[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 1 ออกล่าคุเนะคุเนะ
ใต้ท้องฟ้าแจ่มใสในเดือนพฤษภา ฉันนอนอยู่กลางทุ่งหญ้า กำลังจมน้ำอยู่
บางอย่างคล้ายแพลงก์ตอนลอยตัดไปมาในฉากหลังสีน้ำเงินของท้องฟ้า เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้เวลามองดูเม็ดเลือดขาวในตาของตัวเอง ― ไม่ก็เป็นแค่เรื่องที่ฉันเคยได้ยินมาล่ะนะ
ลมที่โชยผ่านหน้าที่หงายขึ้นมาของฉัน พัดเอากลิ่นคาวปลาลอยมาด้วย ฉันไม่รู้เลยว่ามันเป็นปลาจริงๆ หรือเปล่า ตั้งแต่มาที่โลกเบื้องหลังนี่ ฉันยังไม่เคยเห็นปลาซักตัวเลยด้วยซ้ำ
ฉันนอนหงายหลังอยู่กลางทุ่งหญ้าที่สูงท่วมหัว รากของพวกมันจมอยู่ในน้ำ เพราะงั้น หลังของฉันก็เปียกชุ่มเลยตอนนี้ นี่อาจจะเรียกว่า [Half bath] ก็ได้นะ
TN: Half Bath หรือ Half Bathroom ความหมายจริงๆ จะหมายถึงห้องน้ำที่มีทั้งชักโครกและอ่างล้างหน้า เรียกอีกอย่างว่าห้องเครื่องแป้ง (Powder Room) ก็ได้ แต่ในที่นี้ โซราโอะกำลังประชดด้วยการใช้คำนี้ในความหมายที่ว่า การแช่น้ำอยู่ครึ่งนึงของร่างกายนั่นเอง
ไม่ ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เลย จะเรียกแบบนั้นได้ยังไงเล่า
ถ้าจะบรรยายให้เข้าใจล่ะก็ ตอนนี้มันเหมือนกำลังแช่อยู่ในอ่างแช่ตัวในโรงอาบน้ำที่ใหญ่มากๆ เพียงแค่ว่าน้ำมันลึกเกือบจะเกิน 20 ซม. หรือก็คือ ถ้าตอนนี้ฉันไม่พยายามเงยหน้าให้พ้นน้ำอยู่แบบนี้ล่ะก็ น้ำก็จะไหลทะลักเข้าจมูกเข้าปากฉันแน่ๆ มันไม่มีอ่างแช่ตัวแบบนั้นอยู่หรอก หรือถ้ามันมีจริงๆ ก็คงเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือทรมานมากกว่า เจ้าอ่างน้ำแห่งความตายนี่น่ะ
ที่จริง ตอนนี้ฉันก็เข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกทีๆ แล้ว เสื้อเนื้อผ้าฟลีซยูนิโคล่กับกางเกงลายพรางของฉันมันอุ้มน้ำจนหนัก แถมยัง… นี่ฉันอยู่ในสภาพนี้มากี่นาทีแล้วนะ? ไม่มีนาฬิกาอยู่ในระยะสายตาเลย ก็เลยไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ฉันจะทนเอาหน้าตัวเองไว้เหนือผิวน้ำต่อไม่ไหวแล้ว คอของฉันตอนนี้มันทั้งตึงทั้งเจ็บ ส่วนหน้าท้องเองก็ไม่ยอมหยุดสั่นมาซักพักใหญ่แล้ว ฉันไม่ใช่แค่ไม่มีแรง ลองนึกความรู้สึกเวลาตัวเองพยายามวิ่งอยู่ในฝันดู ความรู้สึกที่ขาของเราก็จะขยับได้อย่างปวกเปียก ไม่ขนับอย่างที่ใจต้องการเลย พอนึกออกมั้ย? มันเป็นแบบนั้นเลยล่ะ แขนขาเป็นอัมพาตไปอย่างสิ้นเชิง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ฉันเห็นเจ้าสิ่งนั้นเลย
ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ― ฉันอ่อนต่อโลกเอง พอหาโลกนี้เจอก็มุ่งหน้าเข้ามาสำรวจ จนท้ายที่สุดจะมาเจอเข้ากับอะไรที่อันตรายมากๆ ก่อนจะลงเอยด้วยการกำลังจะจมน้ำตายแบบนี้
ถ้าฉันตายอยู่ที่นี่จะเป็นยังไงนะ? ที่โลกเบื้องหน้า เขาคงจะพูดถึงกันว่านักศึกษาหญิงมหาวิทยาลัยวัย 20 คนหนึ่งหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาล่ะมั้ง? อ่า… พวกนั้นคงนั่งปั่นเรื่องของฉันขึ้นมาเองโดยไม่สนเรื่องจริงแหงๆ
แย่ที่สุดเลย ขอโทษนะคะคุณแม่
…ไม่สิ พูดตามตรง ต่อให้ฉันจู่ๆ ก็หายตัวไปกะทันหัน ก็คงไม่มีใครมาสนใจเรื่องของฉันหรอก เพื่อนก็ไม่มี คนกลุ่มเดียวที่จะมีปัญหาก็คงเป็นคนในงานธุรการของมหาลัยที่สงสัยว่าทำไมฉันยังไม่จ่ายค่าเทอมซักที กับองค์กรสนับสนุนการศึกษาที่เห็นว่าฉันยังค้างจ่ายเงินกู้เพื่อการศึกษาอยู่ล่ะมั้ง
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจแฮะ
ต่อให้ฉันเรียนจบแล้ว ก็การันตีได้เลยว่าฉันจะต้องโดนหนี้การศึกษาท่วมหัวแน่ๆ พอมองเห็นแต่อนาคตที่มืดมนรออยู่ข้างหน้าแบบนี้ นี่ฉันตายอยู่ที่โลกเบื้องหลังนี่ไปเลยจะดีกว่ามั้ยนะ…?
แต่พอฉันเริ่มคิดว่า ‘…แต่ถึงยังไง ฉันไม่อยากต้องทรมานหรือเจ็บปวดอยู่ดี ถ้าต้องตายจากการจมน้ำนี่มันจะทรมานมากขนาดไหนกันนะ?’ ก็มีเสียงบางอย่างดังอยู่ใกล้ๆ
เสียงหญ้าถูกแหวก เสียงย่ำน้ำ… เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นั่นสัตว์เหรอ? จากเสียงวางน้ำหนักเท้าแล้ว อะไรก็ตามนั่นต้องตัวใหญ่พอประมาณเลย
จะเป็นอะไรได้ล่ะ? ไม่ใช่แค่ปลาแน่ๆ… ฉันไม่เคยเห็นอะไรซักอย่างที่เข้ากับคำว่าสัตว์ได้เลยซักตัวในโลกเบื้องหลังนี่เลย การที่มองไม่เห็นอะไรเลยผ่านจากแนวหญ้าพวกนี้ยิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายใจเข้าไปใหญ่เลย
ฉันเลือกที่จะลดตัวลงให้ต่ำกว่านี้ แต่ก็น่าจะไม่มีประโยชน์ เจ้านั่นต้องได้ยินเสียงตอนที่ฉันขึ้นมาหายใจแน่ๆ เพราะเสียงมันดังมาจากหญ้าอีกฝั่งนี่เอง
“ตรงนั้นมีใครอยู่รึเปล่า?”
มนุษย์นี่!
ฉันพูดไม่ออกเพราะตกใจกับเรื่องนี้มาเกินไป
เป็นเสียงของผู้หญิงวัยรุ่น มีน้ำเสียงฟังดูสดใสแบบผิดที่ผิดทางมากๆ เลย อย่างกับว่าเธอกำลังเดินเล่นในสวนในวันที่แดดแจ่มใสยังไงยังงั้น ในขณะที่ทางฉัน ที่ตอนนี้กำลังจะตายอยู่แล้ว
“…หรือว่าจะเป็น ซัทสึกิหรือเปล่า?”
เสียงนั้นถาม
ใครล่ะนั่น? แต่ไม่ใช่ฉันแน่ล่ะ
ระหว่างที่ฉันยังงงอยู่ เสียงนั่นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงกังวลขึ้นมา แล้วร้องถามขึ้นอีกครั้งนึง
“นี่ ให้ฉันไปช่วยมั้ย? หรือว่าตายไปแล้วน่ะ?”
