นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 457 พี่ต้องช่วยฉัน
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 457 พี่ต้องช่วยฉัน
เมื่อเธอเห็นวิดีโอเหล่านั้นสวีหว่านเอ๋อร์ก็กัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น เธอหลงใหลและอยากครอบครองตัวและหัวใจของฮ่อหยุนเฉิงเป็นที่สุด หญิงสาวนั่งดูข่าวการขอแต่งงานนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ว่าจะกี่ข่าวต่อกี่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับวิดิโอขอแต่งงานนั้นเธอก็เข้าไปค้นดูมันอย่างละเอียดทุกข่าว ” ประธานฮ่อกรุ๊ปจะจัดพิธีวิวาห์ในเดือนหน้า”
ใบหน้าของสวีหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในทันที เธออารมณ์เสียไม่น้อยเมื่อเห็นข่าวเหล่านี้ เธอปิดหน้าเว็บโดยไม่ลังเลและใช้มือตบลงบนโต๊ะอย่างโกรธเคือง
สวีมู่หยางได้ยินเสียงดังจึงเดินเข้ามาและมองดูน้องสาวของเขาอย่างกังวล เขารู้ว่าอารมณ์ของสวีหว่านเอ๋อร์ไม่คงที่ และสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือพยายามดูแลเธออย่างเต็มที่
“หว่านเอ๋อร์ เป็นอะไรไป”
“พี่…” สวีหว่านเอ๋อร์นั่งบนเก้าอี้มองไปที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เธอเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวและหันไปมองสวีมู่หยางด้วยสีแววตาจริงจัง “คราวนี้พี่ต้องช่วยฉัน หยุนเฉิงจะแต่งงานกับผู้หญิงเลวทรามต่ำช้าคนนั้น พี่ต้องช่วยฉันนะ!”
“ฮ่อหยุนเฉิง?” ทันทีที่สวีมู่หยางได้ยินชื่อ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาพยายามเกลี้ยกล่อมสวีหว่านเอ๋อร์ให้ปล่อยฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงไป แต่เหมือนกับสวีหว่านเอ๋อร์จะไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเธอเลย
จนรอดจนรอด เขาก็ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี
“ใช่” สวีหว่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักและกัดฟันแน่นพลางพูดขึ้น “เขาและซูฉิงกำลังจะจัดพิธีหมั้นในเดือนหน้า พี่ชาย ตอนนี้มีเพียงพี่เพียงคนเดียวพี่ต้องช่วยฉัน ฉันยอมให้ทั้งสองคนหมั้นหมายกันไม่ได้!”
สวีมู่หยางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่สวีหว่านเอ๋อร์และไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาไม่รู้ว่าฮ่อหยุนเฉิงทำอย่างไรถึงทำให้สวีหว่านเอ๋อร์ตกหลุมรักและหลงใหลในตัวเองได้มากขนาดนี้ แต่ที่จริงแล้วตัวเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่นแบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าสวีหว่านเอ๋อร์ในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า สวีมู่หยางก็ทนไม่ได้เช่นกัน เขากลัวว่าน้องสาวของเขาจะเครียดจนคิดฆ่าตัวตายในที่สุด
เพราะเขาเคยให้คำสัญญากับแม่ไว้ว่าจะดูแลน้องสาวของเขาเป็นอย่างดี
สวีมู่หยางจึงจำใจเห็นด้วยกับความคิดของสวีหว่านเอ๋อร์เพื่อให้น้องสาวของตนไม่เกิดอาการเครียด “ถ้าอย่างนั้นฉัน… ฉันจะคิดหาวิธี แต่เธอต้องไม่สร้างปัญหา เข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินสวีมู่หยางตกลงช่วยเธอแก้แค้น อารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงของสวีหว่านเอ๋อร์ก็ค่อยๆคลายลงในที่สุด รอยยิ้มที่ตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ และดวงตาของเธอก็ส่องประกายแปลกประหลาดราวกับคนควบคุมตนเองไม่ได้
“พี่ชาย ทำไมพี่ไม่หาวิธีจับตัวซูฉิงหรือวางยาเธอ ครอบครัวอย่างตระกูลฮ่อมักให้ความใส่ใจกับสถานะของลูกสะใภ้ในอนาคต และเดิมทีป้าฮ่อก็ไม่ชอบซูฉิงอยู่เป็นทุนเดิม ถ้าพี่สามารถนอนกับซูฉิงและปล่อยข่าวให้ครอบครัวฮ่อรับรู้ ต่อให้เธอจะมีบุญมากขนาดไหนเธอก็ไม่สามารถแต่งงานกับหยุนเฉิงได้แล้ว หยุนเฉิงต้องรังเกียจเธอ แผนการนี้พี่ว่าเป็นยังไง?
