[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 63 ไฟล์ 8 : นกน้อยในกล่อง [2]
วันต่อมา พวกเราอยู่ในสวนที่บ้านของคุณโคซากุระเพื่อออกเดินทาง นี่จะเป็นการทดลองวิ่งครั้งแรกของเครื่องจักรทางการเกษตรที่ฉันซื้อมาตอนที่เมาแอ๋อยู่ที่เกาะอิชิงาคิ รถสำหรับงานจัดการไร่ยาสูบ AP-1
“เติมน้ำมันเรียบร้อยแล้วนะ โซราโอะ”
โทริโกะปิดฝาถังน้ำมันเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา
“โอเค งั้น จะลองล่ะนะ”
ฉันทำตามขั้นตอนในคู่มือ แล้วก็สตาร์ทเครื่องยนต์ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ขนาดฉันเองยังไม่รู้เลยว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเสียเวลางมอยู่กี่นาที แต่ซักพัก เสียงหึ่งๆ ก็ดังมาจากตัวเครื่องเป็นอย่างดีจนได้ แล้วเครื่องยนต์ก็เริ่มทำงานแล้ว
“ทำได้แล้ว!”
“ไชโย!”
ตอนที่พวกเราร้องดีใจกัน คุณโคซากุระที่มองดูมาจากโถงทางเข้าประตูก็ทำสีหน้าแบบไม่ได้แปลกใจอะไร
ตอนที่เธอได้รู้ว่าที่อื่นมีอีกเป็นร้อยเป็นพัน แต่เกทอันนึงดันตั้งอยู่หน้าบ้านของตัวเองเลย คุณโคซากุระก็ซึมไปเลย
ก็อย่างที่พอจะเดาออกล่ะนะ
ฉันนึกว่าเธอจะน็อตหลุด ระเบิดอารมณ์ออกมามากกว่านี้ซะอีก กลายเป็นว่าความช็อกจะชนะความโกรธไปได้นะ ตอนที่ฉันบอกเรื่องนี้ให้เธอได้รู้อย่างอึกอัก เธอก็เป็นเหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียงตกร่อง เธอพึมพำออกมาอย่าง ‘เอาจริงเหรอ?’ ‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้?’ หรือ ‘ไม่ยุติธรรมเลย’ ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด จากนั้น หลังจากที่เธอไล่ฉันออกจากบ้านมาแล้ว ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้เลยอยู่อีกหลายวัน
พอฉันนั่งตรงที่นั่งฝั่งขวา โทริโกะก็หย่อนตัวลงนั่งที่ที่นั่งฝั่งซ้ายโดยไม่ต้องบอกอะไรเธอเลย ตัวรถอันนี้มันมีรูปร่างดูเหมือนประตูชัย ส่วนข้างหลังของตัวเครื่องก็มีที่นั่งด้วย 2 เก้าอี้ ที่นั่งของฉันคือเก้าอี้ตัวขวา ส่วนของโทริโกะก็เป็นตัวซ้าย ตามปกติ ส่วนคันดินในไร่ยาสูบก็จะอยู่ตรงใต้ส่วนโค้งของตัวรถระหว่างที่พวกเราวิ่งไปนี่แหละ เพราะงั้นระหว่างที่นั่งของพวกเราก็จะมีที่ว่างห่างกันไม่ถึงเมตรอยู่ด้วย
“ลองให้มันเดินหน้าดูสิ โซราโอะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ… นี่อะไรล่ะเนี่ย?”
