นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 481 กุหลาบขาวอันลึกลับ
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 481 กุหลาบขาวอันลึกลับ
ทันใดนั้นฮ่อหยุนเฉิงก็แสดงแววตาที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจออกมา ใบหน้าคมของเขาพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่พนักงานในบริษัทของตระกูลฮ่อกรุ๊ปไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน ฝ่ามือกว้างตวัดเข้ารัดรอบเอวของซูฉิงจนร่างทั้งสองแนบชิดติดกัน
“ใครๆต่างก็รู้ว่าคำพูดคำจาไม่ปกติพวกนี้ฉันใช้มันพูดกับเธอเท่านั้น เพราะคำพูดหวานๆฉันก็ต้องเก็บไปพูดกับภรรยาของฉันเท่านั้น ถ้าฉันไม่พูดกับภรรยาของฉันเธอคิดว่าฉันจะไปพูดกับใครได้อีก?”
ไม่ใช่ว่าซูฉิงไม่เคยเห็นฮ่อหยุนเฉิงในบริบทที่อบอุ่นแบบนี้ แต่บางทีเธอก็คิดว่าบรรยากาศมันค่อนข้างอบอุ่นและดูคลุมเครืออยู่ในที เธอพยายามผ่อนคลายความเกร็งลงอย่างช้าๆ ฝ่ามือบางยื่นมือออกมาจากผ้าห่มแล้วโอบแขนเข้ากับรอบคอของฮ่อหยุนเฉิงและค่อยๆดึงร่างของชายตรงหน้าให้เข้ามาแนบชิดเธออีกเล็กน้อย ซูฉิงเผยรอยยิ้มกว้างและแนบริมฝีปากไปหยุดอยู่บริเวณใบหูของฮ่อหยุนเฉิง และพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “หยุนเฉิง คุณเป็นคนใจดีมาก”
ฮ่อหยุนเฉิงไม่ได้ตอบกลับอะไรอีกฝ่าย ดวงตาคมของฮ่อหยุนเฉิงนิ่งขรึมลงแต่หัวใจของเขาก็ลุกเป็นไฟราวกับว่าเขากำลังถูกหญิงสาวตรงหน้ารุกจีบอยู่ไม่ปาน เขาเอื้อมมือไปจับใบหน้าของซูฉิงจ้องมองไปยังใบหน้าสวยนั้น แล้วจึงก้มหน้าลงไปประทับจูบอย่างอ่อนโยน เขาประกบจูบหญิงสาวตรงหน้าอยู่นานราวกับว่าเขาต้องการจะกลืนกินเธอให้หมดทั้งตัว
และในขณะเดียวกันมือที่ไม่อยู่นิ่งและซุกอยู่ใต้ผ้าห่มหนาของฮ่อหยุนเฉิงก็เริ่มออกปฎิบัติการ ชายหนุ่มค่อยบรรจงประทับรอยรักสีชมพูไว้บนบริเวณลำคอและไหปลาร้าของหญิงสาวอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
เมื่อบรรยากาศคลุมเครือและชวนให้เผลอไผลมันกำลังเกิดขึ้น ซูฉิงก็พยายามดึงสติของเธอกลับมาทันที เธอเป็นคนมีหลักการและข้อยึดปฎิบัติที่เธอไม่อาจฝ่าฝืนได้ หญิงสาวมีกฎเหล็กที่ร่างไว้คือเธอจะไม่มอบตัวให้อีกฝ่ายก่อนการแต่งงาน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นฮ่อหยุนเฉิงคนที่เธอชอบมากก็ตาม
“ไม่ได้!”
ก่อนที่ฮ่อหยุนเฉิงจะก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไป ซูฉิงรีบยื่นมือของเธอออกมาและดันเข้าไปที่หน้าอกของเขาเพื่อยับยั้งอีกฝ่าย “หยุนเฉิง…นายสัญญากับฉันแล้วว่าเราจะรอจนกว่าเราจะแต่งงานกัน นายทำได้ใช่ไหม?”