“เธอ…”สวีมู่หยางไม่คิดว่าสวีหว่านเอ๋อร์จะคิดแผนแบบนั้นออกมาได้ เขาสะอึกอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรู้ความคิดของน้องสาวแท้ๆ ดวงตาของเขาสับสนและงุนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสวีหว่านเอ๋อร์ถึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ฮ่อหยุนเฉิงมาครอง
เธอยัดเยียดให้เขาไปนอนกับซูฉิง
แต่ว่า
สวีมู่หยางเงียบลงครู่นึง เมื่อสวีหว่านเอ๋อร์เห็นท่าทางนิ่งเงียบของพี่ชายก็อดไม่ได้ที่จะกังวล เธอรีบจับข้อมือของสวีมู่หยางและมองจ้องมองพี่ชายด้วยความจริงใจ “ฉันชอบเขามาก พี่ช่วยฉันได้ไหม?”
เมื่อเห็นลักษณะท่าทางที่น่าสงสารของน้องสาวก็ทำให้ใจของเขาอ่อนลง เขาพยักหน้าและรับคำหญิงสาวตรงหน้าอย่างกล้าหาญ “ตกลง พี่สัญญาว่าจะช่วยเธอ แต่ในอนาคตเธอจะต้องไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก”
“โอเค”
สวีหว่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเร่งรีบ สิ่งใดที่สามารถทำให้เธอได้ครอบครองฮ่อหยุนเฉิง เธอยอมทำได้ทุกอย่าง!
วันรุ่งขึ้นสวีมู่หยางเดินทางไปยังสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์และขอเข้าพบกับซูฉิง
ณ ห้องทำงานของประธานบริษัท
“สวัสดี คุณซู” ซูฉิงตะลึงเมื่อเห็นสวีมู่หยาง แต่เธอก็ยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาอย่างสุภาพ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบสวีหว่านเอ๋อร์แต่ความรู้สึกที่มีต่อสวีมู่หยางนั้นถือเป็นปกติ ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของพี่ชายคนนี้คือเขาหวงและห่วงน้องสาวของตัวเองมากเกินไป
แต่สวีมู่หยางมาที่นี่ในฐานะแขกผู้มาเยี่ยมเยียน จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องหลบหน้าหรือหลีกหนีอีกฝ่าย
“คุณชู” สวีมู่หยางเขย่ามือของเขากลับมาครู่หนึ่งแล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว ร่างสูงสวมชุดสูทสีดำและนั่งลงบนโซฟาตัวยาวซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของซูฉิง เมื่อเห็นดังนั้นซูฉิงจึงเดินมานั่งลงข้างๆเขา
“วันนี้คุณสวีเดินทางมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่า?”