พอฉันใช้คันโยกขยับดอกยางของล้อทั้งข้างซ้ายและขวาพร้อมกัน เจ้า AP-1 ก็เริ่มขยับไปข้างหน้าช้าๆ ฉันดึงคันโยกกลับมา มันก็ขยับถอยหลัง ถ้าฉันขยับคันโยกแค่อันเดียว ตัวรถก็จะเลี้ยว ง่ายๆ แบบนี้แหละ ความเร็วก็สบายๆ ด้วยนะ ขนาดฉันยังขับได้เลย
“นี่เร็วสุดแล้วเหรอเนี่ย? เอื่อยเฉื่อยสุดๆ ไปเลยนะแบบนี้”
“เออ ก็จริงนะ แบบว่า เจ้านี่จริงๆ ก็ออกแบบมาเป็นเครื่องจักรเพื่อใช้ทำงานในสวนในไร่นี่นา”
ที่จริง ในหนังสือข้อมูลสินค้าก็บอกไว้แล้วล่ะว่าความเร็วสูงสุดที่มันทำได้อยู่แค่ 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอง เดินเอายังเร็วกว่าเลยนะ แต่ที่มันดีกว่าก็คือเราไม่ต้องเดินเองยังไงล่ะ
“พื้นที่ตรงกลางนี่มันเสียไปเปล่าๆ เลยนะว่ามั้ย?”
โทริโกะพูดขึ้นมาอย่างคาใจ พลางเอนตัวเข้ามา มองลงไปดูที่ช่องว่างๆตรงกลางตัวรถ
“นั่นสิ เราไปซื้อตะขอเกี่ยวหรืออะไรแบบนั้น จะได้เอาสัมภาระของพวกเราไปห้อยไว้ตรงนั้นดีมั้ย?”
ตัวรถมีชั้นสำหรับวางของที่พวกเราเอาไปวางซ้อนๆ ไว้ข้างบนได้ด้วย แล้วเหนือล้อตีนตะขาบข้างซ้ายกับขวาเองก็ยังว่างอยู่ด้วย เอาไรเฟิลเก็บไว้ตรงไหนดีนะจะได้สะดวกที่สุด? ฉันมองไปรอบๆ ตัวรถเลย ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ
ของอย่างเดียวที่พวกเราขนมาด้วยครั้งนี้คือผ้าใบสีฟ้า ที่เราจะเอาไว้ใช้คลุมตัวรถเวลาที่เราอยู่ที่โลกเบื้องหลัง แต่อันที่จริง AP-1 เนี่ยมันถูกสร้างมาเพื่อขนของอย่างเมล็ดต้นยาสูบ ถังสารเคมีทางการเกษตร แล้วก็ใบยาสูบที่เก็บเกี่ยวมา เพราะงั้น ถึงจะเห็นหน้าตาเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่เจ้านี่ก็ถึกทนกว่าที่หลายๆ คนอาจจะคิดอีกนะ นั่นแหละ เหตุผลของชื่อ AP ที่ย่อมาจาก All Purpose (เอนกประสงค์) ของมันล่ะ แถมดูเหมือนพวกเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้หลากหลายมากเลยด้วย
ถึงยังงั้นก็เถอะ แต่ฉันไม่คิดว่าผู้ออกแบบจะคิดเอาไว้ว่าของที่พวกเขาสร้างจะถูกเอาไปใช้ในการเดินทางในโลกที่ไม่คุ้นเคยนั่นน่ะ
พวกเราขับวนรอบสวนในบ้านที่มีต้นหญ้าขึ้นรกทั่วไปหมดรอบนึง ก่อนจะวนกลับมาที่ประตูหน้าบ้านอีกรอบนึง การทดลองขับเนี่ยแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง? ฉันหยุดรถ AP-1 ไว้ก่อน แล้วก็ก้มลงไปมองที่สีหน้าไม่พอใจของคุณโคซากุระจากบนที่นั่งบนรถนี่
“ถ้างั้น พวกเราไปก่อนนะคะ”
“ฉันล่ะทึ่งจริงๆ ที่พวกเธอไปที่นั่นได้แบบสบายๆ แบบนี้น่ะ…”
คุณโคซากุระพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย
“พวกเราแค่จะเอาเจ้านี่ไปทิ้งไว้ฝั่งนู้นเองค่ะ ครั้งนี้ เดี๋ยวพวกเราก็กลับมาแล้วค่ะ”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด นั่นมันคำพูดปักธงตายเลยนะนั่นน่ะ”
“อะไรกันน่ะ แสดงว่าฉันทิ้งเจ้านี่ไว้ตรงนี้ได้ตลอดเลยงั้นเหรอคะ?”
