นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 179 อาจารย์ช่วยเธอขอแต่งงานไหม
ตอนที่ 179 – อาจารย์ช่วยเธอขอแต่งงานไหม?
นับถอยหลัง 168:00:00
ในเรือนจำหมายเลข 18 ในความมืดมิด จู่ ๆ ในห้องขังห้องหนึ่งส่งลมปราณอันอบอุ่นออกมา
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ลมปราณอบอุ่นกลายเป็นแผดเผาขึ้นมาอีก
คลื่นความร้อนขุมนั้นกำลังถาโถมออกมาจากห้องขังนั้น ราวกับคลื่นทะเลยามค่ำบริเวณเส้นศูนย์สูตร
ในห้องขังสองห้องที่ติดกับห้องขังนี้มีนักโทษทุบประตูเลื่อนอัลลอยด์อย่างบ้าคลั่ง ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขายิ่งมายิ่งเบา น้ำในร่างกายก็กำลังระเหยไปอย่างรวดเร็วจากอุณหภูมิสูง ผ่านไปแค่สองนาทีก็เข้าสู่สภาวะขาดน้ำแล้ว
หลินเสี่ยวเสี้ยวที่กำลังนอนหลับอยู่ชั้นหนึ่งจู่ ๆ ลุกขึ้น เขามาที่ลานกว้างเงยหน้าทอดมอง แล้วหันไปสบตากับเยี่ยหว่านที่รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องเหมือนกัน “อเวคของระบบธาตุ?”
“อืม” เยี่ยหว่านพยักหน้า “เป็นห้องขังของหลิวเต๋อจู้”
หลินเสี่ยวเสี้ยวตกตะลึงอย่างสุดจะบรรยาย “เด็กนี่ประสบกับอะไรที่โลกภายนอกเนี่ย จู่ ๆ ก็อเวค?!”
ประตูเลื่อนอัลลอยด์บนลานกว้างเปิดออก พัศดีจักรกลหกตัวจัดเป็นสองทีมเดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ โดรนรังผึ้งที่อยู่เหนือเพดานก็ทิ้งตัวลงมา บินไปยังห้องขังที่ผิดปกตินั้น
“ช่วยคนก่อน” เยี่ยหว่านงอขาทั้งคู่เล็กน้อย กระโดดขึ้นไปบนทางเดินชั้นสามอย่างมั่นคงราวกับเสือร้ายหนึ่งตัว เขาเปิดประตูเลื่อนอัลลอยด์สองบานของห้องติดกัน โยนนักโทษที่ทรุดลงไปแล้วข้างในออกไปที่ไกล ๆ
คลื่นความร้อนในห้องขังกำลังแผ่ทะลุประตูเลื่อนอัลลอยด์ออกมา เส้นผมที่หน้าผากของเยี่ยหว่านก็เริ่มรู้สึกแห้งกรอบแล้ว
อึดใจต่อมา สนามพลังอันกึ่งโปร่งใสกางขึ้นข้างหน้าเขาอย่างกะทันหัน ตอนที่ความร้อนเข้าปกคลุมยังสามารถมองเห็นว่าบนสนามพลังทรงกลมนั้นจัดเรียงเป็นโครงสร้างรังผึ้งอย่างแน่นขนัด
เยี่ยหว่านยืนอยู่หน้าประตูห้องขัง สองข้างทางเดินที่เขาอยู่มีพัศดีจักรกลยืนประจำการฝั่งละสามตัว ข้างหลังเป็นโดรนที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เขากำลังรอคอย จนกระทั่งอุณหภูมิข้างในเริ่มลดลง เยี่ยหว่านจึงส่งสัญญาณให้พัศดีจักรกลเปิดประตูเลื่อนอัลลอยด์
เสียงคลิกดังขึ้น ประตูเลื่อนอัลลอยด์เปิดอ้า หลิวเต๋อจู้กำลังล้มนั่งบนพื้นอย่างอ่อนระโหย ของใช้ประจำวันในห้องล้วนถูกเผาเป็นเถ้าถ่านสีดำหรือสีขาวจนหมดสิ้น
สิ่งที่แปลกประหลาดคือ เสื้อผ้าบนตัวหลิวเต๋อจู้ถึงกับยังคงไม่บุบสลาย
หมอนี่อยู่ในสภาพซึม ๆ แต่พึมพำด้วยสีหน้าที่คึกคักเป็นพิเศษว่า “ฉันเป็นผู้อเวคแล้ว! ฉันกลายเป็นผู้อเวคจริง ๆ!”
