นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 130 หอชิงเฟิงซี่หยู่
ตอนที่ 130 หอชิงเฟิงซี่หยู่
สายตาเขามองเห็นคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามา เป็นทหารของทางการ
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ท่านหัวหน้า ที่นี่มีศพถูกตัดหัว ! ”
ผ่านไปชั่วครู่ก็มีคนเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูซิ ว่านี่คือจ้าวหมาจื่อใช่หรือไม่ ? ”
“อืม คล้ายคลึงมาก แต่ว่า…ท่านหัวหน้าขอรับ ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เพียงนักกวีหรอกหรือ ? จ้าวหมาจื่อนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอชิงเฟิงซี่หยู่ อีกอย่างหนึ่ง ท่านหัวหน้าขอรับ คนจากหอชิงเฟิงซี่หยู่จะกระทำเรื่องเหล่านี้หรือ ? ”
“อย่าได้เอ่ยไปให้มากความ เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านผู้ว่าการเมืองจัดการ นำศพของเขาและหยางชีแบกกลับไปให้ท่านผู้ว่าการเมือง แล้วจำใส่หัวไว้ว่าหากท่านผู้ว่าการเมืองมิได้กล่าวสิ่งใด พวกเจ้าก็อย่าได้เอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว ! ”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ ! ”
“ออกค้นหาต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจลงมือสังหารทั้งสองได้เพียงลำพัง เขาจะต้องมีผู้ช่วยแน่นอน คาดว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
ฟู่เสี่ยวกวนมิกล้าลงไป เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้ และมิอาจไว้ใจใครได้
หากเป็นแผนการหลอกล่อเขาให้ตายใจขึ้นมากันล่ะ ?
เช่นนั้นเขาคงมิอาจเอาตัวรอดได้เป็นแน่
คนกลุ่มนั้นขึ้นไปค้นหายังภูเขา และพบรอยเลือดที่หยดอยู่ พวกเขาพูดคุยกันชั่วครู่ จากนั้นแยกย้ายกันตามหา
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจับตามองทหารเหล่านั้น ณ จุดที่เขาซ่อนตัวก็ปรากฏบุคคลหนึ่งขึ้น
เขารีบหยิบมีดขึ้นและฟันลง แต่ได้ยินเสียงแผ่วเบากล่าวออกมาว่า “ข้าเอง”
ซูม่อ !
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเข้าใจว่าซูม่อนั้นน่ารักเพียงใด
เขายิ้มออกมาด้วยความโล่งอก แต่มีดเจ้ากรรมได้ตกลงไปที่พื้นด้านล่าง เขาหลับตาลง คอเอียงเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
……
……
ฉินโม่เหวินมิได้นอนตลอดคืน เขานั่งอยู่ที่จวนผู้ว่าการเมือง
ท้องฟ้าเริ่มสาง คิ้วคู่นั้นมองไปคล้ายทวีความกังวลมากขึ้น
ผ่านไปกว่าสามชั่วยามแล้ว ยังมิมีรายงานจากผู้ใดเลย
เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชือเฉาหยวนขุ่นเคืองใจที่พระราชวังจินเตี้ยน และเขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนแย่งชิงต่งชูหลานไปจากเยี่ยนซีเหวิน เนื่องจากก่อนหน้านี้เยี่ยนซีเหวินคิดว่าแม่นางต่งชูหลานจะต้องแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน
แต่เรื่องเหล่านี้มิใช่เหตุผลที่แท้จริง ฉินโม่เหวินคาดว่าเหตุผลที่มีใครบางคนส่งนักฆ่ามาจัดการเขา คงเป็นเพราะนโยบายบรรเทาสาธารณภัยต่างหาก !