“ได้ก็แย่แล้วย่ะ”
“งั้นก็ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่น่าจะบ่นพวกเราเลยนี่นา?”
“โคซากุระเขาเป็นห่วงพวกเราน่ะ โซราโอะ”
พอได้ยินโทริโกะบอกฉันแบบนั้น คุณโคซากุระก็ยิ่งมีสีหน้าบูดบึ้งเข้าไปอีก
“เอ้อ ก็เป็นห่วงน่ะสิ… ใช่ พวกเธอ 2 คนมีอะไรที่มันเพี้ยนไปกันแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตั้งใจเข้าไปที่ที่มันน่ากลัวขนาดนั้นได้ยังไงกันนะพวกเธอเนี่ย?”
พอฉันกับโทริโกะหันมามองหน้ากัน คุณโคซากุระก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ คงจะสายเกินไปแล้วล่ะนะ อย่าเอาอะไรแปลกๆ กลับมาด้วยเชียวล่ะ ถึงยังไง ที่นี่ก็บ้านฉันนะ…”
ฉันคงจะบ่นอะไรเรื่องความไม่กระตือรือร้นของคุณโคซากุระไม่ได้หรอก ตอนนี้น่ะ เธอเดินออกมาหน้าประตูบ้าน แล้วเดินอีกไม่ถึงนาที เธอก็ไปถึงจุดเสี่ยงที่จะโดนลากเข้าไปหาโลกเบื้องหลังได้แล้วตอนนี้
จากที่ฉันเข้าใจจากการสำรวจมันกับโทริโกะมาแล้วเนี่ย ปกติ เกทตรงนี้ก็จะปิดอยู่ตลอดเลย แค่เดินทะลุไปเฉยๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก
เอาเป็นว่า ตราบใดที่โทริโกะไม่ใช้มือซ้ายของเธอฝืนเปิดมันออกล่ะก็ มันก็น่าจะปลอดภัยอยู่นั่นแหละ แต่ก็… ครั้งแรกที่เกทนี้เปิดออกก็คือตอนที่มีป้า 3 คนโผล่มานี่นะ ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเรื่องแบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีก อย่างพวกตัวประหลาดจากโลกเบื้องหลังออกมากดออดหน้าบ้านคุณโคซากุระอะไรแบบนั้นน่ะนะ
ที่จริง ผลจากการสำรวจของพวกเราก็ช่วยให้คุณโคซากุระสบายใจขึ้นมาได้หน่อยนึง ก็ ทำได้แค่หวังว่าเจ้าปอนโปโกะ (แรคคูนเซรามิกของเธอ) จะช่วยให้เบี่ยงความสนใจของเธอออกจากความกลัวแล้วคอยช่วยให้เธอมีกำลังใจต่อไปได้นะ
ก็แบบว่า มีเกทที่แน่นอนอยู่ตรงนี้มันก็สะดวกกับทั้งฉันทั้งโทริโกะสุดๆ ไปเลยล่ะ…
สำหรับตอนนี้ พวกเราปักเสาหลักไม้เลื้อยหลายๆ ต้นไว้บอกตำแหน่งของเกท เสาสีเขียวปักลงไปในพื้น ห่างกันประมาณ 3 เมตร ฉันคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้าเอาดอกผักบุ้งมาปลูกก็ไม่เลวนะ แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะไปเสี่ยงทำให้คุณโคซากุระโมโหจากการพูดอะไรที่มันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก เพราะงั้น เงียบเอาไว้น่าจะดีกว่า
“โซราโอะ ไปกันเลยดีมั้ย?”
“เอางั้นก็ได้ ช่วยเปิดเกทให้หน่อยสิ?”