“ออกมาเถอะ” เยี่ยหว่านกล่าว “จะเปลี่ยนห้องขังให้คุณ”
หลิวเต๋อจู้จู่ ๆ หันหน้ามา “บอสล่ะครับ? บอสผมกลับมารึยัง ผมจะรายงานข่าวนี้ให้กับเขาอะ ผมสำเร็จแล้ว!”
เยี่ยหว่านสีหน้าพิลึกขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาอันดับแรกของหมอนี่ถึงกับจะเป็นการต้องการรายงานข่าวการอเวคต่อชิ่งเฉิน
เขายังไม่รู้ว่า ในความเห็นหลิวเต๋อจู้ ถ้าไม่ใช่บอสชี้แนะให้เขารักษาความโกรธแค้นเอาไว้ ไม่แน่ว่าตอนนี้จะอเวครึเปล่าเลย……
เวลานี้ หลินเสี่ยวเสี้ยวมาถึงหน้าประตูกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “บอสคุณตอนนี้ไม่ว่างจะคุยกับคุณ”
“งั้นตอนนี้ผมเป็นแรงก์อะไรครับ?” หลิวเต๋อจู้ถาม
“แรงก์ C” หลินเสี่ยวเสี้ยวพิงประตูอย่างเบื่อหน่าย “อย่าเพิ่งดีใจเร็วขนาดนั้น ผู้อเวคกับผู้ฝึกตนไม่เหมือนกัน คุณอยากจะอัพแรงก์ยากเหมือนปีนป่ายขึ้นสวรรค์ เส้นทางหลังจากนี้ยังยาวไกลนะ”
……
……
ในป่า ข้างกองไฟโดดเดี่ยว หลี่ซูถงหัวเราะฮิ ๆ มองชิ่งเฉิน “กลับไปครั้งนี้ ยังมุ่งมั่นฝึกตนรึเปล่า”
“ครับ” ชิ่งเฉินพยักหน้าแล้วถอดเสื้อ เผยกล้ามเนื้อบนร่างกายตนเอง
หลี่ซูถงเหนือคาดอยู่บ้าง “ฉันจงใจไม่ได้เตือนให้เธอฝึกตน อยากจะเห็นท่าทางที่ไม่มีวินัยเป็นครั้งคราวของเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอถึงกับจะยังมุ่งมั่นอยู่ พิลึก หลังจากกลายเป็นอัศวินได้รับพลังมากขนาดนั้น เธอยังสามารถเห็นค่าของการพัฒนาขึ้นอย่างช้า ๆ ของการฝึกตนของตัวเองเหรอ?”
ก็อย่างที่คนมากมายจู่ ๆ ร่ำรวยขึ้นมา หลังจากบนตัวมีมูลค่าร้อยล้านแล้ว ถ้าหากบนพื้นมีคนทำเงินสิบหยวนตก คนร่ำรวยคนนี้อาจจะไม่เต็มใจจะก้มลงเก็บ
อย่าว่าแต่เงินสิบหยวนเลย หลายพันหยวนพวกเขาก็ไม่เห็นค่า
ทว่าหลี่ซูถงในขณะนี้รู้สึกว่า ถ้าหากชิ่งเฉินกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน เดินอยู่บนถนนถึงแม้จะเห็นเงินหนึ่งสตางค์ที่ฝังอยู่ในพื้นคอนกรีต นักเรียนคนนี้ของตัวเองก็จะคิดหนทางขุดเหรียญออกมา
ครูคนอื่นล้วนหวังว่านักเรียนจะสามารถมีวินัยขึ้นอีกหน่อย เขากลับหวังว่านักเรียนของตัวเองจะสามารถผ่อนคลายเป็นครั้งคราว
ความรู้สึกประเภทนี้ไม่เข้ากันเกินไปแล้วนะ!