“……”
ฮ่อหยุนเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างแรง เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังพุ่งทะยานให้กลับมาเป็นปกติ
ซูฉิงกำลังจะทำให้เขาคลั่งแทบบ้า
แต่หลังจากที่ได้เห็นดวงตารู้สึกผิดของหญิงสาวแล้ว เขาก็ไม่สามารถบังคับเธอได้และสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบตกลงเธอไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับกฎเหล็กของซูฉิงแต่เขาจะทำอย่างไรได้? ภรรยาของใครใครก็ต้องรักใครก็ต้องอย่างจะตามใจ ซึ่งเขาเองก็เช่นกัน
“ก็ได้” เขาหายใจออกอีกหลายเฮือกใหญ่ถึงแม้ว่าน้ำเสียงที่ตอบรับของเขาจะอ่อนโยน แต่เขาก็ยังคงต้องระงับอารมณ์บางอย่างและกดมันกลับลงไปให้ลึกที่สุด ฮ่อหยุนเฉิงเอื้อมมือไปเกาปลายจมูกของซูฉิงเบาๆ
“เธอกำลังจะทำให้ฉันคลั่งตาย เอาล่ะ เธอไปนอนก่อนแล้วกัน ฉันขอออกไปข้างนอกแปปนึง”
ใบหน้าและลำคอของซูฉิงแดงระเรื่อขึ้นด้วยความเขินอาย เธอพยักหน้าเบาๆ และหันหลังกลับไป ร่างสวยห่อร่างตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกและปิดลง เธอก็พลันปิดเปลือกตาแน่นแต่มุมปากของเธอกลับกระตุกยิ้มน้อยๆอันแสนหวานออกมา
……
“การสัมภาษณ์ในวันนี้จบลงเพียงเท่านี้ ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า”
หลังจากเดินออกจากห้องถ่ายทอดสด หลิวเสี่ยวหนิงก็เอนตัวนอนลงบนโซฟาพลางบิดขี้เกียจและลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตั้งแต่เธอได้ร่วมงานกับเฉินจุนเหยียน ความนิยมของเธอในแวดวงบันเทิงของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นมาก ผู้จัดการส่วนตัวจึงถือโอกาสนี้ในการโปรโมทเธอไปในตัว ในแต่ละวันเธอจะต้องไปร่วมสัมภาษณ์ในหลายๆรายการและหลายๆช่องทางถ่ายทอดสด
“เหนื่อยมากสินะ” ผู้จัดการส่วนตัวยื่นขวดน้ำให้เธอเพื่อดื่มคลายความเหนื่อยล้า
“มันเหนื่อยจริงๆแหละ!” หลิวเสี่ยวหนิงนอนขี้เกียจอยู่บนโซฟา เธอเอนตัวยาวและปล่อยให้กระดูกส่วนเอวของเธอผ่อนคลายลงจากการนั่งสัมภาษณ์เป็นเวลานาน “ครั้งต่อไปฉันสามารถถ่ายทอดสดทานอาหารได้ไหม?”
“ถ่ายทอดสดทานอาหาร? คุณอยากกินอะไรล่ะ?” ผู้จัดการเหลือบมองหลิวเสี่ยวหนิงอย่างพยายามเก็บข้อมูลจากอีกฝ่าย
“กินอะไรก็ได้หรือเตรียมชานมให้ฉันสักแก้วก็ได้” หลิวเสี่ยวหนิงคิดในใจ แต่การแสดงออกบนใบหน้าของเธอกำลังเผยให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอยากทำอะไร จึงทำให้ผู้จัดการทื่ยืนอยู่ข้างๆยกนิ้วขึ้นมาจิ้มศีรษะเธอไปหนึ่งที
“คุณไม่รู้หรือว่าชานมนั้นถูกขนานนามว่าเป็นนักฆ่าดาราหญิง และคุณลืมไปแล้วเหรอว่าคุณต้องควบคุมน้ำหนักตัวเอง ฉันรู้สึกว่าการถ่ายแบบลงหน้าปกนิตยสารครั้งล่าสุดของคุณ ดูเหมือนว่าคุณจะอ้วนขึ้นนิดหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิวเสี่ยวหนิงที่กำลังรอลบเครื่องสำอางก็ยืดเอวของเธอขึ้นและรีบโต้กลับทันทีว่า “ฉันไม่อ้วนนะ ฉันไม่รู้ว่ากล้องมันสามารถทำให้ฉันดูอ้วนขึ้นหรือเปล่า? ฉันสวยและดูดีในทุกๆวันต่างหากล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้นะเหมือนกันนะว่าผู้หญิงคนไหนที่ออกปากบ่นถึงคอมเมนต์ไม่กี่วันก่อนว่าเธออ้วนขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร”