“อะ! อ๊ะ! ฉันยังไม่-…”
ฉันเปิดปากเพื่อตะโกน แต่น้ำที่อยู่รอบๆ ตัวก็ทะลักเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ของเหลวที่ไหลเข้ามาในปากนั่นไม่มีรสชาติเลย ไม่มีซักนิดเดียว บวา ฉันรีบบ้วนเอาน้ำออกมา ก่อนจะพยายามตะโกนอีกครั้งนึง
“ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ! ช่วย-!”
ระหว่างที่ฉันกำลังกรีดร้องอย่างไร้ยางอาย ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้… เหตุผลที่ทำให้ฉันมาตกอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่แรกยังอยู่แถวๆ นี้ที่ไหนซักแห่ง
“ร- ระวังตัวด้วย มีตัวอันตรายอยู่ใกล้ๆ แถวนี้”
ฉันพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก
“อันตราย? แบบไหนเหรอ?”
“ต- ตัวขาวๆ แล้วก็บิดๆ เบี้ยวๆ…”
ตอนที่ฉันพยายามอธิบาย ภาพของเจ้านั่นก็กลับเข้ามาในหัว ทันใดนั้น ฉันก็ถูกความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนที่รุนแรงเข้าถาโถม ก่อนจะร้องโอดครวญออกมา
ฉันปิดตาแน่น พยายามอดทนต่อความรู้สึกนั่น แต่ภาพสีขาวในสมองมันกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จิตใจของฉันถูกดึงเข้าหามัน แม้ฉันจะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าแย่แน่ๆ แล้ว และฉันก็รู้สึกเหมือนหัวของตัวเองถูกบิดหมุนไปเป็นเกลียว
“อุ๊ก…”
“เป็นอะไรไปเหรอ?”
“ถ้าไปมองมันเข้า มันจะเข้าไปป่วนในหัว… มองมันไม่ได้นะ…”
นั่นคือทั้งหมดที่ฉันพูดออกมาได้ และทั้งแรงใจและแรงกายก็หมดเกลี้ยง
สติของฉันร่วงลงสู่วังวนของความงุนงงไร้จุดจบ หน้าของฉันจมลงไปในน้ำไร้รสชาตินั่น ฟองอากาศทะลักออกจากปากของฉันไม่หยุด
ภาพของท้องฟ้าที่ฉันมองขึ้นไปก็ไหวไปมาเพราะผิวน้ำ ฟองอากาศลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะระเบิดออกใส่ก้อนเมฆบนนั้น
จากนั้น…
ในท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แม้แต่นกซักตัวก็ไม่มี ท่ามกลางสีฟ้าและสีขาวที่แบ่งจากกันอย่างชัดเจน ก็มีสีทองสดใสทอดลงมา
ฉันรู้สึกว่ามีมือมาช้อนที่หลังคอ ก่อนจะยกตัวฉันขึ้น เป็นวิธีการช่วยฉันขึ้นจากน้ำที่ดูจะง่ายเกินไปซะด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ฉันยังตัวเปียกโชกและกระพิบตาปริบๆ เจ้าของเสียงนั้นก็ยิ้มให้ฉัน
“ฉันนึกว่าเธอคือโอฟิเลียซะอีกนะเนี่ย”
“หา?”
ไม่ คือฉันเข้าใจนะ อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าใครคือโอฟิเลียนะ ภาพคนจมน้ำตาชื่อดังนั่นไง ฉันเคยเห็นอยู่ในวิกิพีเดียอยู่
TN: โอฟิเลีย คือตัวละครจากเรื่อง “แฮมเล็ต” จากฝีมือการประพันธ์ของวิลเลียม เชกสเปียร์ โดยภาพของโอฟิเลียที่จมน้ำเสียชีวิตที่โทริโกะพูดถึงนั้นก็คือภาพ “โอฟิเลีย” ของจิตรกรชาวอังกฤษ เซอร์จอห์น เอเวอร์เรต มิเล
ไม่ใช่อย่างนั้นสิ พอฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ ฉันก็ตะลึงเลย
เธอคนนี้สวยสุดๆ
ผมสีบลอนด์หยักศกเล็กน้อย จมูกเป็นสัน ผิวขาวเนียน แขนขายาว และสัดส่วนที่ฉันบอกได้เลยว่าต้องดูดีแน่ๆ ถึงจะยังมีเสื้อผ้าคลุมอยู่ก็ตาม เธอสวมเสื้อแจ็กเกตสีเขียวมะกอกรูดซิปขึ้นมาถึงคอ กางเกงยีน และรองเท้าบูทพันข้อ
ฉันคิดว่าเธอน่าจะอยู่รุ่นเดียวกับฉันนะ ไม่ก็เด็กกว่านิดหน่อย เธอมองลงมาหาฉันด้วยตาสีฟ้าครามที่เปล่งประกายคู่นั้น เธอถามว่า
“โดนป่วนไปแล้วเหรอ?”