ชิ่งเฉินสวมเสื้อกลับไปใหม่ เขาเพิ่มฟืนสองสามท่อนลงในกองไฟแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่ว่าผมมีวินัยมากมายอะไร คือผมคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หลินเสี่ยวเสี้ยวเคยบอกผมว่าต้องใช้สถานะคนธรรมดาไปประสบกับด่านเป็นตาย ดังนั้นผมรู้สึกว่าการฝึกตนต่อไปจะต้องสามารถใช้ประโยชน์แน่เลย”
หลี่ซูถงถอนหายใจ “เธอนี่มันฉลาดนัก”
“งั้นหลังจากอัศวินเลื่อนชั้นเป็นผู้เหนือมนุษย์แล้วควรจะทำยังไงให้กลับสู่สภาวะคนธรรมดาเหรอครับ?” ชิ่งเฉินสงสัย
“ฉันก็อยากจะให้เธอกลายเป็นผู้เหนือมนุษย์แล้วผ่อนคลายดี ๆ สักพักค่อยบอกเธอ” หลี่ซูถงกล่าว “เธอลองใช้วิชาหายใจด้วยความถี่แบบย้อนกลับดู”
ชิ่งเฉินทบทวนความถี่ของวิชาหายใจ พริบตานั้น สองข้างแก้มของเขามีลวดลายสีฟ้าน้ำแข็งเบ่งบานออกมาทันที ไม่เหมือนกับลวดลายเปลวเพลิงก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เพียงได้ยินเสียงคลิกในร่างกาย ชิ่งเฉินถึงกับรู้สึกว่ายีนล็อคที่ไขเปิดแล้วในร่างกายของตนเองปิดล็อคไปอีกแล้ว!
พลังที่ไหลเวียนในร่างกายก็ถูกดึงออกไปที่มุมหนึ่งหลังจากพริบตานี้
เขามองไปทางหลี่ซูถงอย่างปุบปับ “ครูครับ วันหลังการประสบกับด่านเป็นตายทุกครั้งล้วนต้องใช้วิชาหายใจย้อนกลับเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว” หลี่ซูถงพยักหน้า “หายใจย้อนหนึ่งครั้ง ร่างกายของเธอจะปิดล็อคหนึ่งชั่วโมง”
“อย่างนี้นี่เอง” ชิ่งเฉินพยักหน้า
เขาเก็บวิชาหายใจ แต่ยีนล็อคไม่ได้ไขเปิดออกมาใหม่เลย
“อย่างนี้ ตอนที่อัศวินประสบกับด่านเป็นตายไม่ใช่ว่าอันตรายเป็นพิเศษเลยเหรอครับ ถ้ามีคนจงใจขัดขวาง ด่านเป็นตายที่เดิมตายเก้ารอดหนึ่งก็จะกลายเป็นตายสิบไม่เหลือรอดแล้ว” ชิ่งเฉินถาม
“ดังนั้น ตอนที่อัศวินกำลังประสบด่านเป็นตายจะต้องรักษาความลับ” หลี่ซูถงกล่าว
“หรือว่าจะไม่มีวิธีฝืนไขเปิดยีนล็อคขึ้นมาใหม่เหรอครับ?” ชิ่งเฉินสงสัย “คงไม่ถึงกับให้ใคร ๆ มาเหยียบย่ำปะครับ”
