นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 289 ไร้ซึ่งความปรารถนา
ตอนที่ 289 ไร้ซึ่งความปรารถนา
ฝานเทียนหนิงนั้นดื่มสุราเก่งกาจยิ่งนัก เขานั่งอยู่ทางซ้ายมือของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงย่อมยกจอกชนกับฟู่เสี่ยวกวนได้ทุกเมื่อ และมิได้ทำการใดให้ระแคะระคาย วาจาและท่าทีของเขานั้นช่างระมัดระวังเหลือเกิน
บัดนี้ทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระของแคว้นฝาน และตอนนี้กำลังเอ่ยถึงเมืองซีหลายซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฝาน
ณ เมืองซีหลายมีวัดน้อยใหญ่กว่าแปดสิบวัด หนึ่งในนั้นคือวัดหล้านถัว วัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางของวัดทั้งหมด หากฟู่เสี่ยวกวนได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองซีหลายสักครา ฝานเทียนหนิงได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะพาเขาไปนมัสการท่านอาจารย์ของแคว้น ซึ่งนั้นก็คือท่านหนิงซาเจ้าอาวาสวัดและเชิญมาทำพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่เขา
นี่เป็นพิธีต้อนรับอย่างสูงส่งที่สุดแก่แขกรับเชิญที่ฝานเทียนหนิงจะจัดเตรียมไว้ให้ได้ หากฝานเทียนหนิงสามารถนมัสการท่านอาจารย์ของแคว้นได้นั้นก็แสดงว่าเขามีฐานะใหญ่โตในพระราชสำนักพอสมควร
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ฝานเทียนหนิงและฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ชนจอกกันอีกครา แล้วเขาก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา “ก่อนออกเดินทางท่านเอกอัครราชทูตประจำเมืองจินหลิงได้ส่งสาส์นมาว่าบทประพันธ์งานเทศกาลโคมไฟนั้นได้ถูกจารึกไว้ลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสืออีกครา อีกทั้งยังมีบทความเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว ที่ได้ถูกจารึกเป็นลำดับหนึ่งบนหินเชียนเปยสือเช่นกัน ข้าขอเอ่ยตามตรง น้องชายผู้นี้นับถือความสามารถของท่านพี่มิเสื่อมคลาย ข้าใคร่ถือโอกาสที่แสงจันทร์กระจ่างลมตกเช่นนี้อ้อนวอนให้ท่านพี่ช่วยประพันธ์คำบทกวีสักบทให้ข้าได้เชยชมจะได้หรือไม่ ? ”
สายตาของฝานเทียนหนิงนั้นมองด้วยความคาดหวัง
ส่วนดวงตาของอู่หลิงนั้นแจ่มจรัสเสียยิ่งกว่าแสงดารา
หรือแม้แต่คูฉานเองก็ราวกับได้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา เขาหันไปหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างรอคอย เพียงแค่สายตาของเขานั้นมิได้ดูคลั่งไคล้เฉกเช่นฝานเทียนหนิงแต่ก็ดูพองโตอยู่มิน้อย
เมิ่งซีที่บัดนี้กำลังรินสุรา เมื่อได้ยินเช่นนั้นมือของนางจึงสั่นแล้วเผลอรินสุราหกใส่แขนเสื้อของซูเจวี๋ย นางรู้สึกหวาดผวาแล้วกำลังจะเอ่ยขอโทษ แต่ซูเจวี๋ยกลับบอกปัดว่ามิเป็นไร
ฟู่เสี่ยวกวนถือจอกสุราไว้ในมือ สายตาคู่นั้นดูมึนงงเล็กน้อย เมื่อได้ยินฝานเทียนหนิงเชื้อเชิญเช่นนั้นเขาจึงเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นยืน
“น้องฝานเมื่อครู่ยามที่พวกเรากำลังเดินเข้ามาในอาคารนี้ ข้าได้เห็นว่าด้านนอกมีสวนลูกแพร์และมีดอกแพร์อยู่ประปราย ข้าอยากจะนำดอกแพร์นั้นมาเป็นใจความสำคัญในการประพันธ์ เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
“ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ! ”
หยูเวิ่นหวินลุกขึ้นมาประคองฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ แต่เขาได้เอามือปัดแล้วเอ่ยกล่าว “เวิ่นหวินยอดรัก อย่าได้เป็นห่วงข้าเลย แม้ว่าข้าจะเมามายแต่ก็ยังมีพวกเจ้าอยู่ข้างกาย แล้วข้าจะหวั่นเกรงอันใดอีก ”
แค่คำว่ายอดรักก็ทำเอาหยูเวิ่นหวินขัดเขินเสียจนหน้าแดงเรื่อ และก็ได้ทำให้อู่หลิงตะลึงเสียจนอ้าปากค้างเช่นกัน คุณชายท่านนี้ช่างดึงดูดใครไปทั่วเสียจริง ๆ
ต่งชูหลานกรอกตาใส่เขาแล้วเอ่ยต่อเมิ่งซี “ขอให้แม่นางได้โปรดช่วยเตรียมพู่กันน้ำหมึกพร้อมกับกระดาษด้วยเถิด”
ซูซูจ้องมองเขาตาเขม็ง ถึงเวลาที่เขาจะแสดงละครตบตาทุกคนอีกแล้วสินะ ทุกคราที่ต้องประพันธ์กวี เขาจะทำได้ดีเยี่ยมตลอดมาและมักจะตบตาทุกคนได้สมจริงเสมอ !