“อ- อะไรเหรอ?”
“หัวของเธอน่ะ”
“ฉ- ฉันคิดว่ายังไม่เป็นไรนะ”
นั่นคือที่ฉันตอบไป ― หรือว่าฉันจะเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่านะ?
บางทีในสติฉันอาจจะหลุดไปแล้วก็ได้ มีคนสวยมาช่วยตอนใกล้ตายเนี่ยนะ? แค่คิด ฉันยังว่ามันเหมาะสมเกินไปซ้ำ นี่อะไรเนี่ย? การหลงละเมอของเด็กมอต้นเหรอ? หรือว่าภาพหลอนที่ฉันเห็นในวาระสุดท้ายของชีวิตกันแน่?
ในระหว่างที่ในหัวของฉันยังหมุนอยู่ เธอก็พูดว่า
“แล้ว มันอยู่ที่ไหนเหรอ? เจ้าตัวที่จะป่วนในหัวเวลาที่เห็นมันน่ะ?”
เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ฉันชี้ไปโดยที่เธอไม่ต้องสื่อว่ากำลังหมายถึงอะไร ความสามารถในการควบคุมแขนขาของฉันกลับมาอย่างไม่ทันรู้ตัวเลย ถึงจะยังชาๆ อยู่ แต่ฉันก็พอจะขยับพวกมันได้บ้างแล้ว
“ทางนั้นน่ะ… เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน นั่นเธอคิดจะทำอะไรน่ะ?”
พอเธอช่วยให้ฉันนั่งเอาตัวขึ้นจากน้ำได้แล้ว เธอก็ยีนขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้า
“ไม่ได้นะ ฉันบอกเธอแล้วนะ มันอันตราย!”
“แหวะ เธอพูดถูก”
เธอพูดพร้อมกับทำตาเหล่และแลบลิ้นออกมาเหมือนกับเจอกับอะไรที่ไม่น่าพอใจเลย
“นั่นสินะ อ๊ะ? ขยะแขยงจัง”
“ไม่ ไม่ใช่มาพูดว่า ‘ขยะแขยง’ สิ ก็บอกแล้วไง ว่าเธอจะมองมันไม่ได้น่ะ”
พอฉันคว้าแขนของเธอและพยายามดึงตัวเธอลงมาให้อยู่ในท่านั่งยองๆ ฉันก็มองตรงไปที่มันอีกจนได้
จุดที่เบาบางลงไปของทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ในท้องทุ่งที่โลกเบื้องหลังนี้ที่มีสีเข้มขึ้นจากเงามืดของต้นไม้ใหญ่และซากปรักหักพัง มีของสิ่งหนึ่งที่เด่นออกมา กำลังเคลื่อนไหวอยู่
รูปร่างของคล้ายมนุษย์ที่เราเอามายืดออกในแนวดิ่ง
มันมีรูปร่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ ดูเหมือนเงาที่ทอดยาวไปบนพื้นดินจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าถูกดึงลอกออกมาจากพื้นดิน แล้วก็ยืนขึ้นมาแบบนั้นเลย
สีของมันเป็นสีขาว สีขาวมอๆ ชวนให้นึกถึงสีของควัน
เจ้าตัวสีขาวผอมแห้งนั่นยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเฉอะแฉะที่มีน้ำท่วมขัง ตัวของมันบิดไปรอบๆ ไม่รู้ว่ามันดิ้นไปมาเพราะเป็นการเต้นของมัน หรือเป็นเพราะความเจ็บปวดกันแน่? ส่ายไปส่ายมา บิดไปบิดมา (くねくね คุเนะคุเนะ) มันดิ้นไปดิ้นมาอยู่แบบนั้น