“มี แต่ฉันหวังว่าเธอจะไม่ต้องใช้ไปตลอด” หลี่ซูถงกล่าว “หลังจากเธอใช้วิชาหายใจย้อนกลับ ฝืนใช้วิชาหายใจปกติอีกก็จะสามารถไขเปิดตรวนขึ้นมาใหม่ แต่ราคาก็คือ ชั่วชีวิตนี้ของเธอจะได้แค่หยุดอยู่ที่ขอบเขตในขณะนั้น”
ชิ่งเฉินเงียบงันไปชั่วขณะ “จะต้องมีรุ่นก่อนที่จ่ายราคานี้ออกไปด้วยเหตุนี้สินะครับ”
“ย่อมมี” หลี่ซูถงเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า “ขอบเขตของอาจารย์ลุงของเธอเฉินเจียจางก็หยุดชะงักไปเพราะเหตุนี้ ตอนที่เขาสำเร็จปรากฏแห่งกำลังถูกคนซุ่มโจมตีขัดขวาง ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกแล้ว ได้แต่หยุดขอบเขตอยู่ที่แรงก์ A ตลอดไป”
ที่แท้ อันตรายที่อัศวินต้องเผชิญตอนประสบด่านเป็นตายไม่ได้แค่มาจากธรรมชาติ ยังมีจิตใจมนุษย์อันชั่วร้าย
เวลานี้ ชิ่งเฉินรู้สึกว่าพลังหลังจากที่ตนเองกลายเป็นคนธรรมดามากกว่าก่อนที่เขาจะปีนหน้าผาเขาชิงซานมาก ๆ อย่างชัดเจน “ครูครับ ที่โลกภายนอกผมเจอเพื่อนที่สามารถควบคุมสนามพลังได้คนหนึ่ง สร้างห้องแรงโน้มถ่วงให้ผมฝึกตน ทำไมผมรู้สึกว่า ห้องแรงโน้มถ่วงกับวิชาหายใจสอดประสานกันแล้วพัฒนาขึ้นได้หลายเท่าเลยครับ”
“ควบคุมสนามพลัง?” หลี่ซูถงคิด “โลกภายในไม่ได้ปรากฏผู้อเวคที่สามารถควบคุมสนามพลังได้มานานมากแล้วล่ะ”
“แน่นอนครับ” ชิ่งเฉิน “มีคำอธิบายอะไรไหมครับ?”
“ผู้อเวคที่สามารถควบคุมสนามพลังเกิดมาก็เปล่งประกายแล้ว” หลี่ซูถงกล่าว “ขีดจำกัดของพวกเขาสูงมาก ความสามารถในการต่อสู้ก็แกร่งยิ่ง ในประวัติศาสตร์ยุคอารยธรรมใหม่ ผู้อเวคอย่างนี้แทบจะทุกคนล้วนมีบทบาทที่สำคัญมาก”
ชิ่งเฉินตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าสกิลของยางยางจะถึงกับทรงพลังขนาดนี้
เวลานี้ หลี่ซูถงถามว่า “เพื่อนเธอคนนี้เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงล่ะ? สามารถช่วยเธอสร้างห้องแรงโน้มถ่วงฝึกตน ความสัมพันธ์น่าจะไม่เลวถึงจะถูก”
“เด็กผู้หญิงครับ” ชิ่งเฉินตอบอย่างซื่อสัตย์
หลี่ซูถงตกอยู่ในห้วงคิด
“ทำไมเหรอครับท่านอาจารย์?” ชิ่งเฉินถาม
“รู้ว่าเธออยู่ไหนที่โลกภายในไหม มีครอบครัวรึเปล่า?” หลี่ซูถงมองไปทางชิ่งเฉิน “ต้องการให้อาจารย์ไปช่วยเธอขอแต่งงานรึเปล่า?”