“โอเค”
โทริโกะโดดลงจากที่นั่งของตัวเอง ยืนอยู่ตรงหน้าระหว่างเสา 2 ต้น ระหว่างที่เธอทำแบบนั้น ฉันก็ปรับทิศทางตัวรถให้หันตรงกับเกทไปด้วย ที่อีกฟากนึงของเสาคู่นี้ คุณโคซากุระคอยสังเกตการณ์พวกเราอยู่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ดีล่ะ… เอาล่ะนะ”
โทริโกะถอดถุงมือข้างซ้ายออก แล้วก็ยื่นปลายนิ้วของเธอเข้าไปตรงพื้นที่ตรงกลางระหว่างเสา 2 ต้นนั้นอย่างช้าๆ
ที่ตาขวาของฉัน ฉันเห็นเหมือนกับว่าพื้นที่มันบิดเบี้ยวไปในตอนที่โทริโกะไปสัมผัสมัน นิ้วใสๆ ของเธอลูบไปบนพื้นผิวที่ดูเหมือนทั้งผ้าไหมพริ้วทั้งผิวหนังที่เรียบเนียน
นิ้วของเธอชะงักไป ก่อนจะชักกลับมาหน่อยนึง แล้วก็ยื่นเข้าไปอีกรอบนึง ดูเหมือนการคลำของเธอจะมั่นใจมากขึ้นมานิดๆ แล้วนะ มือของหยุดนิ่ง นิ้วทั้งห้ากำแผ่นบางๆ ที่กั้นแยกทั้ง 2 โลกเอาไว้แน่น ต่อด้วยการเหวี่ยงแขนของเธออย่างรวดเร็วเหมือนเป็นการเปิดม่าน แล้วจากนั้น จังหวะต่อมา เกทก็ถูกเปิดออกตรงนั้นเลย
กว้าง 3 เมตร สูง 3 เมตร บริเวณตรงนั้นระหว่างเสายังกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกตัดขาดจากพื้นที่ออกมา อีกฟากนึงของเกทที่ถูกเปิดได้เชื่อมไปหาทุ่งหญ้าเสียงเขียวขจีที่มีลมพัดแรง
“น- นี่… ไม่เป็นอะไรกันใช่มั้ย?”
ฉันได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจของคุณโคซากุระ ก็เลยเอนหลังมองผ่านเสามา พอเป็นแบบนั้น เธอก็ตกใจจนลืมตาโตเลย
“อี๋! ขนลุก!”
“อะไรล่ะคะนั่น? หยาบคายจังเลย”
“เปล่า… จู่ๆ พวกเธอก็หายไปจากตรงนั้นเอาซะดื้อๆ ตอนนี้ ทั้งหมดที่ฉันเห็นมีแค่หัวที่หลุดจากตัวของเธอโผล่ผ่านเสาออกมาเท่านั้นเอง”
อ้อ ก็ฟังดูน่าจะเข้าเค้าแบบนั้นอยู่นะ จากฝั่งของคุณโคซากุระแล้ว เธอจะมองไม่เห็นเกทนี่นา งั้นก็หมายความว่า เธอจะมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ที่อีกฟากนึงของเกทด้วยสินะ?
“นี่ แบบนี้ใช้ได้หรือยัง?”
โทริโกะหันกลับมาถาม ฉันก็พยักหน้าตอบ
“ได้แล้ว เดี๋ยวฉันขับไปข้างหน้าแล้วนะ ระวังด้วย”
ฉันยื่นหน้าผ่านขอบของเสาอีกรอบนึง พร้อมกับมาโบกมือให้ คุณโคซากุระก็ทำสีหน้าขยะแขยงออกมาเลยตอนที่เธอมองส่งพวกเรา
พอขับ AP-1 ไปข้างหน้า ลมอุ่นๆ ของทุ่งโล่งจากโลกเบื้องหลังพัดโดนแก้มของฉัน ยิ่งตอนที่ดอกยางของล้อหมุนเดินไปข้างหน้า ลมที่พัดมาก็ยิ่งแรงขึ้น บดขยี้ทั้งต้นหญ้าทั้งหินกรวดไปตามทาง หลังจากที่ลอดผ่านเกทเข้ามาแล้ว ลานสายตาของฉันก็เปิดกว้างขึ้น ทุ่งโล่งที่มีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมดอยู่รอบตัวเลย
พอพวกเราขับไปข้างหน้าอีกหน่อย ที่นั่งของพวกเราทั้งคู่ก็ผ่านเสามา ตัวรถทั้งคันก็ลอดเข้ามาในโลกเบื้องหลังได้ทั้งหมดเรียบร้อย
แล้วโทริโกะก็ตะโกนเรียกมาจากข้างหลัง
“โซราโอะ! ปิดเลยได้มั้ย?”