เมิ่งซีรีบไปยังห้องหนังสือเพื่อไปเอาพู่กันหมึกและกระดาษโดยเร็ว ฝานซีหนิงได้สั่งให้เก็บจานชามต่าง ๆ บนโต๊ะเพื่อเตรียมความพร้อม
โต๊ะขนาดใหญ่ได้โล่งเปล่าในที่สุด แล้วมีกระดาษสีขาวแกมเหลืองกางเอาไว้บนโต๊ะแล้วเรียบร้อย เมิ่งซีได้ฝนหมึกด้วยความตั้งใจ เดิมทีนางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนจดบันทึกคำกลอนที่ได้เปล่งออกมาจากปากของตน แต่ทว่ากลับคาดการณ์มิถึงว่าจะเป็นต่งซูหลานเองที่ได้ยืนอยู่หน้ากระดาษแผ่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมาแล้วดื่มไปหนึ่งอึก เมื่อเห็นว่าคนทั้งโต๊ะได้จ้องมองเขาด้วยสายตากระตือรือร้น เขาก็ได้เอ่ยขึ้นมา “บทกวีนี้มีนามว่าไร้ซึ่งความปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง”
“แคว้นฝานนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำแคว้น ศาสนาพุทธนั้นเน้นย้ำในการหลุดพ้นแห่งห้วงของความปรารถนา ข้าจำได้ดิบดีว่าในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรนั้นได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนแต่ไร้ซึ่งความเที่ยงแท้ ไร้ซึ่งตัวตนแห่งข้า ไร้ซึ่งคนอื่นใด ไร้ซึ่งการธำรงอยู่และไร้ซึ่งชีวิตที่ยืนยาว ด้วยเหตุนี้จึงขอมอบนามให้แก่บทประพันธ์นี้ว่าไร้ซึ่งความปรารถนา”
คูฉานนั้นตกตะลึงยิ่งนัก ดวงตาของเขานั้นได้ส่องประกายขึ้นมาทันใด เพราะในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรมิได้มีข้อความที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเอ่ยออกมา
ครานี้ที่ได้ติดตามฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝานนั้นท่านอาจารย์ได้กำชับเขาหนักหนา “จงสดับฟัง จงมอง จงพินิจ แต่จงอย่าเอ่ยอันใด อย่าคิดลำเอียงและอย่าคิดฟุ้งซ่าน”
เพลานี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาว่า ทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนแต่ไร้ซึ่งความเที่ยงแท้ ไร้ซึ่งตัวตนแห่งข้า ไร้ซึ่งคนอื่นใด ไร้ซึ่งการธำรงอยู่และไร้ซึ่งชีวิตที่ยืนยาว ด้วยเหตุนี้จึงขอมอบนามให้แก่บทประพันธ์นี้ว่าไร้ซึ่งความปรารถนา
คูฉานกล้าที่จะเอาชื่อเสียงของอาจารย์ของตนมารับประกันว่าในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรนั้นไม่มีคำกล่าวดังที่ว่า แต่คำเมื่อครู่นั้นทำให้จิตใจที่รักในพระธรรมของเขานั้นสั่นไหว ราวกับว่าได้รู้ซึ้งถึงสัจธรรมบางอย่าง แต่แท้จริงแล้วนั้นกลับมิถ่องแท้ในสักอย่าง ช่างมิต่างกับตัวหนังสือที่คลุมเครือและยากจะเข้าใจในคัมภีร์
ทว่าท่านอาจารย์ได้กล่าวว่านี่คือแก่นสารแห่งศาสนาพุทธ บุษบาย่อมมิใช่บุษบาเสมอไปและหมอกควันก็ย่อมมิใช่หมอกควันเสมอไป แต่ในมุมมองของคูฉานนั้น เขาคิดว่าคำพูดนั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนนั้นไม่อาจรู้ซึ้งในรสของพระธรรมแห่งศาสนาพุทธ แต่เจ้าอาวาสเองไม่ยอมให้เขาลาสิกขาสักที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาทุกข์ใจอยู่มิน้อย เขาเลยเปลี่ยนเป็นคนมิค่อยพูดจาดั่งจักจั่นที่เปล่าเปลี่ยวตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาสามารถท่องพระคัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาในหอไตรของวัดหล้านถัวทั้งหมดได้คล่องแคล่วยิ่งนัก แต่คราหนึ่งเมื่อเขาพยายามเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ขึ้นมา เขากลับพบว่าเขาได้เข้าใจมันผสมปนเปไปจนเละเทะเสียหมด ตั้งแต่นั้นสืบมาเขาก็มิคิดถึงคำกล่าวที่ว่าจิตในอดีตปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้ จิตในปัจจุบันปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้ แม้จิตในอนาคตก็ปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้เช่นกัน คูฉานคิดว่าคำกล่าวนี้มันช่างไร้สาระสิ้นดี !