ชิ่งเฉิน “……ท่านอาจารย์ ผมกับเด็กสาวคนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกันเลยนะครับ อีกอย่างตอนนี้ผมก็มั่นใจมากว่าที่จู่ ๆ เธอปรากฏตัวขึ้นมาก็เพราะมีเป้าหมายของตัวเอง ท่านก็อย่าไปคิดมากขนาดนั้นเลยนะครับ”
“เดินทางเถอะ” หลี่ซูถงกล่าว
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะไปไหนต่อครับ กลับคุกหมายเลข 18 เหรอ?” ชิ่งเฉินถาม
“กลับน่ะต้องกลับแน่ แต่ก่อนกลับไปทำธุระนิดหน่อยในเมืองหมายเลข 18 ก่อน” หลี่ซูถงยิ้มแล้วอธิบายว่า “ครั้งนี้เลขนับถอยหลังของเธอนานมากไหม?”
“7 วันครับ”
“กลับเมืองหมายเลข 18 ก็ใช้เวลาสี่วัน ถ้าเหลือสามวัน……พอแล้ว!” หลี่ซูถงเอ่ยอย่างหนักแน่น
ชิ่งเฉินฉงนอยู่บ้าง ท่านอาจารย์คนนี้อยากจะพาตนเองไปทำอะไรเนี่ย?
……
……
นับถอยหลัง 72:00:00
เมืองหมายเลข 18 เขตที่ 6 เวลากลางคืน
เด็กสาวผมเงินที่ใส่หูฟังสีขาวคนหนึ่งฟังเพลงเบา ๆ ที่เคลื่อนคล้อยดั่งสายธารเดินเข้าไปในลิฟต์แก้วของอาคารลั่วเสิน*
เธอยกข้อมือบอบบางขึ้นกดปุ่มลิฟต์ชั้น 132 จากนั้นหมุนตัวไปเตรียมที่จะชื่นชมทัศนียภาพยามราตรีของเมืองนอกกระจกใสตอนที่ลิฟต์ลอยขึ้น
เด็กสาวสะพายกระเป๋าเฉียง ๆ ในนั้นบรรจุอีรีดเดอร์และข้าวของส่วนตัวของตนเอง
กระเป๋ามีรอยขีดข่วนอยู่บ้าง เพื่อน ๆ กล่อมตลอดให้เธอเปลี่ยนใบใหม่ แต่เธอตอบตลอดว่าตนเองชอบลายหมีน้อยบนกระเป๋า ดังนั้นไม่อยากเปลี่ยน
ความจริงคือ หลังเรียนจบมัธยมต้นเด็กสาวก็ไม่เคยได้รับเงินสักแดงจากที่บ้าน เธอจำเป็นต้องทำงานพาร์ตไทม์มาจ่ายค่าเล่าเรียนแสนแพง อย่างนี้จึงมีความหวังว่าจะสอบได้มหาวิทยาลัยที่ดีหน่อย
นอกจากนี้การเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นแค่การเริ่มต้นใหม่ ต้องทราบว่านอกเสียจากเธอจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารหัวจ่งหรือว่าโรงเรียนเตรียมทหารพายัพ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องแบกรับค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยที่สูงลิบกว่าเดิม
มหาวิทยาลัยทุกแห่งล้วนมีทุนการศึกษา แต่ปัญหาคือเธอไม่ได้มีเรซูเม่ที่ดูดีขนาดนั้นไปช่วยให้เธอได้รับทุนการศึกษา
คิดถึงตรงนี้เด็กสายก็ฟุ้งซ่านอยู่บ้าง เธอก็ไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองจะเดินไปที่ไหน
พริบตาที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง มือข้างหนึ่งได้ขัดประตูลิฟต์เอาไว้