“นั่นสินะ” สวีมู่หยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “บริษัทของเราต้องการขยายสาขาภาพยนตร์และโทรทัศน์ในเร็วๆ นี้ ฉันเห็นละครโทรทัศน์ใหม่สองสามเรื่องที่บริษัทของคุณลงทุนและผลิต ซึ่งฉันคิดว่ามันดูดีมาก ฉันก็เลยอยากลงทุนสร้างหนังเรื่องใหม่ซึ่งเป็นละครแนวย้อนอดีตย้อนเวลาอะไรพกวนี้ ตอนนี้ฉันกำลังมองหาคนมาเขียนบทละครอยู่ ฉันอยากจะขอให้บริษัทของคุณดูแลละครเรื่องนี้ให้กับทางเรา คุณซูมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ”
ซูฉิงแปลกใจเล็กน้อย เพราะเท่าที่ทราบมาครอบครัวสวีไม่เคยเกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ และในความเป็นจริงแล้วยังมีหลายบริษัทในอุตสาหกรรมละครและภาพยนตร์ที่มีประสบการณ์และอายุการทำงานที่เก่ากว่าสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์ สวีมู่หยางน่าจะติดต่อไปบริษัทพวกนั้นมากกว่าที่จะติดต่อมายังเธอ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากสำหรับซูฉิง
อย่างไรก็ตามเธอก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งซูฉิงเองก็เห็นด้วยกับสวีมู่หยาง
“เอาล่ะ ถ้าคุณสวีมีเจตนาเช่นนี้ เราสามารถลองทำดูได้ แต่หลังจากที่คุณเขียนบทละครเสร็จคุณต้องนำมันมาให้ฉันดูก่อน เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินการเรื่องสัญญาต่อไปได้”
“โอเค” สวีมู่หยางหัวเราะ ดวงตาของเขาส่งประกายวาบวับและอบอุ่น
“เนื้อเรื่องจะต้องถูกเขียนให้เสร็จอย่างแน่นอน และฉันก็จะรอคอยคำตอบจากคุณซู”
“ถ้าคุณซูยินดีที่จะดูแลการผลิตละครเรื่องนี้ หลังจากที่ละครเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้น ฉันยินดีที่จะให้สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นผู้อำนวยการสร้างเป็นอันดับแรก คุณจะได้ความพิเศษเฉพาะตัวด้วยผมจะสร้างช่องขึ้นมาเพื่อเปิดออนแอร์เฉพาะละครเรื่องนี้”
นี่เป็นเงื่อนไขที่ทำกำไรได้มหาศาลซูฉิงพึมพำในใจเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ หลังจากเปิดบริษัทเธอก็ถือว่าเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทด้วย ในเมื่อเงื่อนไขของสวีมู่หยางนั้นสามารถส่งผลในทางที่ดีอย่างยิ่งต่อบริษัทของเธอ ทำไมเธอถึงจะไม่ลองล่ะ?
หลินเจีย
“นาน่า วันนี้เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง” หลินหนานนั่งถัดลงจากยวี๋น่าและถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับยวี๋น่าครั้งที่แล้ว แม้ว่าเด็กจะรอด แต่เธอก็นอนอยู่ในโรงพยาบาลมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว หลังจากที่คุณหมอได้ทำการเข้าตรวจร่างกายหญิงสาวทุกวัน จนคุณหมอมั่นใจว่าทั้งแม่และลูกสามารถออกจากโรงพยาบาลและมารักษาตัวที่บ้านได้อย่างปลอดภัยแล้ว แม่หลินเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากความขึ้นมาอีก เธอรีบพายวี๋น่าเข้าไปอยู่ในบ้านหลิน เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะผิดพลาดและเป็นเหตุให้เกิดอันตรายกับแม่และเด็กเป็นครั้งที่สองอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหนาน ยวี๋น่าก็ยิ้มและส่ายหัว “ดีขึ้นมากแล้ว คุณหมอไม่ได้บอกว่าเหรอว่าฉันไม่เป็นอะไรมาก และฉันก็อยู่ที่บ้านของคุณมาสองสามวันแล้ว มันไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ถึงแม้หญิงสาวจะกล่าวเช่นนั้นแต่หลินหนานยังคงมีความกลัว เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นในโรงพยาบาล มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะตามหญิงสาวกลับมาได้และเขาก็ไม่อยากสูญเสียเธอไปอีกแล้ว
“ตอนนี้ฉันเป็นพ่อของเด็กในท้องเธอแล้ว และในที่สุดเธอก็ตกลงทำตามข้อเสนอของฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นเสาหลักของครอบครัว แน่นอนว่าฉันต้องปกป้องเธอสองคนจากอันตรายต่างๆ”
“โอเค โอเค เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ นาน่า มาดื่มซุปชามนี้ก่อน”