ระหว่างที่มองการเคลื่อนไหวพวกนั้นอยู่แบบนั้น สติของฉันมันค่อยๆ โล่งไปทีละนิดๆ และฉันก็เริ่มรูสึกคลื่นไส้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันกลับมีความรู้สึกว่าฉันต้องมองมันต่ออีก
มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับการพยายามนึกถึงความฝันที่เกือบจะลืมไปแล้วเมื่อเราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความรู้สึกน่ารำคาญที่เราควรจะจำมันได้ และเราเกือบจะนึกถึงมันขึ้นมาได้อยู่แล้ว มันทรมานสมองของเราเอามากๆ เลย
“อุ๊บ…”
ฉันโอดครวญ ปล่อยแขนเธอออก และเซถลาออกมา ร่างกายของฉันทรุดลง และฉันก็เกาะขาของเธอที่สวมกางเกงยีนอยู่นั้นช่วยค้ำตัวเองเอาไว้
ระหว่างที่ฉันหายใจตื้นๆ ถี่ๆ เธอก็วางมือบนหัวของฉันเบาๆ
“นี่ มองไปที่เจ้านั่นจะทำให้เรารู้สึกแปลกๆ สุดๆ ไปเลยสิเนอะ?”
“อุ๊บ”
“ถ้ามองต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นยังไงนะ?”
“ม- ไม่รู้…”
“อ่า นั่นสิเนอะ”
เสียงของเธอฟังดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอเลย แต่ไม่มีทางที่เธอจะยังสบายดีอยู่ แฮ่ก แฮ่ก ฉันได้ยินเสียงเธอหายใจเร็วเลยด้วย
“อา ไม่ไหวเลย เฮ้อ… แต่ ฉันว่าฉันเริ่มเข้าใจมันแล้วสิ… สงสัยจริงๆ ว่ามีอะไรรออยู่ที่ปลายทางความรู้สึกนี้กันแน่นะ…?”
“เออ…”
ฉันตอบกลับเธอไปอย่างปกติยังไม่ได้เลยตอนนี้ การหายใจของเธอเองก็ยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย รู้สึกเหมือนร่างกายของเธอจะไหวไปบ้างเล็กน้อย แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะเธอเอง หรือเพราะฉันเป็นคนทำกันแน่
“ม- มันเข้ามาใกล้… กว่าเมื่อกี้แล้ว… ต้องรีบ… หนี”
ฉันพยายามอย่างหนักจนพูดออกมาเป็นคำพูดได้
เงาสีขาวนั่นดูบางอย่างไม่น่าเชื่อ เลยรับรู้ได้ยากเลยว่ามันอยู่ไกลแค่ไหนกันแน่ แต่ฉันรู้สึกว่ามันเข้ามาใกล้กว่าเมื่อตอนที่เราเจอมันครั้งแรก
สายตาของฉันโยกเยกไปหมด บรรยากาศตรงหน้าฉันมันดูเหนือจริงมากๆ อย่างกับว่ากำลังมองภาพที่ฉายไปบนควันที่ลอยอยู่ในอากาศ หัวมันหนักอึ้งไปหมด และฉันก็กำลังจะหมดสติอยู่รอมร่อ ตอนนั้นคือตอนที่ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นเหวี่ยงสุดแขนและขว้างบางอย่างออกไป
อะไรบางอย่างที่ดูเหมือนหินที่เป็นเหลี่ยมมุม ส่องแสงและเปล่งประกายโค้งเป็นพาราโบลา ก่อนจะลอยเข้าใส่เจ้าเงาสีขาวนั่น
ทันทีหลังจากนั้น เงาสีขาวนั่นก็บิดไปมาอยู่กับที่ ― จากนั้น มันก็หายวับไป
“ฮะ?”
ฉันพูดออกมาอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!? ฉัน… จัดการมันได้แล้วเหรอ?”
