บัญชามังกรเดือด - บทที่ 144 กลับบ้าน
บทที่ 144 กลับบ้าน
ซูซูพึ่งจะตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ เมื่อครู่นี้อยู่ภายใต้ความตื่นเต้นของตัวเอง ไม่คาดคิดว่า….เรียกเขาว่าสามีแล้ว!
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต
เมื่อมองไปเห็นแววตาหยอกล้อของฉินเทียน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“ฉันเรียกนายว่าฉินเทียน”
“ไม่ให้เรียกฉินเทียน หรือว่าจะให้เรียกเอ้อร์กั่วหรือไง”
เฉินเอ้อร์กั่วสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความตื่นตกใจ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า : “พี่สะใภ้ จะเรียกอ้อร์กั่วให้ทำอะไร?”
ซูซูตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พึ่งจะรู้ตัวว่าได้พลาดทำร้ายเอ้อร์กั่วไปแล้ว เธอปิดริมฝีปากแล้วพูดอย่างยิ้มแย้มว่า : “ไม่มีอะไร”
“พี่สะใภ้มีเพื่อนสนิทที่ยังโสดอยู่มากมาย กลับไปแล้วจะแนะนำให้นายนะ”
“จริงเหรอ?”
“ขอบคุณมากพี่สะใภ้!”
ทันใดนั้นเอ้อร์กั่วก็ถูกสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเข้าสิงในทันที
“พี่สะใภ้คุณหิวแล้วหรือยัง? พี่สะใภ้อยากกินอะไรไหม?”
“พี่สะใภ้ ในเมื่อมาที่นี่แล้ว อยากจะซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นสักหน่อยไหม? ไม่เป็นไร เอาบัตรของผมไปรูด”
“พี่สะใภ้ ครั้งนี้จะต้องอยู่ที่นี่หลายวันหน่อย ให้น้องชายคนเล็กได้แสดงความเคารพกับพี่และพี่ใหญ่ของผมอย่างดีที่สุด”
“พี่สะใภ้ คุณชอบกระเป๋าแบบไหน?”
คนที่อยู่ข้างตัวเหลิ่งเฟิงและคนอื่นๆ ต่างก็พากันกลอกตากันเป็นพักๆ
ง่ายๆเลยก็คือ ไม่อยากจะมอง!
ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้แต่ละคำ ซูซูก็รู้สึกเขินอายมากแล้ว
เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “เอ้อร์กั่ว ฉันมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง แล้วก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน”
“ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทของฉัน แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงบุคลิกภาพและความสามารถเลย”
“ก็คือว่าหย่าร้างแล้ว มีลูกอยู่หนึ่งคน นายรู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของเฉินเอ้อร์กั่ว ซีดเผือดลงไปทันที
เขาพูดด้วยสีหน้าที่ขมขื่นว่า : “พี่สะใภ้ ไม่มีคนโสดที่ยังไม่ได้แต่งงานแล้วใช่ไหม?”
“เคยหย่าร้างมาก่อนก็สามารถรับได้ ก็คือ สามารถไม่เอาลูกมาด้วยได้ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าผมเกลียดเด็กหรอกนะ เหตุผลหลักเลยก็คือไม่ชอบการยินดีที่จะได้เป็นพ่อเท่าไรนัก”
ซูซูอดทนยิ้มเอาไว้แล้วพูดว่า : “อย่างนั้นฉันจะสนใจนายแทนเอง”
เฉินเอ้อร์กั่วรีบร้อนพูดว่า : “ขอบคุณพี่สะใภ้ ผมไม่เลือก สามารถมีความสวยได้แค่หนึ่งในสิบของพี่สะใภ้ ผมก็พอใจแล้ว”
ซูซูรู้สึกอายที่ถูกชม แล้วก็พูดอย่างเขินอายว่า : “ฉันมีอะไรที่สวยขนาดนั้นกัน…ฉินเทียน บอกฉันหน่อย พวกเราจะกลับกันเมื่อไร?”
