นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 165 เบญจมาศโรย ดอกบ๊วยใหม่ และหอแดง
ต่งชูหลานได้แจ้งเรื่องการมาเมืองหลวงของฟู่เสี่ยวกวนให้หยูเวิ่นหวินทราบแล้ว เพียงแค่ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ราชวังก็มีกิจธุระมากมาย ในวันนี้ต้องไปเข้าเฝ้าพระชนนีพอดิบพอดี เรื่องนี้ย่อมสำคัญอย่างแน่นอน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยย่อมมิอนุญาตให้หยูเวิ่นหวินออกมาก่อน
คาดว่าในตอนนี้หยูเวิ่นหวินคงจะเสร็จธุระแล้ว แต่นางกล่าวว่ามีธุระด่วน… ยังมีเรื่องด่วนอันใดอีกอย่างนั้นหรือ?
ทั้งสองไม่ได้รั้งอยู่ที่ถิงเหม่ยเป็นเวลานาน ฟู่เสี่ยวกวนเพียงทักทายกับต่งซิวเต๋อไม่กี่ประโยค แต่เจ้าต่งซิวเต๋อกลับกล่าวถึงหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว
ท่าทางลำพองดีใจนั้นทำให้ต่งชูหลานนึกชังจนอดที่จะเตะเขาไม่ได้
“เอาล่ะ ๆ รอจนธุระในหลายวันนี้ผ่านไป พวกเราค่อยไปหงซิ่วจาวเพื่อฟังหลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องคิ้วแข็งโค้งจะดีกว่า”
ทั้งสองคนขึ้นรถม้าคันเดียวกันกลับมาจนถึงจวนฟู่ หยูเวิ่นหวินที่สวมชุดสีแดงคลุมด้วยขนสัตว์กำลังยืนอยู่เพียงลำพังในศาลาเถาหราน เหม่อมองหิมะบนทะเลสาบซวนอู่ที่แข็งเป็นน้ำแข็ง
ฟู่เสี่ยวกวนและทั้งสองคนเดินเข้าไป หยูเวิ่นหวินหันหน้ากลับมา ใบหน้าก็แย้มยิ้ม แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มองเห็นถึงความกลัดกลุ้มภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้น
ทั้งสามคนนั่งลง ชุนซิ่วนำถ่านใหม่มาลงให้ และเข้าโรงครัวไปเพื่อทำมื้อเที่ยง
“มิใช่ว่าบิดาของเจ้าและเหล่ามารดาทั้งหลายของเจ้าจะมาด้วยเยี่ยงนั้นหรือ”
“พูดไปพวกเจ้าก็มิเชื่อ บิดาของข้าเก่งกาจยิ่งนัก แต่งงานได้ 2 เดือน มารดาทั้งห้าของข้าก็ตั้งครรภ์ มิสามารถทนต่อแรงกระแทกของการเดินทางได้ ดังนั้นจึงต้องอยู่ที่หลินเจียงเท่านั้น”
ใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองแดงระเรื่อขึ้นมาทันพลัน แต่ในใจกลับคิดว่า… อะไรนะ
มีสตรีทั้งสองที่แตกต่างกันแต่มิมีใครในโลกนี้เทียบได้นั่งอยู่ข้างกาย ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่รุนแรง เขาอยากจะคว้าหญิงสาวทั้งสองเข้ามากอด แต่เขาก็ต้องยับยั้งความคิดนี้เอาไว้อย่างสุดกำลัง อย่างไรก็ยังมีวันข้างหน้า
“เป็นเยี่ยงนี้…” หยูเวิ่นหวินก็เก็บอาการตื่นเต้นไป ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “สองวันก่อนหน้านั้น ทูตราชวงศ์อู๋ที่พักอยู่ที่เมืองหลวงได้นำเอกสารมาหนึ่งฉบับ กล่าวว่าเทศกาลอาหารฤดูหนาวในปีหน้าราชวงศ์อู๋จะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งแรกในใต้หล้า ณ วัดหานหลิง ขอเชิญผู้มีความสามารถจากทั่วทุกแคว้นมาเข้าร่วม ประการแรกเพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ราชวงศ์อู๋ครบรอบขึ้นสิบปีของจักรพรรดิเหวิน ประการที่สองคือเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพหกสิบปีของพระชนนีแห่งราชวงศ์อู๋ ประการที่สาม… เพื่อเพิ่มชื่อเสียงดีงามในด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ แต่เมื่อเทียบกับราชวงศ์หยูก็ยังห่างกันหลายขั้น เหวินตี้หวังจะใช้งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้กระตุ้นนักกวีของราชวงศ์อู๋ ผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์หยูของเรามีจำนวน 100 คน แคว้นฝานมี 30 คน แคว้นอี๋มีเพียง 20 คน และแคว้นฮวงมีเพียง 10 คน”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้นก็เอ่ยถาม “นี่มิเกี่ยวข้องกับข้า ให้ขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่วส่งบัณฑิตไป 100 คนก็ได้แล้วมิใช่หรือ ?”
ต่งชูหลานกลอกสายตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้ บางเวลาสมองก็ดีอย่างกับอะไร แต่บางเวลาก็เหมือนคนสมองทึบ กลับฟังความหมายของคำพูดนี้ไม่ออก !
ทันใดนั้น หยูเวิ่นหวินก็เงยหน้ามามองฟู่เสี่ยวกวน “ที่น่าประหลาดใจก็คือในเอกสารฉบับนั้น นามที่ถูกระบุเอาไว้นั้นมีเพียงเจ้า !”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากด้วยความงงงัน “นี่หมายความว่าข้าต้องไปเยี่ยงนั้นรึ ?”
“เรื่องนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ในเมื่อเหวินตี้เอ่ยชื่อเจ้ามาแล้ว เสด็จพ่อย่อมให้เจ้าไป นี่คือเวลาเผยแพร่ชื่อเสียงของราชวงศ์หยู ความจริงต่อให้เหวินตี้ไม่เลือกเจ้า ข้าก็คาดได้ว่าเสด็จพ่อย่อมให้ส่งเจ้าไป ใครใช้ให้ตอนนี้เจ้าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์และโด่งดังที่สุดของราชวงศ์หยูกัน”
หยูเวิ่นหวินกล่าวคำพูดนี้โดยที่จ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความคับแค้นใจ ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ก็บริสุทธิ์อย่างมาก
สตรีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด หากเจ้าไร้ชื่อเสียง พวกนางก็จะไม่สนไม่แลเจ้า แต่หากเจ้าโด่งดังมากไป พวกนางก็จะมิสบายใจอย่างยิ่ง
เหตุใดชื่อบนเอกสารนี้จึงชี้ไปที่นามของฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้ทำให้หยูเวิ่นหวินข้องใจอยู่นาน วันนี้เอ่ยถามเสด็จแม่ เสด็จแม่ก็เพียงยิ้มให้
“เสด็จแม่ให้ข้ามาเชิญเจ้าและชูหลานไปทานข้าวเย็นที่วังเตี๋ยอี๋”
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าภายในนั้นมีพิธีการอันใด แต่เมื่อเป็นเทียบเชิญจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเขาย่อมต้องไป ส่วนเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ เขามิสนใจอย่างแท้จริง
ก่อนวันเทศกาลอาหารฤดูหนาวสองวันก็เป็นวันเช็งเม้ง เขายังมีธุระอีกมากมายที่เมืองหลวง ที่ซีซานก็ยังต้องรอการติดต่อทางจดหมายจากเขา หากต้องไปราชวงศ์อู๋ อย่างน้อยก็ทำให้ล่าช้าไปสองถึงสามเดือน ที่สำคัญคือเรื่องนี้มิได้มีประโยชน์อันใด กล่าวได้อีกว่าหากชนะงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้นมา อย่างมากที่สุดก็คงเป็นการที่องค์จักรพรรดิจะกล่าวถึงเขาในฐานะฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า
เอาเถอะ ก็เหมือนว่าจะเป็นหนทางที่ดี
เรื่องนี้มาทำให้แผนเดิมของฟู่เสี่ยวกวนปั่นป่วน จึงทำได้เพียงเปลี่ยนแผนเท่านั้น
ต่งชูหลานไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋มากนัก รู้ว่าราชวงศ์อู๋มีนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากอยู่ผู้หนึ่งมีนามว่าเหวินสิงโจว ความรู้ทางวรรณกรรมราวกับมหาสมุทร ออกเดินทางด้วยเรือลำเล็ก ปีนไต่ภูผาขึ้นไป เพื่อทัศนา!
