นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 512 ฉันไม่เชื่อว่าจะกุมหัวใจนายไม่ได้
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 512 ฉันไม่เชื่อว่าจะกุมหัวใจนายไม่ได้
หลายวันที่ผ่านมานี้เขาล้วนไม่ได้พบกับมิเชลเลย ฮ่อหยุนเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เห็นทีว่าหญิงสาวคงจะคิดได้และตัดสินใจกลับไปที่ฝรั่งเศสแล้ว หรือไม่เธอก็คงจะช็อปปิ้งอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ก็เป็นการดีแล้วที่หญิงสาวไม่มาวุ่นวายกับเขาอีก
ในตอนนี้ราวกับทุกๆอย่างกำลังกลับสู่สภาพที่ควรจะเป็น ความสัมพันธ์ของฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงก็กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และนับวันยิ่งใกล้วันที่ทั้งสองคนจะได้หมั้นหมายกันเข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นในช่วงนี้ฮ่อหยุนเฉิงจึงค่อนข้างยุ่งและต้องจัดการเรื่องต่างๆเยอะแยะมากมาย
นอกจากจะต้องเข้าไปประชุมและจัดการเอกสารในบริษัทแล้ว เขายังต้องพาซูฉิงไปลองชุดแต่งงานและลองแหวนแต่งงาน ในตอนนี้ชีวิตของเขาล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องของซูฉิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในวันนี้ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินออกมาจากร้านขายเครื่องประดับนั้นเอง ซูฉิงเอื้อมมือมาคว้าแขนของฮ่อหยุนเฉิงไว้พลางพูดด้วยรอยยิ้มสวยว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีแต่งงานแล้ว แต่ในสองสามวันมานี้บริษัทนายกำลังวุ่นอยู่กับการติดต่อธุรกิจไม่ใช่เหรอ นายไม่ต้องมาตามดูแลฉันหรอก นายไปทำธุระของนายให้เสร็จเถอะ”
“เธอไม่ต้องกังวลนะ เรื่องที่บริษัทฉันจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว และในตอนนี้ข่าวเรื่องการแต่งงานของเราใครๆต่างก็พากันทราบดี เพราะฉะนั้นถ้าฉันตามติดเธอไปทุกที่แบบนี้มันก็ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป”
ชายหนุ่มลูบมือลงบนบ่าของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มหญิงสาวประสานสายตาเข้าหากันและต่างฝ่ายต่างส่งรอยยิ้มหวานหยดย้อย และในขณะนั้นเองจู่ๆฮ่อหยุนเฉิงก็ได้รับสายโทรศัพท์จากบอดี้การด์ส่วนตัวของมิเชล
“ท่านประธาน แย่แล้วครับ คุณมิเชลหายตัวไป!” เสียงตะโกนดังลั่นจากบอดี้การ์ดของมิเชลทำให้ฮ่อหยุนเฉิงขมวดคิ้วเป็นปม และหันไปสบตากับซูฉิง
เดิมทีเขารู้สึกว่าตนเองไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายได้โทรมารายงานเขาขนาดนี้แล้วจะให้เขาทำใจดำไม่สนใจก็เห็นทีจะเป็นการใจร้ายเกินไป และยิ่งมิเชลเองไม่ได้คุ้นเคยกับที่นี่เพราะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ชอบพอหญิงสาวแต่เขาก็คงทำใจดำปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้
ซูฉิงเองก็ได้ยินเสียงดังของอีกฝ่ายที่ดังลอดลำโพงโทรศัพท์ออกมา คิ้วคมขมวดเป็นปมพลางเอ่ยออกมาด้วยความเป็นกังวล “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น นายลองซักถามเขาสักหน่อยสิ”
ฮ่อหยุนเฉิงพยักหน้าพลางเอ่ยถามข้อมูลจากปลายสายต่อทันที “มันเกิดอะไรขึ้น เธอหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ประมาณสองชั่วโมงก่อน ในตอนนั้นฉันกำลังจะส่งอาหารเข้าไปให้ท่านหญิง แต่เคาะประตูห้องเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเปิดออกมา ฉันเลยโทรให้พนักงานมาเปิดห้องให้แต่กลับพบว่าในห้องไม่มีคนอยู่ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าท่านหญิงรับโทรศัพท์คนบางคนและถูกนำตัวออกไป ฉันรู้แค่เบอร์โทรศัพท์ของท่านประธานฮ่อเท่านั้นจึงโทรมาขอความช่วยเหลือ ท่านประธานช่วยฉันตามหาท่านหญิงหน่อยเถอะ!”
เสียงของบอดี้การ์ดคนสนิทเต็มไปด้วยความร้อนใจและน่าสงสารในทีเดียวกัน ฮ่อหยุนเฉิงตวัดคิ้วคมและวางสายจากบอดี้การ์ดของมิเชล จากนั้นต่อสายหาบอดี้การ์ดของตนทันที “ท่านหญิงมิเชลหายตัวไป นายรีบจัดคนไปหาให้ทั่วเมือง A!”