“ฉันอยากที่จะบินกลับไปหลงเจียงตอนนี้เลย”
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาอยากจะไปแล้ว แววตาของเฉินเอ้อร์กั่วก็เริ่มวิตกกังวลในทันที
“พี่ใหญ่ เมื่อคืนวานผมยังดื่มเหล้าไม่ถึงใจเลย”
“ไม่ง่ายเลยที่จะได้มาอีก อยู่ต่ออีกสองสามวันเถอะ”
ฉินเทียนเข้าใจความรู้สึกของซูซู งานนิทรรศการในครั้งนี้ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมาก เธอจึงอยากรีบกลับไปขยายการทำงานน่ะสิ
อย่างไรเสีย ครีมซูยู่และซูยู่กรุ๊ป ก็เป็นราวกับลูกของเธอคนหนึ่ง ที่รอคอยน้ำนมไปประทังชีวิตอย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอนว่า เขาก็เข้าใจความรู้สึกของเฉินเอ้อร์กั่วเช่นกัน พี่น้องที่หลายปีมานี้ จะเจอหน้ากันสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะยินยอมให้ไปอย่างรีบร้อนได้อย่างไร
ในท้ายที่สุด ภายใต้การชั่งน้ำหนัก เขาจึงได้ใช้วิธีการประนีประนอมอย่างหนึ่ง
“วันนี้ก็ดึกมากแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็อยู่ที่นี่อีกสักคืน พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปเถอะ”
“กั่วจือ โทรหาพวกพี่น้องของพวกเรา คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ”
เหลิ่งเฟิงพูดอย่างตื่นเต้นว่า : “พี่ใหญ่ นั่นรวมพวกผมด้วยไหม?”
ฉินเทียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ของเพียงแค่พี่น้องที่ไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ ก็สามารถเข้าร่วมได้หมด ก็กลัวแต่ว่าลูกพี่กั่วของพวกนายจะเตรียมเหล้าเอาไว้ไม่พอน่ะสิ”
เฉินเอ้อร์กั่วพูดอย่างตื่นเต้นว่า : “ถึงแม้ว่าผมจะต้องให้ม้าเฒ่าส่งเครื่องบินจากต่างประเทศมาถึงที่นี่ในทันที ก็จะต้องมีเหล้าเพียงพอแน่นอน!”
“เหล้าตะวันตกไม่ถึงใจ จะต้องเป็นเอ้อร์กัวโถว!”
ซูซูได้มองเห็นมิตรภาพของพี่น้องระหว่างพวกผู้ชายอย่างพวกเขา ก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
“คุณอย่าดื่มมากไปละ” เธอพูดกับฉินเทียนด้วยความเป็นห่วงประโยคหนึ่ง รู้ความเหมาะสมมาก แล้วก็กลับห้องของตัวเองไป
คืนนั้น สำนักงานใหญ่ของหน่วยรักษาความปลอดภัยเทียนตุ้นในหลานซี่อ ถูกจุดไฟด้วยความร้อนผะผ่าวของแอลกอฮอล์และจุดไฟด้วยความร้อนวูบวาบเช่นเดียวกันจากมิตรภาพของพี่น้อง
ด้านนอกสำนักงานของเฉินเอ้อร์กั่ว ขวดเหล้าของเอ้อร์กัวโถว กองจนกลายเป็นเหมือนภูเขาลูกเล็กๆ
เจ้าตัวช่วยพวกนี้ ทุกคนต่างก็ขโมยดื่มได้ ผู้ชายที่แสนโหดเหี้ยมพวกนี้ อั้กๆ ราวกับดื่มน้ำเย็นอย่างไงอย่างงั้น
ฉินเทียนค้นพบว่าตัวเองประเมินพลังการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไปเล็กน้อยแล้ว
เขาไม่ได้นำเอาแรงภายในมาขจัดให้ตัวเอง ปริมาณแอลกอฮอล์ปกติ อยู่ที่หนึ่งชั่งครึ่งถึงสองชั่งเท่านั้น
