[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 44 แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิ
- Home
- [นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง
- ตอนที่ 44 แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิ
ฉันเพ่งมองออกไปจากบนหลังคาของกอร์กอนพยายามมองหาแสงประกายสีเงินนั่นท่ามกลางทุ่งหญ้าฤดูร้อน ทั่วบริเวณมีแต่กลิทช์อยู่เพียบเลย นี่ถ้ามองไม่เห็นล่ะก็ อาจจะหลบไม่พ้นเลยก็ได้ ในจุดที่มีกลิทช์หนาแน่นที่สุดเนี่ย มันกั้นเอาไว้ยังกับว่าเป็นกำแพงเลย แล้วเราก็ต้องอ้อมไปเพื่อหาช่องว่างที่ใหญ่พอจะสามารถให้รถกับกลุ่มคนผ่านไปได้
การชี้บอกทางเนี่ยแหละที่ยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลย ซ้าย, ขวา, ตรงไป, ขวานิดนึง, หยุดก่อน, แตะซ้าย, ถอยไป 5 เมตร, 30 องศาจากทางขวา… แล้วก็นู่นนี่นั่น ตอนแรก ฉันต้องพยายามลองหลายๆ วิธี แต่มันก็มีขีดจำกัดของความละเอียดในการชี้บอกทิศทางให้พวกเขาด้วยการใช้คำพูดอย่างเดียวอยู่
50 นาทีแรกอันงุนงงผ่านไป พวกเรายังออกมาจากค่ายได้ไม่ถึงร้อยเมตรเลย ไม่ไหวแน่… ความกดดันจากความเงียบจากทั้งในตัวรถทั้งขบวนที่เหลือข้างหลังนี่ทำเอาเหงื่อไหลหยดเป็นเม็ดๆ เลย ฉันต้องค่อยๆ คิดดีๆ แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อดี
“โซราโอะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
โทริโกะถามฉันพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ยังไหว… ร้อยโทคะ มีไม้หรือก้านยาวๆ หรือเปล่า? อะไรก็ได้ที่ยื่นไปถึงที่นั่งคนขับได้จากตรงนี้น่ะค่ะ”
“ขอดูก่อนนะ”
ผ่านไปแป๊บนึง ก็มีแท่งเหล็กที่ยืดออกได้ส่งขึ้นมาให้ฉัน ตรงปลายมันแยกออกเป็น 2 ทาง แล้วตรงปลายของตัว T ก็เป็นตะขอกลมๆ เหมือนเอาไว้ห้อยอะไรซักอย่าง
“มันคืออะไรเหรอคะ?”
“เสาสำหรับห้อยถุงน้ำเกลือครับ”
พอฉันยืดเสานั่นออกมาเต็มที่ ปลายมันก็แตะตรงกระจกหน้าฝั่งคนขับไปพอดีเลย
“ขอให้ไปตามทางที่ฉันใช้เจ้านี่ชี้ด้วยนะคะ ถ้าฉันแตะที่กระจก 2 ทีก็ให้หยุดรถก่อน นอกเหนือจากนั้นก็ไปต่อด้วยความเร็วเท่าเดิมได้เลยค่ะ”
ถ้าฉันพิงมันเอาไว้ช่องว่างที่แขนกลกำจัดทุ่นระเบิด ฉันก็ไม่ต้องคอยถือเสาน้ำเกลือเอาไว้ตลอดเวลาด้วย ตอนที่ฉันโยนตัวน็อตไปที่กลิทช์ที่อยู่ใกล้ๆ มันก็จะโดนหลอม ไม่ก็สว่างวาบ หรือส่งเสียงแปลกๆ ออกมา ทำเอาทหารแถวนั้นสะดุ้งกันทุกครั้งเลย ฉันคิดว่าการเอากระเป๋าใส่ตะปูกับตัวน็อตมาจะเหนื่อยเปล่าๆ ซะอีก แต่ดูเหมือนการช่วยเตือนให้คนอื่นเห็นอันตรายนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน
พวกเราคืบหน้าได้ดีไปอีกซักพักเลย จนมีแสงสว่างวาบมาจากข้างหลังพวกเรา พอฉันหันกลับไปก็เห็นระเบิดลูกใหญ่ขยายตัวขึ้นตรงจุดตั้งค่ายนั่น
พอเสียงและแรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดวิ่งจนมาถึงพวกเรา มันก็ทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัวเลย หลังจากมองลูกไฟยักษ์และควันสีดำที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างนิ่งๆ อึ้งๆ อยู่กับโทริโกะ ฉันก็ตระหนกจนยื่นหน้าลงไปหาส่วนข้างล่างในตัวรถเลย
“ร้อยโทคะ!? ค่ายมัน!”