นโยบายนั้นได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท อีกทั้งกรมคลังได้จัดการร่างระเบียบต่าง ๆ เสร็จสิ้น ใกล้ถึงเวลาดำเนินการเต็มที การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ขัดผลประโยชน์ของผู้คนมากมาย รวมถึงบางคนในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกแห่งเมืองหลวงนี้
พวกเขาเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง และกองกำลังใต้ดินนั้นก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
พวกเขาเหล่านั้นมีเหตุผลมากพอที่จะฆ่าฟู่เสี่ยวกวน และสามารถทำได้โดยง่ายดาย
เรื่องนี้ฉินโม่เหวินเคยได้ยินมาจากต่งชูหลานและรับรู้ว่าแก้ไขได้ยากยิ่ง เขาเพียงแต่ภาวนาให้ฟู่เสี่ยวกวนถูกพบตัวโดยปลอดภัย
ผ่านไปอีกครึ่งยาม ท้องฟ้าสว่างขึ้น ฉินโม่เหวินดื่มชาเข้าไปอีกสองถ้วย และในที่สุดเขาก็ได้รับข่าวสารแรก
ทหารสี่นายแบกศพสองศพเข้ามาด้านใน คนหนึ่งเข้าไปกระซิบรายงานข้างหูฉินโม่เหวิน เขาขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบชนกัน
หอชิงเฟิงซี่หยู่ ?
“ไปสืบสวนข้อมูลของทั้งสองมา อีกทั้ง…ดูจากสถานการณ์ที่พวกเจ้าพบ ฟู่เสี่ยวกวนมีอันตรายหรือไม่ ?”
“ที่ตีนเขาลั่งซานมีกระท่อมหลังหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ท่านจินเชียนฮู่กล่าวว่าฟูเสี่ยวกวนน่าจะถูกจับตัวมายังที่กระท่อมนั้นก่อน จากนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนีออกมา หรืออาจจะมีผู้ติดตามมาช่วย ท่านจินเชียนฮู่คาดว่าเป็นอย่างที่สองมากกว่า เนื่องจากไม่ไกลจากกระท่อมเท่าไรนักพบศพของหยางชีถูกธนูปักสามดอก ดอกที่ปลิดชีพเขาคือดอกที่ปักตรงลูกกระเดือก พวกเราออกตามหาเขาทั่วภูเขา พบศพของจ้าวหมาจื่อ ที่ขาถูกธนูปักหนึ่งดอก ที่กลางอกหนึ่งดอก หัวถูกตัดขาด ท่านจินเชียนฮู่จึงได้คิดว่ามีคนมาช่วยฟู่เสี่ยวกวนแน่นอน เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความสามารถในการฆ่าทั้งสองได้ด้วยตนเอง”
ฉินโม่เหวินมองไปที่ศพของทั้งสอง มองอยู่ชั่วครู่จากนั้นกล่าวว่า “ออกตามหาต่อไป ! ”
ร่างไร้วิญญาณทั้งสองนั้นถูกส่งไปยังห้องพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป
ฉินโม่เหวินนั่งลงนำมือประสานกันถูไปมา คล้ายกับไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วดื่มน้ำเข้าไป จากนั้นลุกขึ้นสั่งการว่า “เตรียมรถม้า ไป……จวนต่ง”
ต่งชูหลานเองก็มิได้นอนทั้งคืนเช่นกัน นางเฝ้ารอคอยด้วยความร้อนรนใจกระทั่งรุ่งเช้า เมื่อถึงยามสายจึงได้รับข่าวสารที่ฉินโม่เหวินได้บอกกล่าว
ฉินโม่เหวินมิได้เข้าไปในจวน แต่ยืนอยู่หน้าจวนและกล่าวว่า “ยังหาเขามิเจอ แต่แม่นางอย่าได้กังวลไป เขาน่าจะปลอดภัย เนื่องจากนักฆ่านั้นจับได้แล้ว บัดนี้ข้าต้องการเชิญแม่นางเดินทางเข้าวังไปพบพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ทูลว่า…ข้าอยากทูลเชิญองค์ชายห้ามาร่วมดื่มชาเสียหน่อย”