“อ๊ะ! เดี๋ยวๆ! แป๊บนึงนะ!”
ฉันรีบหยุด AP-1 และโดดลงจากที่นั่ง ฉันอยากได้อะไรซักอย่างที่ใช้ปักตำแหน่งของเกท ไม่ใช่แค่ในโลกเบื้องหน้า แต่ก็ที่โลกเบื้องหลังนี่ก็ด้วย ฉันดึงเสาหลักไม้เลื่อยลงมาจากชั้นวางที่หลังคา หันกลับไปทางด้านข้างของเกท―แล้วก็อึ้งทึ่งตะลึงไปเลย ตรงกลางทุ่งหญ้าราบโล่ง มันมีเสา 2 ต้นตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย
…เสาโทเทมเก่าแก่ 2 ต้น
ไม่ได้เป็นแบบสวยๆ แบบที่พวกอเมริกันพื้นเมืองสร้างกันหรอกนะ รูปหน้าที่เรียงกันอยู่ในแนวตั้งนี่ไม่ได้มีรูปวาดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ดูออกจะเหมือนรูปวาดเขี่ยๆ ของเด็ก พื้นผิวไม้ก็สึกกร่อนลงมาเหมือนกับว่ามันปักอยู่ตากลมตามฝนมานานแล้ว สีที่ถูกทาเอาไว้แล้วยังพอเหลืออยู่บ้างก็ซีดไปหมดแล้วด้วย
“ทำไม…?”
เจ้านี่เนี่ย คราวก่อนที่มาตรงนี้ยังไม่มีอะไรเลยนี่นา ตอนที่ฉันยืนกระพริบตาปริบๆ โทริโกะก็เดินลอดเกทเข้ามา พูดกับฉันโดยมือก็ยังจับพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้อยู่
“เธอว่า ตอนที่เราปักเสาไว้ที่โลกเบื้องหน้า เจ้านี่มันก็งอกออกมาที่ฝั่งนี้ด้วยหรือเปล่า? ที่เกทอันอื่นน่ะ มันก็มีอยู่ตลอดเลยนี่นา ที่มันจะมีอะไรซักอย่างมาตั้งอยู่ที่นี่ด้วยน่ะ ว่ามั้ย?”
จริงด้วยสิ… นึกภาพไม่ออกเลยแฮะว่าที่ฝั่งนี้มันจะมีใครมาก่อสร้างโครงตึกเอาไว้ที่โลกเบื้องหลังตรงลิฟท์ที่จิมโบโจน่ะ บางที ตอนที่โลกเบื้องหน้าและโลกเบื้องหลังเชื่อมถึงกัน ลักษณะทางภูมิศาสตร์บางอย่างที่ดูเข้ากับเกทก็จะเกิดขึ้นมาในโลกเบื้องหลังนี่เองโดยอัตโนมัติด้วยเลย
“นี่ งั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหาแล้วเนอะ? จะเป็นอะไรมั้ยถ้าฉันปิดมันเลย?”