จากที่ผู้หญิงผมบลอนด์พูดแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะ หลังจากที่ถอนหายใจเฮือกออกมา เธอก็ก้มมองฉันที่ยังเกาะขาของเธออยู่ ก่อนจะเอียงหัวของตัวเองไปมองทางด้านข้าง
“เมื่อกี้ คงโดนมันสินะ?”
ฉันพยักหน้าตอบเธอไป จะบอกว่าโดนก็คงว่าอย่างงั้นได้แหละ หรือไม่ มันกลับดูเหมือนขจัดควันที่มีเจ้าร่างขาวนั่นฉายอยู่ออกไปอย่างสิ้นเชิงเลย
“ย- โยนอะไรไปน่ะเมื่อกี้?”
“ก้อนเกลือหินน่ะ เคยได้ยินเขาลือกันว่ามันใช้ได้ผลกับอะไรพวกนั้น ฉันก็เลยลองใช้ดู แต่ได้ผลจริงๆ ด้วยเนอะ ตกใจหมดเลยนะเนี่ย”
เหมือนการสาดเกลือปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายน่ะเหรอ? มันดูดาษดื่นไปหน่อย เพราะงั้นฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องนั้นมันจะฟังดูสมเหตุสมผลเลยนะ สำหรับฉันน่ะ
“โวะ โอ๊ะ โอ๊ะ”
เธอตัวเซ กำลังจะหงายหลังล้มลง
ถ้าฉันไม่ช่วยพยุงเธอไว้ เธออาจจะต้องล้มลงหลังแฉะเลยก็ได้ หลังจากช่วยให้เธอกลับมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง เธอก็หันกลับมาหาฉัน ก่อนจะยิ้มให้
“ขอบใจนะ เธอโอเคมั้ย? ว่าแต่คลื่นไส้สุดๆ เลยเนอะ?”
“อ- อืม”
ความรู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว กับอาการชาๆ ที่ยังเหลืออยู่ในแขนขาของฉันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเองเกือบจะจำอะไรขึ้นมาได้นั่นก็หายไปแล้วเหมือนกัน
“ยืนไหวรึเปล่า?”
“อะ อื้อ”
พอฉันรู้ตัวว่าตัวเองยังเกาะขาของเธออยู่ ฉันก็รีบถอยห่างออกมาจากเธอ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนบนเท้าที่ไม่มั่นคงของตัวเอง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้ว เสื้อผ้าที่เปียกโชกเกาะติดหนึบบนผิวตัวของฉันไปหมดเลย รู้สึกขยะแขยงจัง
“เอ่อ… ขอบคุณที่ช่วยนะ”
“ไม่เป็นไร”
เธอพูดออกมาอย่างใจกว้างราวกับว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร จากนั้นเธอก็แนะนำตัวของเธอ
“ฉันชื่อนิชินะ โทริโกะ เธอล่ะ?”
“อะ เอ่อ คามิโคชิ โซราโอะค่ะ”
“งั้น ว่าแต่นะ โซราโอะ ทางที่เธอเข้ามาฝั่งนี้อยู่แถวนี้รึเปล่า?”
โห จู่ๆ ก็เรียกกันแบบไม่มีคำลงท้ายเลยเหรอ แต่ฉันก็ช่างเรื่องการทำตัวสนิทสนมของเธอไปก่อน ก่อนจะพยักหน้าตอบไป
“อื้อ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
“เยี่ยมเลย พาฉันไปหน่อยได้มั้ย? พอดีว่าฉันหลงทาง ประมาณนั้นน่ะ?”
“ได้สิ… ท- โทริโกะ”
พอฉันเรียกเธอแบบเป็นกันเองเหมือนกับเธอบ้าง เธอก็ยิ้มออกมาเลย
“รอเดี๋ยวนะ ขอไปเก็บไอ้นั่นก่อน”
พอบอกไว้แบบนั้น ‘โทริโกะ’ ก็แหวกหาตามกอหญ้าใกล้ๆ กับจุดที่เกลือหินตกอยู่
TN: ขอทักทายพี่ๆ นักอ่านชาวเว็บแมวทุกท่านด้วยนะครับ ^^
ใครอ่านแล้วอย่าสปอยกันน้า~