“ครับ? อ้อ จริงด้วย ไม่ได้บอกไว้สินะครับ? ไม่มีปัญหา นั่นเราตั้งใจระเบิดมันทิ้งเอง”
การตอบกลับอย่างสงบนิ่งของเขาทำฉันชะงักไปเลย
“ท- ทำไมล่ะคะ!?”
“เราทิ้งร่องรอยการมีอยู่ของพวกเราเอาไว้มากเกินไปครับ ด้วยสิ่งนี้ สถานี February ก็เป็นแค่เศษซากแล้ว”
“ย- ยังงี้นี่เอง”
จบเลย แผนที่ฉันกะจะมาใช้สิ่งของที่ถูกทิ้งเอาไว้ในค่ายนั่น ฉันกลับไปทำหน้าที่สังเกตการณ์ แต่นี่ก็ยังไม่หายอึ้งเลย
“โซราโอะ เป็นอะไรเหรอ? ตั้งสมาธิสิ”
“รู้แล้วน่า กำลังทำอยู่ แค่ว่า… เฮ้อ”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างผิดหวังเลย
“…นี่คิดจะทำอะไรไม่ดีอยู่งั้นสินะ?”
น้ำเสียงของเธอดูจะเคลือบแคลงสงสัย ส่วนฉันก็หลบสายตาออกมาด้วย
ขบวนรถยังคงเดินหน้าตัดผ่านทุ่งราบมรณะนี่ต่อไป พอฉันใช้ปลายเสาน้ำเกลือทิ่มไป เจ้าสัตว์ร้ายพลังงานดีเซลใต้พวกเรานี่ก็เปลี่ยนทิศทางไปอย่างว่าง่าย รู้สึกเหมือนกำลังใช้แครอทล่อนำทางให้ม้ายังไงก็ไม่รู้แฮะ
ผ่านไปซักประมาณชั่วโมงครึ่ง จำนวนของกลิทช์ก็ลดลงไปเรื่อยๆ แล้วฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยนเส้นทางอะไรมากมายแล้วด้วย เริ่มจะเห็นพวกไม้พุ่มเตี้ยโผล่ขึ้นมาในบริเวณรอบๆ เราแล้วด้วย พอเราข้ามเนินเขาที่ปกคลุมด้วยมอสสีเขียวหนา ฉันก็เห็นป่าครึ้มอยู่ข้างล่างเนินนี่แล้ว
“ขึ้นมานี้หน่อยสิคะ ร้อยโท”
พอฉันเรียกลงไปที่ส่วนตัวรถ ร้อยโทก็ปีนบันไดขึ้นมา ยื่นหัวออกมาทางประตูหลังคา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“ป่านั่น… แน่ใจหรือเปล่าคะว่าเป็นที่ที่พวกคุณทุกคนออกมากัน?”
ร้อยโทก้มลงไปดูที่แผนที่ นิ่งคิดอยู่ซักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบนึง
“น่าจะใช่นะครับ ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน พวกเราก็เลยไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้เท่าไหร่นัก แต่ตัดสินจากระยะห่างและทิศทางแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงเลยล่ะครับ”
“งั้น เราก็เกือบถึงแล้วสินะ?”