ผู้จัดการสาวเอ่ยปปากพูดอย่างติดตลก แต่กลับทำให้หลิวเสี่ยวหนิงที่ฟังอยู่มีอาการงอแงขึ้นมาทันที
ระหว่างที่หลิวเสี่ยวหนิงกำลังนั่งรถกลับ จู่ๆผู้จัดการก็เอ่ยแจ้งกัลหลิวเสี่ยวหนิงว่าเธอต้องรับถ่ายแบบโฆษณาในอีกไม่กี่วัน
“กลับถึงห้องก็อย่านอนดึกล่ะ แล้วก็อย่าลืมบำรุงผิวด้วย”
“ฉันต้องไปถ่ายโฆษณาอะไร? โฆษณาเกี่ยวกับเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว?” หลิวเสี่ยวหนิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“โฆษณาแชมพูสระผม” ผู้จัดการสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“แชมพูสระผม?” หลิวเสี่ยวหนิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคว้าผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกย้อมไว้จากการถ่ายแบบหน้าปกนิตยสารเมื่อสองสามวันก่อน เธอเงียบลงไปครู่หนึ่งและใช้ความคิด
สีผมใหม่ที่เพิ่งจะย้อมมาได้ไม่กี่วันจะต้องถูกย้อมกลับซะแล้ว คิดแล้วก็ปวดใจเหลือเกิน
“ยังไม่ได้รับการสรุป แต่เก้าสิบเปอร์เซนต์ในโฆษณานี้คุณต้องเป็นคนถ่ายมัน”
ผู้จัดการเอ่ยพูดพลางหันไปมองที่หลิวเสี่ยวหนิง หญิงสาวข้างๆเริ่มลงมือกดเซลฟี่อย่างเมามันด้วยโทรศัพท์มือถือของเธอ
“ขอถ่ายไว้เป็นที่ระลึกหน่อยว่าการย้อมสีผมของฉันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” แม้ว่าน้ำเสียงของหลิวเสี่ยวหนิงจะค่อนไปทางผิดหวัง แต่การแสดงออกทางสีหน้าของเธอกลับยิ้มแย้มและมีชีวิตชีวา
“จริงสิ คุณสามารถโพสต์รูปภาพลงบนเพจหลักของคุณและคุยโต้ตอบกับแฟนคลับคุณได้ เพราะการถ่ายทอดสดเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปเมื่อสักครู่” ผู้จัดการเอ่ยปากเตือนหญิงสาวถึงเรื่องสำคัญในการเทคแคร์แฟนคลับ
หลิวเสี่ยวหนิงเองก็เข้าใจถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี เธอกดเลือกภาพถ่ายสองสามรูปจากแกลลอรี่และโพสต์ลงบนเพจหลักในทันที เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็ได้รับช้อความตอบกลับจากบรรดาแฟนคลับมากมาย
เธออดยิ้มกว้างให้กับคำพูดของเหล่าบรรดาแฟนคลับของเธอไม่ได้
อันที่จริงตอนแรกเธอไม่คิดว่าการเข้าสู่วงการบันเทิงจะเป็นเรื่องดี เพราะในทุกๆวันเธอจะต้องเผชิญหน้ากับกล้องและเผชิญหน้ากับสื่อบันเทิงต่างๆในทุกวัน ชีวิตแบบนี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกกดดันและหดหู่อยู่ไม่น้อยเลย
แต่ต่อมาเมื่อหลิวเสี่ยวหนิงได้ติดต่อพูดคุยกับเหล่าแฟนคลับและได้เห็นผู้คนมากมายที่แสดงความรักต่อเธอจริงๆ เธอก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
หลิวเสี่ยวหนิงไล่อ่านข้อความที่แฟนคลับส่งมา และสายตาก็สะดุดเข้ากับชื่อของจินจิ่นหราน
ตั้งแต่ครั้งนั้นที่อีกฝ่ายช่วยเธอไว้ เราทั้งสองคนก็ได้เพิ่มข้อมูลการติดต่อซึ่งกันและกัน และพวกเราก็มักจะพูดคุยกันอยู่เสมอ
“วันนี้คุณไลฟ์สดไปแล้วเหรอ? เสียดายจังที่ผมเพิ่งเลิกงานเลยไม่ได้ดู”
“คุณเพิ่งเลิกงานเวลานี้เหรอ? คุณหมอคงงานยุ่งมาก”