คนผู้นี้เคยมาจินหลิง ทั้งยังบรรยายการสอนอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยนานนับเดือน เป็นผู้มีความรู้อย่างแท้จริง แม้แต่ขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่วก็นับถืออย่างมาก
และงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋นี้ คิดอย่างไรคุณชายเหวินผู้นี้ก็ต้องเข้าร่วมเป็นแน่ ถึงขั้นเป็นไปได้อย่างมากที่ผู้ที่กำหนดหัวข้อก็คือเขา หรืออาจจะเป็นผู้ตรวจในขั้นสุดท้ายก็เป็นได้
ต่งชูหลานเปลี่ยนความคิด บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นที่รู้จักระดับแนวหน้าของโลก ต่อให้เป็นเหวินสิงโจว ก็อยากที่จะสร้างความยากลำบากให้แก่บทกวีเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนคงมิดังในราชวงศ์อู๋หรอก
หลังจากทานอาหารกลางวันทั้งสามก็พูดคุยกัน ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนนำน้ำหอมและสบู่ที่หอบมามอบให้กับต่งชูหลาน น้ำหอมมีไม่มาก แต่สบู่นั้นมีมาหลายกล่องใหญ่
“ของสิ่งนี้ใช้ยามอาบน้ำ ตอนนี้ทำขึ้นมาเพียง 2 กลิ่น พวกเจ้าลองดู”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหยิบแกะสบู่ที่ถูกห่อด้วยกระดาษออกและสัมผัสอย่างระมัดระวัง อย่างแรกคือเรื่องกลิ่น ในมือของต่งชูหลานคือกลิ่นดอกมะลิ ในมือของหยูเวิ่นหวินคือกลิ่นดอกกุ้ยฮวา กลิ่นเบาบางกว่าน้ำหอมอยู่มากโข สัมผัสได้ถึงความลื่นในมือ ยามนี้เป็นฤดูหนาว จึงเย็นมาก
“ข้าเองก็มิทราบว่าโดยปกติพวกเจ้าใช้สิ่งใดยามอาบน้ำ ของสิ่งนี้ใช้ถูตามร่างกายยามอาบน้ำ ทำความสะอาดผิวได้ดียิ่งขึ้นและทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น อย่างไรแล้ว พวกเจ้าก็ลองด้วยตนเองก่อน”
ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกาย หากของสิ่งนี้เป็นไปตามที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าว ย่อมขายดีเป็นแน่ โดยเฉพาะฤดูร้อน
“เรียกให้คนนำของสิ่งนี้ไปส่งที่ถิงเหม่ย วางไว้ 2 กล่อง ถึงเวลาก็ส่งของเหล่านี้ให้แก่คุณหญิงคุณหนูผู้สูงศักดิ์”
“ข้าเองก็จะนำกลับตำหนัก หากใช้ดี คาดว่าเสด็จป้าเองก็คงสนใจ หากของสิ่งนี้ได้เข้าสู่พ่อค้าหลวงย่อมมีหนทางการขายเพิ่มอีกหนึ่ง”
ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมาถาม “ต้นทุนของชิ้นนี้เท่าใด”
“ต้นทุนประมาณ 5 อีแปะ”
ของสิ่งนี้ทำมาจากน้ำมันหมู เถ้าพืช แอลกอฮอล์ และเครื่องหอมที่เจือจาง ปริมาณผลิตสูงมาก แต่เมื่อคำนวณต้นทุนแล้วกลับไม่แพง
“พวกเราลองใช้ก่อนแล้วค่อยกำหนดราคา”
ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยสิ้นเชิง ตามแผนเดิมคือน้ำหอมจะขายในราคา 1 ตำลึงแต่ในวันนี้กลับถูกหญิงสาวทั้งสองขายไปในราคา 10 ตำลึงต่อหนึ่งขวด มิมีของแล้ว ทั้งนี่ยังเป็นฤดูหนาว หากถึงหน้าร้อนคงร้ายแรงยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจแล้วว่าจะหาเวลาว่างเขียนจดหมายถึงบิดาของเขา ต้องเพิ่มกำลังการผลิตของน้ำหอม ให้ร้านขายกระจกของหยู๋จงถานผลิตเพิ่มอีกหลายสิบชุด
เมื่อถึงเวลา พวกเขาทั้งสามก็ได้ลุกขึ้นตรงไปยังวังเตี๋ยอี๋
ซั่งกุ้ยเฟยมิได้อยู่ในวังเตี๋ยอี๋ แต่กลับอยู่ที่ป้านเยี่ยนซวนทางด้านหลังสวนดอกไม้
ป้านเยี่ยนซวนมีหน้าต่างทั้งสี่ด้าน ใจกลางมีโต๊ะน้ำชา ตำรา ซู่ฉิน และกระบี่ยาว ในยามที่กลุ่มหยูเวิ่นหวินมาถึงป้านเยี่ยนซวนตามการนำทางของขันทีเหนียน พระสนมซั่งก็กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างและมองหิมะที่คลุมเต็มสวน
ด้านข้างโต๊ะน้ำชานั้นยังมีคนนั่งอยู่อีกหนึ่ง เขาคือองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า ซึ่งในยามนี้กำลังต้มชาอยู่
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา เขาก็เหลือบมองขึ้นมา หลังจากนั้นก็ยิ้มให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน และก้มหน้าลงไปต้มชาดังเดิม
นี่คือเหยียนฉาที่เก็บมาจากด้านหลังเขาของป่ากระบี่ด้วยตนเอง ใช้น้ำหิมะที่สดใหม่ ในยามนี้กาค่อยมีควันลอยขึ้นมา น้ำยังมิเดือด หยูเวิ่นเต้าก็เทเหยียนฉาลงไปหนึ่งช้อน ลดไฟลงมากโข หลังจากนั้นกลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งจมูก
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและก้มคำนับด้วยความเคารพ แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมขอถวายบังคมพระสนมเอกพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยดึงสายตากลับมาและหันหลังกลับ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “พิธีรีตองเกินไปแล้ว มาเถอะ นั่งลงกันเถิด ชูหลาน มาข้างข้า”
หยูเวิ่นหวินเบะปาก นั่งประกบซ้ายขวาของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นเต้ากลับนั่งลงข้างกันซึ่งตรงกันข้ามกับซั่งกุ้ยเฟย
“เมื่อครู่ข้ากำลังมองสวนดอกเบญจมาศของข้า มองมิเห็นแล้ว ต่างถูกหิมะกลบจนมิด… ความจริงแล้วก็มิมีอันใดน่ามอง ดอกเบญจมาศที่อยู่ใต้กองหิมะต่างเหี่ยวเฉาจนหมด หลายวันมานี้ข้าคิดจะดึงพวกมันขึ้นมา แต่กลีบดอกไม้เหล่านั้นก็แค่เคยงดงาม ข้าก็เป็นอันต้องพับความคิดนั้นไป แต่คิดว่ามันไร้ความหมาย ให้พวกมันตายไปตามธรรมชาติ และในตอนนี้ก็กลัวเพียงแค่ว่าจะจมลงไปในดินเหนียว”
หยูเวิ่นเต้ารินน้ำชาหนึ่งจอกและส่งให้กับพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