จำใจถูกเฉินเอ้อร์กั่วอีกทั้งเหลิ่งเฟิงและคนอื่นๆ ผลัดกันมาคารวะเหล้า เพียงไม่นาน ก็ถึงขีดจำกัดเสียแล้ว
เฉินเอ้อร์กั่วดื่มจนดวงตาแดงก่ำ แล้วเปิดขวดที่เหลืออีกเพียงสองขวด แล้วยกมันขึ้น อยากที่จะพ่นลมหายใจกับฉินเทียน
ฉินเทียนยิ้มแฃ้วพูดว่า : “เอ้อร์กั่ว สองขวดสุดท้ายนี้ เก็บเอาไว้ดื่มกันครั้งหน้าเถอะ”
“ผมแมร่งไม่อยากให้เหมือนรอบก่อนนั้นอีกแล้ว ถูกพี่บังคับให้เป่าขวด สุดท้ายพี่แมร่งก็เมากับข้าจนถึงครึ่งคืนเท่านั้นเอง”
เหลิ่งเฟิงก็พูดเกลี้ยกล่อมด้วยดวงแต่ที่แดงก่ำเช่นกัน : “พี่กั่ว พรุ่งนี้พี่ใหญ่ยังต้องขึ้นเครื่องตั้งแต่เช้านะ”
เฉินเอ้อร์กั่วยิ้มแล้วพูดว่า : “พี่ใหญ่ คืนเข้าห้องหอมีค่าดังทองพันชั่งใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เป็นเพราะพี่น้องชะล่าใจเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า : “เฉินเอ้อร์กั่ว ส่งพี่ใหญ่กลับห้องเจ้าสาวด้วยความยินดี!”
เหลิ่งเฟิงและคนอื่นๆ ทั้งหมดที่ดื่มกันจนเมาอ้อแอ้ ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ส่งพี่ใหญ่ด้วยความยินดี!”
“ไอพวกเด็กเวรนี่ ครั้งหน้าค่อยมาจัดการพวกแก!” ฉินเทียนต่อว่าด้วยรอยยิ้มไปคำหนึ่ง ก็กลับมาถึงห้องน้ำแล้ว
ซูซูนอนตะแคงอยู่ เส้นผมราวกับน้ำตก เดิมทีฉินเทียนคิดว่าเธอนอนหลับสนิทไปแล้ว ไม่อยากรบกวน เขาค่อยๆ นอนลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง
“ดื่มไปมากเท่าไรกันนะ ทำไมถึงมีกลิ่นเหล้าแรงขนาดนี้”
ซูซูบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง แล้วเตะผ้าห่มผืนหนึ่งที่อยู่บนเตียงลงไปที่พื้น : “ฉันไม่ชอบร้อน นายเอาไปห่มเถอะ”
สถานการณ์ตอนนี้ แอลกอฮอล์บนหัวของฉินเทียน ใกล้ที่จะจู่โจมขึ้นมาแล้ว
สุดท้าย เขาก็ยังสามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้
“ขอบคุณนะภรรยา”
ในความมืดมิดนั้น ซูซูยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า : “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้เราจะต้องขึ้นเครื่องบินอีก”
หัวใจของฉินเทียนเต้นระรัว การเดินทางไปอิตาลีในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ได้เก็บเกี่ยวมากที่สุด ไม่ใช่ที่ซูซูได้รับรางวัลเหรียญทอง
ไม่ใช่การที่ได้ช่วยเฉินเอ้อร์กั่วให้ได้รับการร่วมมือกับสี่ตระกูลใหญ่
แม้แต่ ข้อมูลอันล้ำค่าที่ได้รับจากเถ้าแก่รองที่เกาะของซิซิลีก็ไม่ใช่
เขารู้สึกว่า สิ่งที่คุ้มค่ามากที่สุด ก็คือการที่ซูซูทำต่อตัวเอง คือยอมรับขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งแล้ว
มีภรรยาอย่างนี้ สามียังจะไปต้องการอะไรอีก