“พอดีมีผู้ป่วยรายหนึ่งอาการทรุดลงอย่างกะทันหันหลังการผ่าตัด จึงทำให้สถานการณ์โดยรวมไม่ค่อยดีเท่าที่ควร”
“คุณคงลำบากและเหนื่อยมากเลยสินะ” หลิวเสี่ยวหนิงพึมพำเบาๆเมื่อได้อ่านข้อความของจินจิ่นหราน
“มันเป็นหน้าที่ แต่ผมอยากบอกคุณว่าสีผมใหม่ของคุณมันดูดีมากเลยนะ” ริมฝีปากของจินจิ่นหรานยกยิ้มขึ้นเมื่อมองดูภาพบนหน้าจอ
“ถึงจะดูดีแต่ฉันก็เก็บมันไว้ได้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวฉันก็ต้องไปย้อมสีผมกลับแล้ว”
ข้อความจากหลิวเสี่ยวหนิงตามมาด้วยสติ๊กเกอร์ร้องไห้ ทำให้จินจิ่นหรานนึกถึงสีหน้าของหลิวเสี่ยวหนิงในตอนที่ถูกผู้จัดการตำหนิผ่านทางโทรศัพท์ต่อหน้าเขาเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งสองคุยพูดคุยกันได้สักพัก หลิวเสี่ยวหนิงก็เดินทางกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้ว และจินจิ่นหรานจึงจบการสนทนากับหญิงสาวด้วยข้อความว่าราตรีสวัสดิ์
วันรุ่งขึ้นหลิวเสี่ยวหนิงก็ได้เข้ามาบริษัทตามปกติ แต่เธอกลับถูกแผนกต้อนรับขวางทางไว้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลิวเสี่ยวหนิงมองดูใบหน้าลึกลับของหญิงสาวที่ประจำแผนกต้อนรับ ทำให้เธอรู้สึกสับสนขึ้นในทันที
แผนกต้อนรับมองหลิวเสี่ยวหนิงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นจึงหยิบช่อดอกไม้ปริศนาขนาดใหญ่ออกมายื่นให้กับเธอ หลิวเสี่ยวหนิงมีอาการตกใจและมึนงงไม่น้อยกับภาพตรงหน้า
“ให้คุณ” พนักงานต้อนรับยื่นดอกไม้ปริศนานั้นให้เธอ
“ให้ฉัน?” หลิวเสี่ยวหนิงยกมุมปากขึ้นพลางแสดงสีหน้าท่าทางมึนงงตอบกลับไป
หญิงสาวคนนี้ที่อยู่แผนกต้อนรับก็เป็นแฟนคลับของเธองั้นเหรอ แต่เธอทำงานอยู่ที่แผนกต้อนรับของบริษัทมาหลายปีแล้วนะ แต่หญิงสาวเพิ่งจะมาเปิดเผยตัวว่าเป็นแฟนคลับของเธอในวันนี้เนี่ยนะ?
เมื่ออีกฝ่ายเห็นสายตาที่น่าสงสัยของหลิวเสี่ยวหนิง หญิงสาวแผนกต้อนรับจึงรีบโบกมือปฎิเสธอย่างรวดเร็วเพื่ออธิบาย ” วันนี้มีพนักงานผู้ชายส่งดอกไม้ช่อนี้มาให้คุณ บนนามบัตรมันเขียนเป็นชื่อคุณ แต่ไม่มีชื่อผู้ส่ง”
หลิวเสี่ยวหนิงรับช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาไว้ในอ้อมกอดด้วยความมึนงง เธอมองสังเกตไปยังช่อดอกไม้ปริศนาที่ถูกเสียบด้วยการ์ดการ์ตูนลายน่ารักและไหนจะมีอิโมจิรูปหน้ายิ้มที่ถูกวาดขึ้นมาอีก เธอมองช่อดอกไม้ในมือและจึงเผยยิ้มกว้างออกมา
กุหลาบสีขาวถือเป็นดอกไม้โปรดของหลิวเสี่ยวหนิงเลย
แน่นอนว่าหลิวเสี่ยวหนิงไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะแฟนคลับหลายๆคนก็เคยส่งดอกไม้มาให้เธอ และเรื่องความชอบดอกกุหลาบขาวของเธอก็ดูจะไม่ใช่ความลับอะไร
แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือนับจากวันนั้นทุกๆวันหลิวเสี่ยวหนิงจะได้รับช่อดอกไม้สดที่ไม่มีชื่อผู้ส่ง มีเพียงแต่ใบหน้ารูปยิ้มที่ถูกวาดขึ้นมาเท่านั้น
“ได้รับดอกไม้อีกแล้วเหรอ?”
ผู้จัดการสาวเองก็รู้สึกคุ้นชินและไม่แปลกใจแล้วเมื่อเห็นภาพที่หลิวเสี่ยวหนิงเดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่ เธอเอื้อมมือออกไปและเด็ดกลีบดอกไม้ที่บานอยู่เล่น แล้วจึงส่งยิ้มให้หลิวเสี่ยวหนิง