เด็กสาวมองเห็นจากเงาสะท้อนบนกระจกว่าชายกลางคนหนึ่งคนและเด็กหนุ่มหนึ่งคนเดินเข้าลิฟต์ สองคนนี้ล้วนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมสีขาว และยังสวมหมวกแก๊ปใหม่เอี่ยมสีดำ
ปีกหมวกต่ำมาก เด็กสาวผมเงินมองเห็นหน้าตาของสองคนนี้ได้ไม่ชัดเจน
สองคนนี้หลังจากเข้ามาแล้วไม่ได้กดปุ่มของลิฟต์เลย ทว่ายืนอยู่ข้างหลังเด็กสาวเงียบ ๆ มองดูนอกหน้าต่างกระจกของลิฟต์ไปด้วยกัน
เด็กสาวคิดถึงข่าวลือที่ผู้พักอาศัยชั้น 89 ถูกขโมยขึ้นห้อง ค่อย ๆ รัดสายสะพายกระเป๋าของตนเองจนแน่น เล็บมืออันสะอาดสะอ้านก็กดทำสัญลักษณ์ไว้บนสายหนัง
เพียงแต่ เด็กสาวสำรวจอีกฝ่ายในกระจก เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าสองคนนี้ก็ไม่เหมือนกับสมาชิกกลุ่มแก๊งผิดกฎหมายพวกนั้นนัก
อย่างน้อยเธอไม่เคยเห็นสมาชิกกลุ่มแก๊งที่แต่งกายสะอาดขนาดนี้เลย
ใช่ ความประทับใจแรกที่เด็กสาวมีต่อสองคนนี้ ที่จริงแล้วคือความสะอาด
ลิฟต์ไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แก้วหูของเด็กสาวรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง นี่เป็นเพราะว่าลิฟต์เร็วเกินไป ชั้นอยู่สูงเกินไป คล้ายกับตอนที่เครื่องบินเทคออฟ
เวลานี้ ลิฟต์ถึงชั้น 91 แล้ว นอกหน้าต่างเป็นทางด่วนอันสลับซับซ้อนที่ทอดยาวสุดขอบฟ้า ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง เชื่อมต่ออาคารสูงและลานกว้างบนท้องฟ้า
ตอนที่ไฟถนนสว่างขึ้น ทางด่วนก็ราวกับเนบิวลาที่หมุนวนทั่วเมือง
เด็กหนุ่มข้างหลังเธอมองดูนอกหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “การจราจรในเมืองซับซ้อนขนาดนี้ จะไม่หลงทางเหรอครับ?”
“ไม่รู้สิ” ชายกลางคนตอบ “แต่ก่อนเวลาครูออกจากบ้านมีคนขับรถตลอด”
เด็กสาวแอบเบ้ปาก ตอนนี้มันยุคขับขี่อัตโนมัติแล้วนะ ใครเขาจะว่างไม่มีอะไรทำไปขับรถล่ะ
ยังมี ถึงทางด่วนนี่จะซับซ้อน แต่ตอนขับรถแค่ต้องบอกจุดหมายปลายทางกับเอไอก็พอแล้วนิ
เสียงติ๊งดังขึ้น ลิฟต์มาถึงชั้น 132
เด็กสาวผมเงินประหม่าจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ชายกลางคนและเด็กหนุ่มนั้นกลับเดินออกจากลิฟต์ไปก่อนหนึ่งก้าว เดินตรงไปยังส่วนลึกของทางเดิน
หลังจากอีกฝ่ายออกจากลิฟต์ เธอก็หมุนตัวมาช้า ๆ กลับเห็นอีกฝ่ายกดรหัสผ่านที่หน้าประตูบานหนึ่ง เสียงคลิกดังขึ้น ประตูเปิดออก
เด็กสาวผมเงินจนถึงตอนนี้จึงกล้าผ่อนลมหายใจ ที่แท้เป็นเพื่อนบ้านนี่นา แถมพักอยู่ตรงข้ามกับบ้านเธอ!
