่งสูญเสียแม่และประสบกับความเจ็บปวดน่าเศร้า คงเป็นธรรมดาที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
ซูฉิงค่อย ๆ ย่อตัวลงและยื่นมือไปลูบหลังศีรษะของนีนี ดวงตาของเธอดูอ่อนลงและเกลี้ยกล่อมเด็กหญิงตัวน้อย “นีนีเด็กดี คุณอาคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ เขาเองก็มาช่วยพวกหนูเหมือนกัน
ฟังพี่สาวนะ ที่นี่อันตรายมากและจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกได้ตลอดเลย หนูตามคุณอาคนนี้ไปในที่ปลอดภัยกว่านี้ดีไหม?
หนูต้องดูแลแผลตัวเองให้ดี เดี๋ยวพี่สาวเสร็จงานแล้วจะไปหาหนูนะ”
ถ้าอย่างนั้น…พี่สาว พี่จะมาหาหนูจริงๆ ใช่ไหมคะ? “เด็กน้อยก้มศีรษะครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะถามอย่างขี้ขลาด
ซูฉิงพยักหน้าอย่างหนักและตอบตกลงอย่างจริงใจ “อืม แน่นอน!”
จากนั้นก็เหยียดนิ้วก้อยของมือขวาออกและยิ้มให้นีนี “ถ้าไม่เชื่อพี่ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากันดีไหม?”
นีนีถึงได้ยิ้มออก พร้อมกัยเหยียดมือมาเกี่ยวก้อย สองมือใหญ่เล็กเกี่ยวกันไว้ ก่อนซูฉิงจะพูดอย่างจริงจัง “คำไหนคำนั้นไม่มีวันเปลี่ยน…! เอาล่ะ! งั้นหนูรีบตามคุณอาออกไปก่อนนะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยมากๆ เลย”
ซูฉิงจดจ่อกับการปลอบโยนนีนีจนไม่ได้สังเกตที่เมื่อกี้เกี่ยวก้อยสัญญากัน เหล่านักข่าวที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นก่อนจะถ่ายเก็บไว้แล้ว
“เอาล่ะ ผมจะพานีนีออกไป ไปส่งพวกเขาที่โรงพยาบาลในเมืองที่ปลอดภัยก่อนเป็นสิ่งสำคัญ” หัวหน้าทีมกู้ภัยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ซูฉิงยืนขึ้น “ถ้าอย่างนั้นรบกวนพวกคุณหน่อยนะคะ เรายังไม่เจอคนที่เราตามหา เดี๋ยวจะคอยดูด้วยว่าแถวนี้ยังมีคนอีกไหม”
ในเวลาเดียวกัน ยวี๋น่าก็กำลังตามหาอู๋เทียนเหออย่างกระวนกระวายใจ
“เทียนเหอ! เทียนเหอนายอยู่ไหนน่ะ!” ยวี๋น่ามองไปรอบ ๆ และตะโกนชื่ออู๋เทียนเหอไปด้วยแต่ไม่เสียงตอบกลับเลย
เมื่อกี้เธอได้ช่วยห้าถึงหกคนที่ทีมกู้ภัยช่วยชีวิตมา แต่เธอก็ไม่เจอตัวคนที่เธอกำลังตามหาเลย
เมื่อเห็นว่าใกล้จะมืดแล้ว ยวี๋น่าก็เริ่มกระวนกระวายใจ
หากมืด การค้นหาเพื่อช่วยเหลือก็จะยิ่งยากมากขึ้น
และเมื่อเวลาผ่านไป อันตรายของอู๋เทียนเหอก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
เพราะยังไงยวี๋น่าก็เป็นผู้หญิง วิ่งวุ่นมาตั้งนานแล้ว ร่างกายใกล้หมดแรงเต็มที เธอจึงทำได้เพียงค้ำเข่าและหอบหายใจอย่างหนัก
“ยวี๋น่า!” ซูฉิงที่ส่งนีนีออกไปแล้ว และเห็นยวี๋น่าจากไกลๆจึงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปประคองแขนเธอและถามอย่างกังวล “ยังไม่เจอตัวเทียนเหอเหรอ?”
ยวี๋น่าส่ายหัวพร้อมกับหอบหายใจถี่ๆ และพูดอย่างขาดห้วง “ยัง…ยังเลย ฉันหาวนหมดแล้ว ช่วยคนออกมาได้ตั้งเยอะแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเทียนเหอเลย ซูฉิง ทำยังไงดี…? เขาคงจะไม่ คงจะไม่เกิดอะไรกับเขาใช่ไหม?”