ต่งชูหลานฉลาดหลักแหลม เมื่อนางได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงและถามว่า “เป็นคนจากหอชิงเฟิงซี่หยู่งั้นหรือ ? ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า ต่งชูหลานกล่าวว่า “ข้าจักไปเดี๋ยวนี้”
ต่งชูหลานรีบเดินทางเข้าวังด้วยป้ายหยกที่หยูเวิ่นหวินให้นางไว้ นางเดินทางไปพบหยูเวิ่นหวินก่อน หยูเวิ่นหวินตกใจเสียจนหน้าซีด จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปยังวังเตี๋ยอี๋
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็ทรงตกใจมากเช่นกัน นางรีบให้ขันทีเหนียนไปตามองค์ชายห้ามา แต่เมื่อนางคิดทบทวนดูแล้ว เรื่องนี้มิน่าใช่นิสัยของหยูเวิ่นเต้าที่จะกระทำการเยี่ยงนี้
เหตุที่ฉินโม่เหวินมิได้ทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ คาดว่าคงมีความคิดเช่นเดียวกับนาง แม้ว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้านี้จะก่อเรื่องขึ้นมากมาย แต่ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
เมื่อครั้นหยูเวิ่นเต้าอายุได้ 6 ปี เขาได้ถูกพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพาไปฝึกวิทยายุทธ ณ เจี้ยนหลิน หนึ่งนั้นเนื่องจากหยูเวิ่นเต้าชื่นชอบ สองนั้นเนื่องจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมิประสงค์ให้องค์ชายห้าเข้าแย่งชิงบัลลังค์
เมื่ออายุครบ 15 ปี หยูเวิ่นเต้าฝึกฝนตนจนสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับมายังเมืองหลวง เขาใช้เวลา 3 ปีในการจัดการเมืองจินหลิงที่แสนวุ่นวาย เหล่าอันธพาลเร่ร่อนของเมืองจินหลิง และกลุ่มโจรลวี่หลินซานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ดังนั้นเขาจึงสร้างกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในใต้ดินของเมืองจินหลิงนามว่า——หอชิงเฟิงซี่หยู่ขึ้น
พวกเขามิได้ปล้นฆ่าหรือทำลาย แต่ทำการค้าเป็นของตนเอง—— องค์ชายห้าทรงก่อตั้งกลุ่มคุ้มกันขึ้น คนเหล่านั้นถูกแบ่งเป็นหลายประเภท มีทั้งจับกุมผู้ร้าย ขนของ นำทางอีกทั้งธุรกิจด้านต่าง ๆ บัดนี้ชื่อเสียงของหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ลือเลื่องเป็นที่รู้จักของชาวลวี่หลิน และขยายกิจการไปทั่วจนถึงแคว้นฝานและแคว้นอู๋
ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร องค์ชายห้าก็มิได้มีความโกรธแค้นกับฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด
อีกทั้งเมื่อคืนองค์ชายห้าก็ทรงอยู่ที่หงซิ่วจาวด้วย
องค์ชายห้าเดินทางมายังวังเตี๋ยอี้ หลังจากถวายบังคมเสด็จแม่เรียบร้อยก็ได้ฟังเรื่องราวจากต่งชูหลานโดยละเอียด เขาเองก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ข้าจะเดินทางไปพบท่านฉินโม่เหวินสักหน่อย อีกอย่าง…ข้าขอยืนยันว่าเหตุการณ์นี้มิใช่ข้าเป็นผู้บงการ”
เขายกมือขึ้นสาบาน มองขึ้นไปยังท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ผู้ใดกล้าดีแอบอ้างชื่อข้าไปฆ่าคนกัน ! ” จากนั้นก็หันไปทางแม่นางต่งชูหลานแล้วกล่าวว่า “หากมีข่าวสารจากฟู่เสี่ยวกวน รบกวนแม่นางช่วยส่งคนมาบอกข้าด้วย”