ต้องการแก่นสารอันใดกัน ?
ข้ามิไยดีกับอดีตปัจจุบันและอนาคตอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ข้าปรารถนาคือดวงใจขององค์หญิงสิบเอ็ด !
แต่ว่าเจ้าอาวาสได้สั่งห้ามเอาไว้ว่าห้ามผู้ใดแต่งงาน แน่นอนเสียว่าจักฝักใฝ่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มิได้เป็นอันขาดแล้วก็มิอาจได้ครอบครองดวงใจขององค์หญิงสิบเอ็ดดั่งที่หมายปองอีกด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะคิดเยี่ยงไรกับตัวข้า ?
ดังนั้น หากมองตามหลักการแล้ว คูฉานนั้นมิมีคุณสมบัติที่จะเป็นพระสงฆ์เอาเสียเลย
แต่เขามีข้อดีอย่างหนึ่งคือความจำที่แม่นยำอย่างยิ่ง แม่นยำขนาดที่ว่าหากผ่านสายตาแล้วจะมิมีวันลบเลือน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาเขาก็นึกเอาว่าฟู่เสี่ยวกวนแค่เมาแล้วเอ่ยออกมาอย่างมิได้ใส่ใจเท่านั้น เขารำลึกถึงคำสอนของอาจารย์อยู่เสมอเลยไม่แม้แต่จะเก็บคำกล่าวนั้นมาคิดฟุ้งซ่าน
ทว่ากลับกันนั้นฝานเทียนหนิงบัดนี้ดีใจยิ่งราวกับปลาได้น้ำ เพราะเหตุใดนะหรือ ?
เพราะว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้หลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาประยุกต์เป็นชื่อกวีบทใหม่ !
นี่มันเป็นการบรรลุผลสำเร็จขั้นไหนกัน ?
หลักคำสอนของศาสนาพุทธนั้นได้ยึดตามแบบแผนมิแปรเปลี่ยนมากว่าพันปีแล้ว และเพิ่งจะได้รับรู้สิ่งแปลกใหม่ก็เมื่อครู่นี้เอง
เมื่อใดก็ตามที่ได้มีคำกล่าวทำนองนี้ปรากฏขึ้นมา นั่นก็หมายความว่านักปราชญ์คนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว หากมันไม่โด่งดังมากพอก็มิอาจถูกจารึกอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ได้ แต่หากสามารถที่จะจารึกอยู่ได้ตราบชั่วกาลนาน ก็ย่อมจะได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้หลงใหลในบทกวี
ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วบทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่จะโด่งดังสะท้านฟ้าหรือไม่ ?
เช่นนั้นต้องดูเนื้อความทั้งหมดที่กำลังจะประพันธ์ออกมาเสียแล้ว
ฝานเทียนหนิงยังคงตื่นเต้นมิหยุดหย่อน ส่วนอู่หลิงนั้นกลืนน้ำลายแล้วเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งกร้านของตน บัดนี้จัวตงหลายอะไรนั่นได้ถูกนางลืมทิ้งไว้ยังที่ที่แสนไกลเสียแล้ว
หยูเวิ่นหวินกัดริมฝีปากตนแล้วมองฟู่เสี่ยวกวนที่ยกจอกสุรามาถืออยู่ด้วยความหลงใหล ส่วนต่งชูหลานพยายามรวบรวมสติให้ตนสามารถจับพู่กันอย่างมั่นคงได้
ซูโหรวหยุดเย็บปักถักร้อยแล้วหันสายตาที่ดูละเมียดละไมคู่นั้นไปทางซูซู
ซูซูที่นั่งขยับขายาว ๆ คู่นั้นอยู่บนเก้าอี้สีหน้าของนางนั้นได้เผยรอยยิ้มจาง ๆ แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนตอนเมานั้นดูดีกว่าตอนปกติขึ้นมาหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะหยุดคิดอะไรอยู่ชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อ
“มวลชนท่องเที่ยวยามวสันตฤดูเอิกเกริกในทุกปี ดอกแพร์บานสะพรั่งต้อนรับหานสือเจี๋ย
ช่างหอมฟุ้งขาวนวลไร้มลทิน ลำต้นดั่งหยกงาม ขาวปานหิมะ
ค่ำคืนเงียบสงัด สาดแสงครุมเครือ เย็นระเรื่อจันทร์ส่องผ่องอำไพ
ดุจสวรรค์บนผืนพสุธา แสงเงินสาดส่องทั่วหล้า”
ฝานเทียนหนิงสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จนสุด เมื่อเขาได้ยินถึงตอนนี้ก็ได้รู้ซึ้งแล้วว่ากวีบทใหม่ได้ถือกำเนิดมาแล้ว เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง ราวกับว่าตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ขยายตนเองให้สูงใหญ่ขึ้นมาดั่งหินผา ทำให้เขาปรารถนาจะขึ้นไปเหยียบย่ำแต่ก็ยากที่จะปีนป่ายเสียเหลือเกิน
นี่มันเป็นพรแห่งสวรรค์ชั้นใดกัน !