เมื่อสั่งการเสร็จฮ่อหยุนเฉิงยัดโทรศัพท์กลับไปยังกระเป๋าเสื้อดังเดิม ชายหนุ่มเหลือบเห็นสีหน้าไม่สบายใจของซูฉิงก็จับมือเธอขึ้นมาบีบเบาๆ “มิเชลเป็นถึงหญิงสูงศักดิ์ ตอนนี้เธอหายตัวไป ฉันจึงจำเป็นต้องช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเธอ ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นการไม่ช่วยเหลือเพื่อนของฉัน”
ซูฉิงพยัหน้าตอบรับด้วยความเข้าใจ “ฉันเข้าใจดี งั้นตอนนี้พวกเราไม่ต้องไปเดินช็อปปิ้งกันแล้ว การตามหาคนเป็นเรื่องสำคัญกว่า ฉันกังวลว่ามิเชลจะตกอยู่ในอันตราย”
ทั้งฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงต่างพากันออกตามหายังสถานที่เฟื่องฟูและแหล่งช็อปปิ้งต่างๆทั่วเมือง A และพยายามถามไถ่คนแถวนั้นว่ามีใครพบเห็นมิเชลหรือไม่ พวกเขาตามหามิเชลจนถึงเวลาพลบค่ำแต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลย ไม่มีใครรู้ว่ามิเชลถูกพาตัวไปที่ไหน
ฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงตามหามิเชลมาทั้งวันแต่ก็ไร้วี่แววหญิงสาว ทั้งคู่จึงพากันกลับบ้านด้วยความไม่สบายใจ ฮ่อหยุนเฉิงพยายามโทรศัพท์สอบถามความคืบหน้าจากบอดี้การ์ดของมิเชลอยู่เรื่อยๆ แต่ก็กลับไม่ได้ข่าวสารอะไรเพิ่มเติม
จวบจนถึงเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง โทรศัพท์ของฮ่อหยุนเฉิงก็มีคนแปลกหน้าโทรเข้ามา
ซูฉิงเดินมาหยุดอยู่เคียงข้างฮ่อหยุนเฉิงและพากันมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้อง ฮ่อหยุนเฉิงตัดสินใจรับสายเพราะเกรงว่าสายเรียกเข้านี้จะพัวพันกับการหายตัวไปของมิเชล
“ฮัลโหล ว่าไง”
“ท่านประธานฮ่อใช่ไหม?” เสียงแปลกประหลาดดังมาจากปลายสาย ฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายใช้เครื่องแปลงเสียงในการพูดคุยอย่างแน่นอน
“คุณคือใคร มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
ปลายสายส่งเสียงหัวเราะร่าออกมา ฟังดูแล้วค่อนข้างเป็นเสียงที่รบกวนประสาทหูเป็นอย่างมาก “ฉันอยากจะบอกคุณว่าท่านหญิงมิเชลอยู่ในกำมือของพวกเรา คุณคือผู้ติดต่อเพียงคนเดียวที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอ ถ้าคุณอยากจะช่วยเธอกลับไป คุณต้องมาหาเธอที่บนเกาะเมือง B”
“มิเชล นี่พวกแกทำอะไรเธอ?” เพียงฮ่อหยุนเฉิงได้ยินชื่อของมิเชล ชายหนุ่มก็รีบถามไถ่อย่างรวดเร็ว แต่ยังแฝงด้วยท่าทีนิ่งขรึม
เสียงปลายสายพูดขึ้นด้วยเสียงที่น่ากลัวขึ้นกว่าในตอนแรก “พวกเราคอยติดตามเธอมาหลายวันแล้ว ท่านหญิงจากฝรั่งเศสคงจะรีดไถ่เงินได้ไม่น้อยสินะ? น่าเสียดายที่ในโทรศัพท์เธอมีแค่เบอร์คุณเบอร์เดียว ถ้าคุณอยากช่วยเธอล่ะก็ให้มาที่เกาะภายในสองชั่วโมง ที่สำคัญห้ามพาใครมาด้วยเด็ดขาด อย่าคิดว่าเราไม่กล้าทำร้ายเธอ!”
เมื่อผู้ไม่ประสงค์ดีพูดจบสายก็ถูกตัดลงไป ฮ่อหยุนเฉิงกัดริมฝีปากแน่นด้วยความกังวล เขาหันหน้ากลับไปมองซูฉิงด้วยความเคร่งขรึม “คนที่พาตัวมิเชลมันโทรมา พวกมันพามิเชลไปบนเกาะ ตอนนี้ฉันจะต้องไปช่วยมิเชล แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะระวังตัวให้ดี เธออยู่ที่บ้านและรอฉันกลับมา”
ซูฉิงเองก็มีความกังวลไม่น้อย เธอไม่รู้ว่ามิเชลไปทำให้ใครโกรธ แต่การแก้สถานการณ์ในตอนนี้ให้ดีที่สุดคือการช่วยมิเชลกลับมาก่อน
ฮ่อหยุนเฉิงรีบออกไปจากบ้านด้วยความรีบร้อน และเพราะในเวลานี้ใกล้ถึงเวลาที่ไม่มีเที่ยวเรือไปยังเกาะแล้ว เขาจึงไม่ได้ฉุกใจนึกสงสัยอะไร เขารีบกระโดดขึ้นเรือเที่ยวสุดท้ายและมุ่งตรงไปยังเกาะทันที เมื่อถึงที่นั่นท้องฟ้าก็มืดครึ้มและดำขลับแล้ว
ในขณะนั้นเองผู้ไม่ประสงค์ดีก็ต่อสายโทรศัพท์หาเขาอีกหลายครั้ง พวกมันคอยบอกทิศทางให้เขามายังห้องไม้ซอมซ่อหลังหนึ่งบนเกาะ
เมื่อฮ่อหยุนเฉิงเห็นห้องไม้ซอมซ่อเก่าๆห้องนั้นหวนให้เขานึกถึงความทรงจำวัยเด็กที่ไม่สู้ดีนักของตน
แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากผู้ไม่ประสงค์ดีว่ามิเชลถูกขังอยู่ด้านใน เขาจึงผลักบานประตูและค่อยๆเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ และเมื่อฮ่อหยุนเฉิงเดินเข้าไปภายในเขาก็พบเข้ากับมิเชลที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่กลางห้อง สีหน้าและท่าทางของหญิงสาวราวกับไม่ได้ถูกจับตัวมาแต่อย่างใด