เมื่อครู่สองคนนี้หลังเข้ามาแล้วไม่ได้กดลิฟต์ ขู่ขวัญเธอจนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปหน่อยเลย
เพียงแต่เวลานี้เด็กสาวผมเงินใคร่รู้อยู่บ้าง ตรงข้ามบ้านเธอไม่มีอยู่อาศัยมานานมากแล้ว ช่วงก่อนจู่ ๆ รีโนเวทใหม่แล้วแต่ก็ยังไม่มีเจ้าของบ้านคนใหม่เข้ามาอยู่เลย ทำไมกลางดึกคืนนี้มาเยี่ยมกะทันหันล่ะ
ประหลาด
อีกด้านหนึ่ง ชิ่งเฉินหลังจากเข้าห้องแล้วก็ถอดหมวก “เมื่อกี้เด็กสาวคนนั้นท่าทางเหมือนจะหวาดกลัวมากเลย ความปลอดภัยในเมืองหมายเลข 18 มันแย่เกินไปรึเปล่าครับ โลกภายนอกไม่ได้เป็นแบบนี้ เด็กสาวเดินบนถนนกลางดึกไม่ต้องกังวลใจเกินไป……อย่างน้อยในเมืองใหญ่เป็นอย่างนี้”
หลี่ซูถงกล่าวว่า “นี่นับเป็นปัญหาที่หลงเหลือมาจากประวัติศาสตร์ สหพันธรัฐเคยยุบกำลังตำรวจหนึ่งในสามไปเพราะเหตุการณ์อย่างหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้อัตราการเกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้นซ้ำ ๆ”
“ยุบกำลังตำรวจ?” ชิ่งเฉินยากจะจินตนาการออก
“ไม่แค่ยุบกำลังตำรวจ เธอยากจะจินตนาการได้เลยว่า นอกจากสามเขตบน กล้องจราจรของเขตอื่น ๆ มันพังไม่ได้ซ่อมเกือบหมดแล้ว” หลี่ซูถงกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร วันหลังเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปก็จะสามารถสัมผัสได้ตามความเป็นจริงว่านี่เป็นประเทศที่ป่วยมากขนาดไหน”
“ท่านอาจารย์ เรื่องที่คุณอยากทำก็คือการเปลี่ยนแปลงมันเหรอครับ?” ชิ่งเฉินถาม
หลี่ซูถงยิ้ม “อย่าถามเยอะขนาดนี้เลย มาชมบ้านใหม่ของตัวเองก่อนเถอะ”
ชิ่งเฉินมองไปรอบ ๆ หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องน้ำหนึ่งห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องครัวขนาด 80 กว่าตารางเมตร เพราะว่าห้องนอนมีแค่หนึ่งห้อง ดังนั้นห้องทุกห้องล้วนดูกว้างใหญ่มาก
สุดปลายห้องนั่งเล่นเป็นหน้าต่างเต็มผนังขนาดยักษ์ นอกหน้าต่างก็คือทิวทัศน์พาโนรามาของเขตที่หก
ในห้องนั่งเล่นจัดวางโซฟากับเครื่องใช้ไฟฟ้าเอาไว้ ทุกสิ่งล้วนดูใหม่เอี่ยม
……………………………………..
*ลั่วเสินหมายถึงเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่ว ตำนานบอกว่านางข้ามแม่น้ำแล้วจมแม่น้ำตายเลยได้รับหน้าที่ดูแลลำน้ำ….. ได้เหรอ 555 ส่วนนี่เป็นระบำเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วค่ะ สุดยอดมาก https://www.youtube.com/watch?v=X4yPHevMwUo
ตอนนี้เรารู้สึกยอมแพ้การแปลหน่วยเงินไคว่แล้วค่ะ ใช้หยวนไปให้หมดแล้วกัน ไม่รู้ก่อนหน้านี้จะทู่ซี้ใช้ไคว่ทำไมเนี่ย ส่วนสตางค์ก็คือ 1/100 หยวน ทับศัพท์คือเฟินค่ะ แต่เราว่าแปลเป็นสตางค์ไปเลยแล้วกัน จำได้ราง ๆ ว่าแต่ก่อนเคยแปลเป็นสตางค์อยู่
โรงเรียนเตรียมทหารพายัพ ชื่อจีนคือเป่ยซีค่ะ ซึ่งก็แปลว่าตะวันตกเฉียงเหนือนั่นเอง แล้วเลยแปลชื่อมันเป็นภาษาไทยซะเลย
ตอนที่ 180 – ท่านอาจารย์