นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 450 เสี่ยวหนิงเป็นเด็กดี
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 450 เสี่ยวหนิงเป็นเด็กดี
อู๋ชิงหร่านตอบตกลงทันที “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรื่องนี้ก็ให้ฉันดำเนินการแล้วกันนะ”
เพราะซูซานรู้แบบร่างของซูฉิงแล้ว ความสงสัยในตอนแรกของเธอที่มีต่ออู๋ชิงหร่านจึงกลายเป็นความไว้วางใจ “ฉันจะรอข่าวดีจากคุณอู๋นะคะ แต่—เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดีนะคะ”
ถ้าถึงตอนนั้นลีโอสตูดิโอรายงานเรื่องพวกเขาจริง ก็จะไม่มีโอกาสที่จะชนะ แล้วซูฉิงจะได้ชื่อว่ายังเป็น ’ตำนาน’ อยู่หรือเปล่าล่ะ? ชื่อเสียงคงถูกทำลายจนย่อยยับหมดแล้วมั้ง
และเธออยากเห็นภาพนั้นมานานมากแล้ว…
ซูซานจิบกาแฟพร้อมรอยยิ้มในแววตา ดูเหมือนว่าเธอจะมองเห็นภาพที่ซูฉิงถูกเธอเหยียบย่ำไว้ล่วงหน้า
“เอาล่ะ คุณอู๋กลับก่อนเถอะค่ะ หากมีอะไรเราค่อยติดต่อกัน”
ในโรงพยาบาล ณ เมือง A
เพียงชั่วพริบตา หลิวเสี่ยวหนิงก็อยู่ในโรงพยาบาลมาสามถึงห้าวันแล้ว เธอยังคงกังวลเรื่องการถ่ายทำมาก แต่เธอต้องใช้เวลาอีกนาน กระดูกหักคงไม่หายง่ายๆ
แต่ตั้งแต่ที่เข้าโรงพยาบาลวันแรก หลังจากหลิวเสี่ยวหนิงสารภาพรักกับเฉินจุนเหยียนไป เขาก็ไม่มาเยี่ยมเธอเลย เวลาผ่านไปเธอก็รู้สึกผิดหวัง และอดเกลียดตัวเองไม่ได้
แต่วันนี้เธอกลับแปลกใจ
“เสี่ยวหนิง” เสียงเคาะจากประตู และหลังจากเคาะสองครั้ง คนที่เปิดเข้ามาคือเฉินจุนเหยียน แถมยังถือช่อพุดซ้อน “ช่วงนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
ทันทีที่หลิวเสี่ยวหนิงได้ยินก็ได้สติทันที พอเห็นเฉินจุนเหยียนมาก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะยืดตัวขึ้น และหันไปหาอีกคนเล็กน้อย
“ก็ดีขึ้น ตอนนี้ไม่เจ็บมากแล้ว…แต่หมดบอกว่ายังต้องดูแลตัวเองให้ดี ผู้อาวุโสเฉินวันนี้มาทำไมเหรอคะ? ทางกองถ่ายเสร็จแล้วเหรอคะ?”
หลิวเสี่ยวหนิงที่เห็นอีกคนก็ยังรู้สึกประหม่า เธอไม่รู้ว่าหลังจากที่สารภาพรักไปก็ไม่รู้ว่าอีกคนคิดยังไงกับเธอ หรือไม่ก็พวกเราอาจไม่ได้แม้เป็นเพื่อนกัน
ที่จริงแล้วเฉินจุนเหยียนก็อลหม่าน ถึงกับคิดว่าจะไปเยี่ยมหลิวเสี่ยวหนิงดีไหม แต่ความรู้สึกนี้คาอยู่ในใจเขามาสามวันแล้ว เขาไม่ได้คิดอะไรกับหลิวเสี่ยวหนิงเป็นพิเศษเลย และยิ่งจะปล่อยความเข้าใจผิดนี้ไปไม่ได้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวหนิงก็เป็นเด็กดี
“เช้านี้ฉันถ่ายไปฉากสองฉากเอง แล้วคิดว่าไม่ได้มาสักพักแล้วก็เลยซื้อช่อดอกไม้มาให้ กันว่าวางดอกไม้ไว้ข้างเตียงจะทำให้คนป่วยรู้สึกดีแล้วก็ฟื้นตัวได้ดี”
เฉินจุนเหยียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง
หลิวเสี่ยวหนิงหลุบตาลงมองปลายนิ้ว และเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะคะ ผู้อาวุโสเฉิน…ฉันคิดว่าจะไม่มาเยี่ยมฉันแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ ฉัน—”
“ฉันรู้” เฉินจุนเหยียนพูดเสียงเบา หลิวเสี่ยวหนิงมองเขาก่อนจะขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ก็กลืนคำพูดลงไป
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจว่าพูดวันนี้ให้ชัดเจนน่าจะดีกว่า “เสี่ยวหนิง ฉันรู้ความในใจเธอนะ แต่บางอย่าง…มันบังคับไม่ได้ ฉันเชื่อว่าเธอก็รู้ว่าฉันชอบใคร ฉัน พูดตามตรงฉันก็นับถือเธอเป็นน้องสาว ขอโทษด้วยนะ”
เฉินจุนเหยียนหลบตา เขาไม่รู้ว่าจะบอกหลิวเสี่ยวหนิงยังไงดี แค่สุดท้ายคำพูดท้ายประโยคแสนหนักอึ้งก็ออกจากปากเขา
แสงในดวงตาของหลิวเสี่ยวหนิงค่อยๆ ดับลง เพราะคำพูดของเฉินจุนเหยียนนั้นเป็นเหมือนกับค่อยๆ ดับไฟ เทียนที่เผาไหม้จนหมดถึงจะจุดยังไงก็ไม่ได้
นิ้วมือกำผ้านวมแน่น และใช้เวลานานกว่าจะคลายลง สุดท้ายเธอก็พยักหน้า “ไม่เป็นไร…ฉันรู้ค่ะ ผู้อาวุโสเฉินไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะไม่รบกวนคุณ ที่ฉันพูดไปวันนั้นก็แค่พูดเล่นน่ะค่ะ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกค่ะ”
หลิวเสี่ยวหนิงเชยตาและแสร้งยิ้มบาง แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าจะจริงใจหรือล้อเล่นนั้นก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้
เฉินจุนเหยียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ขณะนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และเมื่อเขาเห็นว่าเป็นสายของซูฉิง เขาก็รับสายอย่างเป็นธรรมชาติ
“ซูฉิง มีอะไรเหรอ?”