ถึงร้อยโทจะพยักหน้าตอบโทริโกะ แต่สีหน้าของเขาที่มองเข้าไปในป่าก็ยังตึงเครียดอยู่เลย ระหว่างที่เรายังพูดคุยกันอยู่นี่ ขบวนรถก็เดินหน้าต่อลงไปตามหุบเขาแล้ว ข้างหน้าพวกเราไม่มีกลิทช์ ถ้าพวกเราเดินตรงต่อไปแบบนี้ ก็ตรงเข้าไปในป่าได้แล้วล่ะ
ระหว่างที่ฉันเกาหลังหัวเพราะรู้สึกตึงๆ จากอาการตาล้า ก็มีเสียงจอแจดังมาจากหลังขบวนรถ
ร้อยโทยืนยันสถานการณ์กับลูกน้องของเขาคนนึง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มีบางคนกำลังมาครับ”
ร้อยโทพูดทิ้งเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะปีนบันไดลงไป
บางคนเหรอ…?
พอฉันหันกลับไปมอง ก็มีทหารอีกหลายคนยื่นคอหันไปมองข้างหลังด้วยความกังวลเหมือนกัน พวกเราเพิ่งจะลงจากเนินมาได้อย่างเรียบร้อย ฉันก็เห็นเหมือนกัน มีใครยืนอยู่ตรงสันเนินเขาด้วย
ร้อยโทกับพวกทหารของเขารีบคุยกันไปมาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งฉันแทบจะฟังไม่ทันเลย พวกเขาต้องใช้วิธีฟังรายงานจากทหารวิ่งส่งข่าวมาจากรถคันหลังเพราะไม่ได้ใช้วิทยุสื่อสารกัน
“โทริโกะ ฟังออกหรือเปล่าว่าเขาคุยอะไรกันน่ะ?”
โทริโกะเอามือป้องหูก่อนจะพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย
“เขาพูดว่า… อย่าไป พาฉันไปด้วย…?”
“มีคนรอดชีวิตด้วยเหรอ?”
ฉันใช้เสาน้ำเกลือแตะที่กระจกหน้าบอกให้รถหยุด แล้วก็ส่องผ่านกล้องเล็งของ M4 มองดู มันเป็นกล้องเล็งสั้นๆ ถ้าเอาพานท้ายวางกับหัวไหล่ก็ส่องผ่านมันได้ง่ายกว่า
สิ่งที่ฉันเห็นผ่านตาขวา บวกกับกำลังขยายที่เพิ่มขึ้นมา 4 เท่า นั่นน่ะเป็นมนุษย์แน่ๆ แต่งชุดเหมือนกับนาวิกคนอื่นๆ เลย ชุดเครื่องแบบลายพรางสีซีด เสื้อเกราะ แล้วก็หมวกป้องกัน เขาถือปืนที่หน้าตาเหมือนกับแบบที่ฉันใช้ด้วย กำลังโบกแขนมาทางนี้ แต่ฉันไม่เห็นหน้าของเขาเลย อาจจะเพราะเรื่องย้อนแสงล่ะมั้งจากตรงนี้ แต่หน้าของเขามันก็มืดมากๆ เลยนะ
ฉันเพ่งสมาธิไปที่ตาขวาขึ้นอีก แล้วรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยังพอดูคล้ายๆ กับคนในชุดลายพรางอยู่นะ แต่ร่างกายนี่มันยุ่งเหยิงไปหมดเลย มันดูเหมือนก้อนดินที่ตั้งอยู่กับใบไม้เด็ดมาคลุมเอาไว้เท่านั้นเอง แขนก็ไม่มีด้วยซ้ำ รอยตัดตรงหัวไหล่ก็เหมือนจะถูกคลุมด้วยอะไรซักอย่างที่ดูคล้ายๆ กับมอส ตรงใบหน้าก็มีของอย่างเดียวกันนั่นแหละคลุมอยู่จนมองไม่เห็นสีหน้าเลย ปากที่อ้ากว้างนั่นมีมอสทะลักออกมาด้วย
“อุบ…”
ตอนที่ฉันยังตัวสั่นขนลุกอยู่นี่ ก็มีทหารปลอมโผล่มาจากสันเขาอีกตัว และอีกตัว แล้วก็อีกตัว โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ เจ้าพวกมนุษย์มอสนั่นเพิ่มจำนวนขึ้นมาเรื่อยๆ บางตัวก็มีแขนแค่ข้างเดียว บางตัวหัวก็หายไปครึ่งนึงแล้ว บางตัวก็มีแผลบาดลึกตรงลำตัว…
“ร้อยโท―นั่นไม่ใช่ผู้รอดชีวิต! เป็นศัตรูค่ะ!”