เสียงของยวี๋น่าสั่นเครือเจือด้วยความกังวล
ในเวลานั้นเอง หัวหน้าทีมกู้ภัยที่เพิ่งดูแลครูและนักเรียนที่เพิ่งช่วยออกมา เมื่อเห็นซูฉิงเข้าก็เดินเข้ามาทัก “งั้นผมพาพวกเขาไปยังพื้นที่ปลอดภัยในเมืองก่อน ผมจะให้สมาชิกบางส่วนอยู่ช่วย รบกวนคุณด้วยนะครับ”
ยวี๋น่าที่ใกล้พังทลาย สำหรับเธอแล้ว ทุกวินาทีผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกิน
เธอประคองสติแต่พอได้ยินบทสนทนาระหว่างหัวหน้ากู้ภัยกับซูฉิง ทันใดนั้นเธอก็รีบเข้าไปคว้าแขนเสื้อของชายคนนั้น และร้องไห้อย่างบ้าคลั่งก่อนจะถามว่า “คุณเจอเทียนเหอไหมคะ? พวกคุณเคยเจอเขาไหม? เขาสูง ผอม ตาเล็ก ผมสีดำค่ะ! เขาบาดเจ็บตรงไหนไหมคะ?”
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นทำอะไรไม่ถูกและไม่พูดอะไร ยวี๋น่าจึงรีบไปหานักเรียนและถามทีละคน ทั้งยังถามประโยคเดิมอย่างบ้าคลั่ง
“ยวี๋น่า!” ซูฉิงออกแรงดึงเธอก่อนจะจับไหล่ยวี๋น่าด้วยมือทั้งสองข้าง “อย่าทำแบบนี้”
เมื่อเห็นท่าทีของยวี๋น่า ซูฉิงเองก็เจ็บปวดใจมาก
แต่ว่าไม่เจอตัวอู๋เทียนเหอ ไม่ว่าจะพูดปลอบยังไงก็ไม่ช่วยอะไรมาก
ยวี๋น่าคว้าแขนของซูฉิงก่อนน้ำตาจะร่วงหล่น
“ซูฉิง บอกฉันทีว่าอู๋เทียนเหอเขาอยู่ที่ไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาไหม…”
ซูฉิงกัดริมฝีปาก “ยวี๋น่า ใจเย็นก่อน!! อู๋เทียนเหอไม่เป็นไรแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะ เราต้องเจอเขาแน่ ตอนนี้เธอใจเย็นก่อนนะดีไหม?”
ซูฉิงเข้าใจความรู้สึกของยวี๋น่า หากเป็นฮ่อหยุนเฉิงที่ถูกซากปรักหักพังทับ ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง เกรงว่าเธอคงได้พังทลายมากกว่ายวี๋น่าแน่
“เหมือนคุณครูอู๋จะอยู่ในห้องเรียน…” ในตอนนั้นเองก็มีนักเรียนคนหนึ่งพูดอย่างอ่อนแรง
“หนูว่ายังไงนะ?” ยวี๋น่ามองนักเรียนอย่างตื่นตัว “หนูรู้ว่าเทียนเหออยู่ที่ไหนใช่ไหม?”
ริมฝีปากของนักเรียนเต็มไปด้วยเลือดจับตัวเป็นก้อน เพราะบาดเจ็บจึงพูดได้ยาก “คุณครูอู๋คืออาจารย์ที่สอนเรา…เกิดแผ่นดินไหวกะทันหัน คุณครูอู๋หนีออกมาไม่ทัน…”
ว่าไงนะ?
หนีออกมาไม่ทัน?
หัวใจของยวี๋น่าดิ่งลงอย่างกะทันหัน
ดวงตายวี๋น่าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง มือเธอยังคงกำข้อมือซูฉิงก่อนจะออกแรงโดยไม่รู้ตัว
ซูฉิงที่ได้ยินเด็กพูดก็เกิดกังวล แต่ก็ยังพูดปลอบใจยวี๋น่า “ยวี๋น่า ใจเย็นๆ นะ เราค่อยๆ ฟังพวกเขาดีกว่า”
นักเรียนหลายคนกำลังจะอ้าปากพูด “ตอนนั้นคุณครูอู่กำลังสอน…แล้วก็เกิดแผ่นดินไหว เขาจัดกลุ่มพวกเราให้วิ่งออกจากตึกเรียน แต่แล้วตึกเรียนก็ทรุดตัวลง เราที่อยู่ข้างนอกก็ไม่เห็นคุณครูอู๋วิ่งออกมา…”
“อาคารเรียนของพวกหนูอยู่ตรงไหนเหรอ?” ซูฉิงถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ตอนนี้เธอดูสงบอย่างผิดปกติ ยวี๋น่ากระสับกระส่ายอยู่แล้ว เธอจะยิ่งกังวลใจไม่ได้
ซูฉิงขมวดคิ้วและวิเคราะห์ว่า “ในเมื่อเทียนเหอไม่ได้หนีออกมาก็ต้องถูกฝังไว้ที่ชั้นล่างของอาคารเรียน ตอนนี้…น่าจะยังทันนะ!”
“ตรงนั้นครับ” เด็กชายคนแรกที่พูดมองไปทางซ้ายและชี้นิ่วเล็กๆไป
ยวี๋น่าไม่มีเวลาคิดเยอะก่อนจะวิ่งไปทางนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ซูฉิงสั่งผู้บอดี้การ์ด “พวกนายทุกคนไปทางนั้น พยายามตามหาอู๋เทียนเหอให้เต็มที่!”
“ครับ คุณซู!” บอดี้การ์ดหลายสิบคนตอบรับด้วยความเคารพ ก่อนจะวิ่งตามยวี๋น่าไปที่อาคารเรียนพร้อมๆ กัน