“ไต้ยวี่ในความฝันในหอแดงของเจ้าฝังศพถึงสามครา ข้ารู้สึกว่านางถูกต้อง นางเข้าใจดอกไม้ รู้สึกว่าหากดอกไม้ตกลงไปในดินเหนียวคงจะสะอาดที่สุด กวีดอกไม้ฝังศพนั้นก็เขียนได้ดียิ่ง เมื่อสิ้นฤดูใบไม้ผลิ บุปผาร่วงโรยผู้คนตายจากมิอาจรับรู้… น่าเศร้าสลดเกินไป ดังนั้นแท้จริงข้าได้คาดคิดถึงจุดจบของหลินไต้ยวี่ไว้แล้ว ข้ามิรู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงสามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้ แต่ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าคือ ฤดูไม้ผลิยังมิสิ้นบุปผาก็ร่วงโรย เจ้าได้ตามข้ามา…”
ซั่งกุ้ยเฟยเดินมาที่หน้าต่างอีกครา ครั้งนี้นางเปิดหน้าต่างออก ความหนาวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา แต่เหมือนกับนางมิรู้สึกถึง
“เจ้าดู ดอกเบญจมาศที่ข้าตั้งอกตั้งใจและเฝ้ารอเหล่านั้นต่างมิมีแล้ว แต่เจ้าลองมองไปยังป่าบ๊วยที่อยู่ตรงนั้น กลับมีดอกตูมผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ผ่านไปไม่เพียงกี่วันเท่านั้น มันก็จะบานแล้ว”
“ที่พูดมานั้นมิใช่เพราะข้าปลงอนิจจังกับจุดจบของหลินไต้ยวี่ ข้าเพียงนึกถึงปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด เจ้าเป็นแสงสว่าง แล้วเหตุใดในหนังสือกลับมืดมนเยี่ยงนั้น ราวกับได้ปลดความคิดบางส่วนของเจ้าออกมา ในวันนี้ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะถามเจ้า เจตนาที่แสดงผ่านดอกไม้ของไต้ยวี่ จวนเจี๋ยมืดมนและสกปรกจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ?”
คำพูดที่ดูไร้ขอบเขตของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยนั้นฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี ความจริงแล้วความหมายที่ซ่อนอยู่ในความฝันในหอแดงก็คือความไม่พอใจที่มีต่อราชสำนัก ผู้ประพันธ์ต้องการแสดงความไม่พอใจนี้ผ่านออกมาทางจวนเจี๋ย
ทุกคนที่ได้เห็นบางทีอาจจะเป็นคู่รักที่อยู่ในเรื่องราวของความรุ่งโรจน์และเสื่อมโทรมของภายในจวนเจี๋ย แต่พระสนมซั่งที่ฉลาดหลักแหลม ย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ความจริง… ข้านั้นโปร่งใส และจะโปร่งใสตลอดกาล”
ซั่งกุ้ยเฟยหันหน้ามองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอีกว่า “ความมืดและความสกปรกของจวนเจี๋ยนั้นเป็นเรื่องจริง ความจริงแล้วมันมิสามารถเสื่อมลงได้ เหตุผลที่แท้จริงก็คือมันขาดแสงสว่างไป ยามที่เขียนตำรา ข้ามิได้ดำดิ่งไปกับหมอกควันนั้น แต่กลับทำให้ข้าเข้าใจหนึ่งหลักการ นั่นก็คือ… แสงสว่างท้ายที่สุดก็ปัดเป่าความมืดมิด ก็เหมือนกับบุปผาที่จะผลิบานได้ในทุกฤดูกาล”