ตอนที่ฉันร้องเตือน ร้อยโทก็ตะโกนออกคำสั่งจากในรถทันที
“Contact! (เข้าปะทะ!) Open fire! (ยิงได้!)”
พวกมนุษย์มอสเริ่มวิ่งเข้ามาหาทางพวกเรายังกับว่าได้ยินคำสั่งนั่นด้วย Fire! (ยิง!) Open Fire! (ยิงได้!) คำสั่งถูกส่งต่อกันไปในขบวนรถอย่างรวดเร็ว แล้วที่โอว์แบร์ที่อยู่ท้ายสุดก็เปิดฉากยิงแล้ว ป้อมปืนหมุนกลับไป แล้วปากกระบอกปืนก็สาดกระสุนออกไป
จากนั้น ทหารที่กระจายอยู่รอบขบวนรถเอาก็เริ่มยิงกันแล้วเหมือนกัน พอกระสุนยิงโดนเป้าหมาย พวกมอสก็แตกกระจายเป็นเศษรูปทรงเรขาคณิต พอถูกยิงมากเข้า พวกมนุษย์มอสก็หงายหลังล้มลง ส่งเศษเล็กเศษน้อยสีแดงสีเขียวกระจายเต็มพื้นเลย
“พวกเธอ 2 คน เข้ามาข้างในเร็ว มันอันตรายนะ”
ร้อยโทรีบเรียกพวกเรา แต่ฉันก็ส่ายหน้า
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนี้แล้วคอยมองเอาไว้ กระสุนจะยิงไม่โดน”
“แต่ว่า…”
“ร้อยโท! ไม่ต้องห่วง! ยิงไปได้เลย! พวกเราไม่เป็นไรค่ะ!”
โทริโกะยื่นหัวตะโกนลงไปในตัวรถ ก่อนจะประตูหลังคารถที่เท้า แล้วก็เอามือทั้ง 2 ข้างมาจับไหล่ฉันเอาไว้
“ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ เองนะ”
“อื้อ”
ฉันพยักหน้าให้นิดๆ แล้วยืนขึ้นในป้อมปืนเพื่อจะมองให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ โทริโกะยังคุกเข่าอยู่ จับ AK เตรียมเอาไว้พร้อม ปากกระบอกปืนหลายอันยื่นออกมาจากห้องรบข้างล่างเรา แล้วกอร์กอนก็เริ่มเปิดฉากยิง ฉันคิดว่าบางทีฉันก็น่าจะต้องช่วยยิงด้วย แต่ก็เลือกจะไม่ทำแบบนั้น การตีกรอบการมองเห็นของฉันเองให้แคบลงเนี่ยมันอันตรายเกินไป ยังไงซะ ฉันก็เป็นหนทางรอดของขบวนรถนี้ด้วย
“โทริโกะ ถ้ามีตัวอะไรบุกเข้ามาจากทางด้านข้างก็บอกหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่มีปัญหา วางใจได้เลย”
พวกมนุษย์มอสวิ่งข้ามสันเขาบุกเข้ามาจากทางข้างหลังทั้งหมดเลย พวกมันวิ่งกันลงมาจากเนินเขาแบบเต็มกำลัง เพื่อแค่จะโดนตาขวาของฉันกับกระสุนปืนซัดเข้าไปใส่ แล้วก็ร่วงลงกับพื้นเหมือนใบไม้ร่วง รู้สึกว่าเสียงกระหึ่มของปืนที่ไม่จำเป็นพวกนี้มันชักจะทำให้ฉันปวดหัวแล้วสิ
เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีตัวไหนคลาดสายตาไปได้ ฉันก็ต้องหันไปหันมาเหมือนกับไฟประภาคาร พยายามจะจับตามองพวกศัตรูเอาไว้ให้หมดอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันก็ยังโผล่หัวขึ้นมากันไม่หยุด จนเราค่อยๆ ถูกล้อมแล้ว
“โซราโอะ อยู่ตรงนี้คงไม่ดีแล้วมั้ง?”