“โอ๊ะ โทษที เอาเลยๆ”
TN: สำหรับคนที่อ่านมังงะนะครับ นิยายสั้นท้ายเล่ม 8 “บทคั่น เพื่อนที่ทำงานกลางคืน” จะเป็นเหตุการณ์ระหว่างไฟล์ 8 ตอนที่ 2 กับตอนที่ 3 ในทางโคซากุระที่อยู่ที่บ้าน ระหว่างที่รอโซราโอะกับโทริโกะลอดเกทเข้าไปทิ้งรถ AP-1 ไว้ที่ฝั่งนั้น เพื่อนเก่าที่เคยทำงานด้วยกันได้แวะมาหาเธอ จนกระทั่งถึงตอนที่โทริโกะโทรเข้ามาหาโคซากุระเรื่องที่เธอมีแขกพอดี
โทริโกะแบบมือซ้ายที่กางเกททิ้งเอาไว้จนถึงเมื่อกี้ออก รอยย่นกลางอากาศก็สั่นเป็นระลอกในขณะที่มันกลับไปในที่ของมัน แล้วเกทก็ปิดลง สวนที่บ้านของคุณโคซากุระที่พวกเราเห็นผ่านหน้าต่างในพื้นที่ตรงนั้นก็หายวับไปแล้ว
พวกเรา 2 คนยืนอยู่ข้างๆ กัน มองไปทั่วทุ่งหญ้าที่เงียบกริบ มันเป็นวันที่อากาศดีในโลกเบื้องหลังเลยนะ ภายใต้แดดเปรี้ยง สีเขียวของต้นหญ้าก็ดูซีดไปเลย ทางตะวันออกของเกทมีเนินเขาเล็กๆ เมื่อตอนที่ฉันกับคุณโคซากุระมาที่โลกเบื้องหลังนี่พร้อมกัน พวกเราปีนขึ้นไปทางนั้นเพื่อทำความเข้าใจในสถานการณ์โดยรอบด้วยนี่นา
โทริโกะชักมาคารอฟออกมา และดึงโครงเลื่อนของมัน เช็คกระสุนของเธอก่อนจะเก็บมันกลับไป พวกเราพกของมานิดเดียวเอง อย่างไรเฟิลจู่โจมของพวกเรานั่นก็ไม่ได้เอามา ก็อย่างที่ฉันบอกคุณโคซากุระนั่นแหละ เป้าหมายของพวกเราวันนี้ก็แค่ขับ AP-1 มาไว้ที่นี่เท่านั้นเอง
“ดูเหมือนแถวนี้จะไม่มีอะไรเลยนะ แล้วเราจะเอามันไปจอดที่ไหนดีล่ะเนี่ย?”
“ฉันว่าตอนนี้ แค่ทิ้งมันไว้ตรงนี้ไปก่อนก็ได้นะ แล้วเราก็เอาผ้าใบคลุมมันเอาไว้ อยากได้โรงรถจังเลยนะ…”
“มาสร้างเพิงเอาไว้ดีมั้ย?”
“เธอคิดว่าแค่พวกเรา 2 คนจะทำไหวเหรอ?”
“ไม่รู้สิ บางที อาจจะให้คาราเทก้าจังมาช่วยก็ได้นะ?”
พอเจอคำถามนั้น ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะขึ้นมานั่งตรงที่นั่งของตัวเอง เดินเครื่อง แล้วก็ขับ AP-1 มุ่งไปที่เนินเขานั่น
“เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ! รอฉันด้วย!”
โทริโกะร้องขึ้น พลางกระโดดขึ้นมานั่งบน AP-1 ที่เริ่มเดินหน้าแล้ว
“…มันอันตรายนะ”
“ก็ ฉันคิดว่าเธอจะทิ้งฉันเอาไว้น่ะสิ”
โทริโกะจ้องหน้าฉันมาจากข้างๆ แต่ทางฉันก็หลบสายตาเธอออกมาล่ะนะ
บทสนทนาจบลงไปทั้งๆ ยังงั้น แล้วก็เป็นแบบนั้นไปตลอดทางที่ AP-1 วิ่งไต่ขึ้นเนินเขาไปช้าๆ พอพวกเรามาถึงยอดสุด แล้วหนองน้ำที่อยู่อีกด้านของเนินเขาก็โผล่เข้ามาให้เห็น
ฉันหยุดรถ AP-1 แล้วโทริโกะก็โดดลงมา เอามือป้องเหนือตาพลางมองไปรอบๆ พื้นที่ตรงนี้
“โอ๊ะ! นั่นโครงตึกที่มาจากจิมโมโจใช่มั้ย? อืม ที่แท้มันก็เชื่อมถึงกันแบบนี้เองเหรอเนี่ย”
“อย่าไปมองนานเกินไปล่ะ ทุ่งหญ้าที่มีแอ่งน้ำขังเป็นหย่อมๆ ข้างล่างนั่นน่ะมีคุเนะคุเนะอยู่ด้วยนะ”
“ถ้างั้น ที่ที่ฉันเจอเธอครั้งแรกนี่ก็… น่าจะแถวๆ นั่นล่ะมั้ง?”