ทันทีที่เธอได้ยินชื่อซูฉิง หลิวเสี่ยวหนิงก็หันหน้าหนีและไม่พูดอะไรอีก
ซูฉิงที่เพิ่งปิดคอมพิวเตอร์ “ไม่มีอะไร ฉันแค่จะถามนายว่าความคืบหน้าเป็นตอนฉันไม่ได้อยู่กองถ่ายเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เฉินจุนเหยียนยิ้ม “ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เธอเข้าร่วมการแข่งขันแบบสบายใจได้เลย เราจะเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ให้ทันแน่นอน เธอไม่ต้องห่วง ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ปล่อยให้เธอทำงานหนักเสียเปล่าหรอก”
เวลาคุยกับซูฉิงนั้น เสียงของเฉินจุนเหยียนอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว ราวกับเขากลัวว่าเสียงของเขาจะทำให้อีกฝ่ายกลัว หลิวเสี่ยวหนิงที่มองก็รู้สึกเจ็บในใจ
แต่เธอก็รู้ว่าเฉินจุนเหยียนนั้นได้ปฏิเสธเธออย่างชัดเจนแล้ว แม้ว่าเธออยากจะหึงหวงหรือโกรธก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิ์ และไม่สมควรอย่างยิ่ง
“งั้นฉันก็สบายใจ การแข่งขันทางฝั่งฝรั่งเศสกำลังจะเริ่มแล้ว หลังจากฉันแข่งเสร็จก็กลับแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะขอดูผลลัพธ์ของพวกนายแล้วนะ”
“ได้เลย ถ้าอย่างนั้นมีอะไรก็ติดต่อฉันนะ ฉันยังมีธุระอีกหน่อย ไว้ค่อยคุยกัน” เฉินจุนเหยียนเงยหน้ามองหลิวเสี่ยวหนิง ก่อนจะหาข้อแก้ตัวและวางสายไป ไม่อย่างนั้นเขาคงทำตัวไม่ถูก
“เสี่ยวหนิง เสี่ยวหนิง ฉันมาเยี่ยมแล้ว!”
เฉินจุนเหยียนที่มองหลิวเสี่ยวหนิงและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตรงทางเดิน และเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ไม่นานก็มีชายหน้าตาดีสวมเสื้อลายดอกเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาถือกุหลาบช่อใหญ่ รวมทั้งคนที่เดินเข้ามาตามหลังก็ถือตะกร้าผลไม้ใบใหญ่ด้วย
อย่างกับลูกท่านหลานเธอเสด็จ
ทันทีที่เฉินจุนเหยียนเห็นชายคนนั้น เขาก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวและเม้มริมฝีปาก หลิวเสี่ยวหนิงที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยังรู้สึกประหลาดใจที่เห็นคนนั้นเดินเข้ามา “คุณฉิน คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
เมื่อชายคนนั้นเห็นหลิวเสี่ยวหนิงพูดกับเขา ก็รีบเดินไปที่เตียงและพูดด้วยท่าทางกังวล “ฉันได้ยินว่าคุณได้รับบาดเจ็บในฉากถ่ายภาพยนตร์จนต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ได้เป็นห่วงแล้วจะซื้อดอกไว้กับผลไม้มาเยี่ยมได้ยังไงล่ะครับ?”
“เสี่ยวหนิง คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ นะ ไม่งั้นผมจะปวดใจ” ชายคนนั้นขมวดคิ้วและมองอย่างรักใคร่ จนทำให้เฉินจุนเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกอึดอัด ชายคนนั้นพูดไปก็จับมือหลิวเสี่ยวหนิงไปด้วย เธอที่รู้สึกไม่สบายใจก็รีบชักมือกลับอย่างไว
ชายคนนั้นที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็ไม่โกรธ ทั้งยังยิ้มแล้วหยิบกล่องเครื่องประดับจากกระเป๋า “เสี่ยวหนิง ฉันรู้ว่าคุณอยู่โรงพยาบาลคงอารมณ์ ดูสิ นี่คือของขวัญที่ฉันซื้อมาให้ เป็นสร้อยคอเพชรทำมือเลยนะ คุณชอบไหม?”