“นั่นสิ เราต้องเคลื่อนตัวกันแล้วล่ะ”
โทริโกะเปิดประตูตรงหลังคาออก แล้วก็ตะโกนลงไปหาทหารที่ยิงปืนกันอยู่ในห้องรบ
“เราจะเคลื่อนตัว! ช่วยบอกข้างหลังด้วย!”
ฉันใช้เสาน้ำเกลือแตะไปที่กระจกหน้ารถ กอร์กอนก็ร้องคำรามแล้วเริ่มขยับไปข้างหน้าอีกครั้ง ระหว่างที่ฉันยังจับตามองพวกศัตรูที่ขยับเข้ามาใกล้ ฉันก็มองหาต้องมองหาช่องว่างเพื่อดูว่าข้างหน้าปลอดภัยหรือเปล่าด้วย จะยุ่งเกินไปแล้วนะ!
กอร์กอนที่วิ่งลงเนินเขาเร็วขึ้น บดหญ้าตามทางลงไปยังกับว่ามันกระจายกันอยู่แบบนั้น ฉันกับโทริโกะต้องเกาะขอบป้อมปืนเอาไว้ พยายามไม่ให้พวกเราถูกโยนกระเด็นลงไปจากหลังคารถได้กระเด้งอยู่นี่
พอพวกเราเข้าไปใกล้ป่านั่น ฉันก็เห็นรั้วโลหะสูงเกือบ 2 เมตรที่เหมือนจะล้อมรอบป่า เห็นพวกลวดหนามสนิมขึ้นกับสายเชือกสีแดงจำนวนนึงพันอยู่รอบๆ รั้วด้วย พวกนั้นไม่มีแสงเรืองๆ ที่บอกเลยว่ามันเป็นกลิทช์ พอกอร์กอนวิ่งเข้าไปถึงรั้วนั่น แขนกลตรงหน้ารถก็ฉีกรั้วนั่นออกอย่างง่ายดาย ลวดหนามก็ขาดออก ส่งเป็นเสียง *เคร้ง เคร้ง* เด้งออกเฉียดพวกเราไปมากเลย
“ระวังหัว!”
โทริโกะกระชากตัวฉันลงมาตอนที่กิ่งไม้กิ่งใหญ่วิ่งเฉียดส่วนหลังคาป้อมปืนไป พวกเราเสียหลักจนร่วงลงไปในประตูหลังคารถ ตัวเด้งกับไหล่ หลัง ก้น แล้วก็ขาของพวกทหาร 3 คนที่กำลังสาดกระสุนยิงปืนออกมาจากห้องรบกันอยู่ จนในที่สุดก็ตกลงมากระแทกที่พื้นรถเลย
“อูย…”
“ป- เป็นอะไรมั้ย โซราโอะ?”
โทริโกะถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“ไหวอยู่…”
ถึงพวกเราจะทุลักทุเลกับการตั้งหลัก แต่สุดท้ายเราก็กลับขึ้นมายืนกันได้นะ
“เดอะ เกิร์ลส์! ขับตรงต่อไปแบบนี้ได้เลยใช่มั้ย!?”