คำพูดนั้นดึงความสนใจของฉันมา ก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นมา
โทริโกะหันมาเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าฉันจะทำแบบนี้ แล้วพวกเราก็สบตากัน มาตรงนี้สิ เธอกวักมือเรียก ฉันก็ลงมาจากที่นั่งของตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แล้วก็เดินย่ำไปบนหญ้าตรงจุดที่โทริโกะอยู่
“ดูสิ แถวนั่นไง ตรงที่น้ำขังอยู่นั่นน่ะ ใช่มั้ย?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน คือมันก็ไม่ได้มีจุดอะไรให้สังเกตเลยเนี่ยสิ”
“มันมีจุดที่หญ้ามันแหวกออกไปด้วยนี่นา? ฉันว่ามันต้องเป็นทางเท้าที่ไปเจอศพร่างนั้นแน่ๆ เลย ต้องอยู่ใกล้ๆ นั่นแน่”
“หืมมม…?”
ฉันเหลือบสายตามองเธอ ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“จะว่าไปแล้วนี่ ตั้งแต่ที่พวกเรา 2 คนเจอกันครั้งแรกนี่ มานานแค่ไหนแล้วนะ?”
“เดือนพฤษภา งั้นก็… ยังไม่ถึง 3 เดือนเลย”
ฉันตอบ แม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจเลย 3 เดือนเหรอ? คงไม่ใช่แค่นั้นใช่มั้ย?
“แค่ 3 เดือนเองเหรอ…”
โทริโกะเองก็กระซิบออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มันรู้สึกเหมือนว่าฉันอยู่กับโซราโอะมานานกว่านั้นเยอะเลยนะ แปลกจัง”
“น- นั่นสิ”
ฉันเริ่มจะรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว ก่อนจะหันไปมองที่โทริโกะ สายตาละห้อยของเธอนั่นมันทำให้เธอดูน่าหดหู่อย่างไม่คุ้นตาเลย
“…โซราโอะ ทำไมเธอถึงตามฉันมาตลอดแบบนี้ด้วยล่ะ?”
“เอ๊ะ?”
“เธอไม่ได้สนใจซัทสึกิเลยซักนิดนี่นา ใช่มั้ยล่ะ? แต่เธอก็ยังเต็มใจเข้ามาในที่อันตรายแบบนี้กับฉัน คนที่เธอเองก็ไม่ได้เจอกันมานานขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ ทำไมล่ะ?”
เธอถามฉันแบบนั้นเอาป่านนี้ หลังจากที่พวกเราผ่านเรื่องเฉียดตายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดมาด้วยกันเนี่ยนะ?
“…ก็ ฉันก็อยากออกสำรวจด้วยเหมือนกันนะ ฉันถึงดึงเข้ามาที่โลกเบื้องหลังนี่ก่อนจะเจอกับเธอซะอีกด้วยซ้ำนี่”
ฉันพูดตอบไปแบบนั้น ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงงึมงำ
“อีกอย่าง แบบว่า พวกเราก็ป-… เป็นเพื่อนกันนี่นา แค่นั้นแหละ”
“ขอบใจนะ แต่…”
แต่? แต่อะไร?
“ฉันสงสัยว่า มันจะดีเหรอที่ฉันจะดึงความสนใจของเธอมาคนเดียวแบบนี้น่ะ”
“…หมายความว่าไง?”
“ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้วล่ะ ตอนที่เจอพวกแมว เธอดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับโคซากุระนี่นา อาคาริเองก็ด้วย เธอพยายามเต็มที่เลยเพื่อจะช่วยพวกทหารกองกำลังสหรัฐ แล้วเธอก็หงุดหงิดง่ายสุดๆ ไปเลยนะตอนที่ดื่มกันจนเมาที่นาฮะน่ะ ตามปกติ เธอก็เข้าหาคนอื่นๆ ทุกแบบได้เลย แล้วมันก็จะเปิดโลกของเธอให้ขยายออกไปด้วย แต่ถ้าเกิดว่าเธออยู่กับฉันแบบนี้ ฉันก็เหมือนไปขโมยศักยภาพนั้นของเธอมาเลยนะ”
“ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นเลย… ฉันขี้อาย แล้วก็ ให้พูดตามตรง ฉันไม่อยากให้โลกของฉันมันขยายเกินไปแบบนั้นหรอก”
“หืม แบบนั้นมันเสียเปล่ามากเลยนะ”
โทริโกะพูดตัดบทฉันขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ ฉันก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตลอดตั้งแต่ตอนนั้น ตั้งแต่ตอนที่เจอซัทสึกิเป็นครั้งแรก เธอก็คือทุกอย่างที่สำคัญสำหรับฉันเลยนะ รู้มั้ย? ฉันไม่สนใจใครคนอื่นเลย”
“อืม เหรอๆ”
ฉันตอบรับเธอไปอย่างเบื่อๆ แต่แล้ว เรื่องนึงมันก็แวบเข้ามาในหัวพอดี
“แล้วคุณโคซากุระล่ะ? พวกเธอรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนเหรอ?”
“หลังจากที่ซัทสึกิหายตัวไปน่ะ เธอก็รู้ใช่มั้ยว่าปกติโคซากุระเป็นยังไง? เธอเป็นคนที่สามารถเข้าหาได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องคอยทำตัวเสแสร้งเลย เราก็เลยเป็นเพื่อนกัน คอยติดต่อหากันเอาไว้ ฉันเคยเจอเธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกันนะ แต่ตอนนั้น พวกเราไม่มีใครสนใจกันเลย”
พอได้ฟัง ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหงาขึ้นมาเรื่อยๆ เลย ถ้าฉันได้เจอกับโทริโกะมาก่อนหน้านั้น ก็ไม่แน่นะว่าเธอจะได้มาให้ความสนใจอะไรฉันหรือเปล่า?
“ตอนที่ซัทสึกิหายไปน่ะ ว่าตามตรงเลย ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อไป จู่ๆ ฉันก็เหลือตัวคนเดียว―มันน่ากลัวมากเลย ไม่ว่าจะตอนนั้น หรือว่าตอนนี้ ถึงที่นี่จะยังมีเธอกับโคซากุระที่รอฉันอยู่ก็เถอะ ฉันก็ยังกลัวอยู่ตลอดอยู่ดี ทำได้แค่พยายามหาตัวของซัทสึกิต่อไปอยู่แบบนี้”
โทริโกะลังเลไปอีกซักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“นี่ โซราโอะ ฟังนะ ถ้าเกิดว่าฉันหายตัวไป―”
“หยุดตรงนั้นเลย พวกเราสัญญากันแล้วนะ”
“ฉันจะไม่จู่ๆ ก็หายตัวไปไหนเองคนเดียวโดยไม่บอกแน่นอน แต่การเดินไปทั่วในที่อันตรายแบบนี้น่ะ พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นได้บ้าง”
ไม่ยุติธรรมเลยนะ ฉันคิดอยู่แบบนั้น เธอพูดเรื่องที่พวกเราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วขึ้นมาแบบนี้น่ะ เรื่องที่ต่อให้ไม่พูด พวกเราต่างก็เข้าใจกันดี
ลมที่พัดมาทำให้ผิวน้ำในบึงข้างลอกกระพือเป็นคลื่นระลอก จากตรงนี้ แม้แต่ฉันเองก็มองไม่ออกเลยว่ามีกลิทช์อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า
พอเห็นว่าฉันพูดอะไรไม่ออก โทริโกะก็พูดต่อ
“ถ้าเกิดว่าฉันหายไปนะ โซราโอะ ฉันกลัวว่%