เขามีความมุ่งมั่นมากขึ้นแล้ว ในชีวิตนี้และโลกนี้ ตัวเองจะต้องใช้ความพยายามให้มากที่สุด เพื่อมาคุ้มครองผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุด
วันรุ่งขึ้น เฉินเอ้อร์กั่วและเหลิ่งเฟิง ก็ไปส่งฉินเทียนและซูซูที่สนามบินด้วยตัวเอง
กล่าวอำลาอย่างอ้อยอิ่ง ฉินเทียนเห็นแม้กระทั่ง เมื่อตอนที่เฉินเอ้อร์กั่วก้มหน้าก้มตาลง ก็เช็ดที่มุมตาของเขา
ฉินเทียนยิ้มแล้วพูดว่า : “น้องที่ดี ก็ยังคงเป็นประโยคนั้น หนทางของพวกเรายังไม่สิ้นสุด อนาคตยังอีกยาวไกล”
เครื่องบินเริ่มขึ้นบิน ตามความงดงามแบบอิตาเลี่ยน ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปใต้หมู่เมฆ
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
เมื่อเทียบกับเมืองหลานที่มีชื่อเสียงทางด้านแฟชั่นนานาชาติทั้งหมดของที่นั่นแล้ว เมืองหลงเจียงที่อยู่ตรงหน้านี้กลายเป็นเมืองเล็กและล้าหลังไปเลย
แต่ทว่า นี่ก็คือบ้าน!
ความรู้สึกที่เป็นเจ้าของไม่สามารถมาแทนที่ได้
แม้แต่ท่อไอเสียรถยนต์ที่ลอยอยู่ภายในบรรยากาศ ก็เย็นเต็มไปด้วยความรู้สึกสนิทใจ
หลินเซวี่ยมารับที่เครื่องบิน ซูซูแม้แต่บ้านก็ไม่สนใจที่จะกลับไป กอดถ้วยรางวัลไปตลอดทาง ให้หลินเซวี่ยขับรถไปที่บริษัท
หลิวชิงกล่าวอย่างตื่นเต้น : “ยินดีกับคุณด้วย ประธานซูของฉัน”
“ข่าวที่คุณได้รับรางวัล ฉันได้เห็นจากสื่อต่างประเทศแต่แรกแล้ว”
“ตอนนี้ ฉันก็มีข่าวดีที่อยากจะมารายงานให้คุณทราบเหมือนกัน”
“พรีเซ็นเตอร์ในอุดมคติที่พวกเราเลือกกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ คือดาราดังอย่างมู่เฟยเฟย แล้วยังเป็นคนรับโทรศัพท์ของฉันด้วยตัวเองอีกด้วย”
“หลังจากที่ได้ฟังฉันเล่าแล้วก็เต็มใจที่จะร่วมมือกับเรา เธอแสดงมาแล้ว ว่ามีความสนใจเป็นอย่างมาก”
“ไม่นานนี้ เธอน่าจะส่งผู้จัดการส่วนตัวมา เจรจารายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับความร่วมมือนี้อย่างดี”
“ประธานซู ปัจจุบันมู่เฟยเฟยอยู่ในชั้นแนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ก่อนหน้านี้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับนานาชาติ สัญญากำลังจะหมดอายุแล้ว”
“ในเวลานี้ ถ้าพวกเราสามารถนำเธอมาได้ ครีมซูยู่จะต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องลู่ทางการจำหน่ายแล้ว”
“จริงเหรอ?” ซูซูพูดอย่างตื่นเต้น : “หลิวชิง ขอบคุณคุณมากเลย!”
“คุณนี่เก่งมากจริงๆ!”
เมื่อได้ยินพวกเธอพูดคุยถึงดาราหญิง จู่ๆ ฉินเทียนก็นึกถึงหลิวหรูยู่คนนั้นขึ้นมาได้
เขาอดไม่ได้จึงถามไปว่า : “ภรรยา ผมจำได้ว่าคุณชอบหลิวหรูยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่เชิญเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ละ”
“หรือว่า ระดับสถานะของเธอไม่ดีเท่ามู่เฟยเฟยเหรอ?”