คนขับตะโกนถามพวกเรา ฉันก็ยื่นหน้ามองออกไปทางจากกระจกหน้ารถ ไม่เห็นสีเงินเรืองแสงในป่ามืดๆ นี่เลย ดูปลอดภัยจนน่าขนลุกยังไงไม่รู้
“ไม่มีปัญหาค่ะ ขับตรงต่อไปด้วยความเร็วประมาณนี้ได้เลย”
ฉันทิ้งคำแนะนำเอาไว้แบบนั้น ก่อนจะรีบหันกลับขึ้นไป
ตรงหลังคาดาดฟ้ารถ โทริโกะกับร้อยโทกำลังหันปืนชี้ไปข้างหลังพวกเราอยู่ ที่อีกฟากของรถกับทหารที่กำลังยิงศัตรูพลางถอยไปด้วย พวกมนุษย์มอสฝูงใหญ่ก็กรูกันเข้ามาใกล้ เพราะการจับตามองของฉันขาดไป จนพวกมันเข้ามาใกล้พวกเราแล้ว ตอนที่ฉันออกมาที่ท้ายรถแล้วทัศนวิสัยของฉันกว้างออก พวกมนุษย์มอสก็เริ่มถูกหาสกระสุนสอยร่วงทั้งทางซ้ายทางขวาแล้ว
ทันมั้ยเนี่ย? หรือมีใครโดนจัดการไปแล้ว? เยอะแค่ไหนแล้วล่ะ? คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวฉัน อย่าไปคิดแบบนั้นสิ! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องจำนวนเหยื่อนะ
ร้อยโทวางปืนไว้กับราวท้ายรถ ยิงปืนออกไปไม่หยุด ปืนของร้อยโทเองก็เป็น M4 เหมือนกัน แต่ลำกล้องหนักพอควรเลย กล้องเล็งก็ใหญ่ด้วย แต่ละนัดที่ยิงออกไป หัวของพวกตัวประหลาดที่อยู่ไกลๆ ก็กระจุย ล้มคว่ำแตกกระจายไปกับพื้นเลย
“…ฝีมือดีเลยแฮะ”
โทริโกะกระซิบพึมพำกับตัวเอง ตอนที่มองดูร้อยโทอยู่
พอส่วนที่เหลือของขบวนเข้ามาในป่าตามกอร์กอนเรียบร้อยแล้ว การจู่โจมจากพวกนั้นก็หยุดลง อีกฟากของสันเนินก็มีเศษซากของมนุษย์มอสกระจายอยู่เต็มไปหมด และก็มีร่างใหญ่ๆ ปรากฏขึ้นที่สันเขา ก้มลงมามองที่พวกเราด้วย เงานึงมันดูใหญ่เป็นพิเศษเลย ถึงจะเห็นแค่ภาพย้อนแสง แต่ก็เป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ ที่มีเขาแตกกิ่งก้านรูปร่างซับซ้อนอยู่ด้วย ข้างๆ กันนั่นก็มีตัวประหลาด 4 ขารูปร่างผอมเพรียวที่ดูเหมือนยีราฟไร้หัว
เจ้านั่นนี่! ตัวประหลาดที่โผล่มาหาฉันกับโทริโกะเมื่อตอนที่พวกเราเข้ามาที่โลกเบื้องหลังตอนกลางคืนเป็นครั้งแรก ได้ยินมาว่าเจ้า 4 ขานั่นคือหุ่นยนต์ที่พวกนาวิกเอาด้วยแล้วไปเหยียบกลิทช์เข้าสินะ
พอร้อยโทยิงปืนออกไป กระสุนก็พุ่งแหวกไปในอากาศ ส่งให้หัวระหว่างเขา 2 ข้างนั่นระเบิดออกอย่างสวยงาม
สวยเลย! ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็คิดอยู่ได้แค่ไม่นาน หัวเจ้าตัวประหลาดนั่นก็ทำเหมือนกับกรอเทปกลับจนมันกลับไปอยู่ในสภาพเดิม
“ฮอร์นแมน… นักล่าจากออเธอร์ไซด์ที่ไล่ล่าเราไม่เลิกไม่รา ตลอดเดือนครึ่งที่ผ่านมา”
เสียงของร้อยโทมีแต่ความโกรธที่เขาไม่สามารถข่มเอาไว้ได้ แต่ฉันตกใจจนไม่มีเวลาได้ทันไปห่วงเรื่องนั้นเลย ฉันมองดูมันอยู่ แต่มันไม่ร่วงลงไปงั้นเหรอ! นี่ฉันก็มองมันด้วยตาขวาของฉันอยู่ด้วยนะ!
กระสุนโดนเต็มๆ แน่นอน แล้วมันก็ได้ผลอยู่ชั่วเวลานึงด้วย แต่หลังจากนั้น ฮอร์นแมนก็ฟื้นฟูตัวเองกลับมา ดูเหมือนพวกตัวประหลาดในโลกเบื้องหลัง จะมีบางตัวที่ใช้แค่กระสุนอย่างเดียวจัดการไม่ได้งั้นสินะ
“…ดูเหมือนพวกมันจะไม่ตามเรามาแล้วนะ”
โทริโกะพูดพลางลด AK ลง
พวกศัตรูไม่ไล่ตามเรามาแล้ว ขบวนรถเดินหน้าเข้าไปในป่า เจ้าฮอร์นแมนกับมนุษย์มอสก็จางหายไปจากสายตาของพวกเรา
ฉันยังตกใจกับเรื่องนี้อยู่ จนกระทั่งคนขับรถตะโกนเรียก
“เดอะ เกิร์ลส์! นำทางพวกเราต่อที!”
“ค- ค่ะ!”
พอสติกลับมากับตัว ฉันก็โทริโกะก็รีบลงมาจากป้อมปืน ฉันเอามือจับไปที่บันไดเพื่อปีนลง แต่พวกทหารในห้องรบก็ยื่นมือขอให้พวกเราหยุดก่อน พวกเขาหันฝ่ามือมาหาฉัน บอกให้ฉันไม่ต้องปีนลงมา
“กิ่งไม้มันอยู่เหนือหัวเราเลย มันอันตรายน่ะค่ะ”
ฉันบอกพวกเขาไปแบบนั้น
โทริโกะก็ช่วยฉันอธิบายด้วย ก็มันจริงนี่นา―เมื่อกี้ก็เกือบโดนมันฟาดเข้าเต็มหัวแล้วด้วย
ทัศนวิสัยจากเก้าอี้คนขับนี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนนี้ ฉันมองไม่เห็นกลิทช์อยู่ตรงหน้าเราเลย แต่ถ้ามันมีอะไรอยู่ในต้นไม้ข้างหน้านั่น หรืออยู่ในจุดบอดทางซ้ายทางขวาล่ะก็ กว่าฉันจะเห็น มันก็อาจจะสายเกินไปก็ได้
ฉันคิดอยู่ซักพักนึงก่อนจะพูด
“…โทริโกะ ฉันว่าจะออกไปข้างนอกซักหน่อย มาด้วยกันหน่อยได้มั้ย?”
“แน่อยู่แล้ว”
โทริโกะพยักหน้าให้อย่างไม่ลังเลเลย
พวกเรากลับไปที่ด้านหลังของดาดฟ้าหลังคาหลังรถอีกครั้ง; วิ่งวุ่นไปทั่วเลยล่ะ ตอนที่เราบอกว่าจะออกไปข้างนอกกับร้อยโทที่กำลังฟังรายงานจากทหารส่งสารอยู่ เขาก็ตกใจตาโตเลย
“ข้างนอกนั่นมันอันตรายนะ… แต่ ผมว่านั่นคงไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่แล้วสินะครับ”
“พวกเราอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรแน่ค่ะ อีกอย่าง จากข้างในรถนี่ก็มองเห็นยากเกินไป อยู่ในนี้จะอันตรายกว่าซะอีก”
เราบอกเขาทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ก่อนที่ฉันกับโทริโกะจะปีนบันไดลงจากหลังคาดาดฟ้าของกอร์กอนที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แล้วก็กระโดดลงมายืนกับพื้น ทหารที่อยู่ข้างหลังก็มองมาที่พวกเรากันอย่างตกใจ
พวกเราวิ่งขนาบข้างไปกับกอร์กอน แล้วก็ออกมายืนข้างหน้ามันแทน ฉันกับโทริโกะเริ่มเดินนำขบวนที่ประกอบด้วยทหารหลายสิบคนกับรถทหารอีก 5 คันแล้ว