บัญชามังกรเดือด - บทที่ 264 พูดจริงทำจริง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 264 พูดจริงทำจริง
ขณะที่ฉีเหรินโทรศัพท์หากวนซานเย๋นั้น ชั้น 5 ชั้น 8 ของชุมชนความสุข
เหล่ากุ่ยที่โอบกอดผู้หญิงอยู่ ก็ตื่นขึ้นมาอย่างขี้เกียจบนเตียงของเจิ้งจี๋
เมื่อเห็นภาพของกงลี่ ก็มีความปรารถนา
“เหมินสันยังไม่ได้ข่าวเจิ้งจี๋เจ้าหมอนั่นอีกเหรอ?”
“เขาบอกว่า วันนี้ยกเมียเขาให้ฉันไม่ใช่เหรอ?”
เหมินสันพูดเสียงขรึม:“ยังไม่ได้ข่าวเลย”
“ฉันโทรศัพท์ไป เจ้าหมอนั่นปิดเครื่องตั้งนานแล้ว”
“พี่กุ่ย ไม่ใช่ว่าไอ้หมอนี่หนีไปแล้วหรอกนะ?”
“ถ้างั้นเอาแบบนี้ พวกเราไปเก็บบ้านกันเถอะ ห้องชุดนี้น่าจะมีมูลค่าหลายแสนอยู่”
คนผอมที่กำลังเหลือบมองเหล่ากุ่ยที่กำลังโอบสาวอยู่ พูดแล้วแสยะยิ้ม
“เก็บบ้าอะไร!”
“ไม่มีคนเซ็นชื่อกรรมสิทธิ์ จะโอนที่ได้ยังไง เก็บแล้วได้อะไร”
“เจ้าหมาเจิ้งจี๋ กล้ามาหลอกฉัน ฉันจะให้มันตายอย่างผีไร้สุสาน!”
“มัวอึ้งอะไรอยู่?ยังไม่รีบออกไปสืบข่าวให้ฉันอีก!”
“ไม่ว่าพวกนายจะใช้วิธีไหน ก็ต้องจับมาตรงหน้าฉันให้ได้!”
ลูกน้องหลายคนรับคำสั่ง จากนั้นกำลังจะเตรียมตัวออกไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เจิ้งจี๋กลับมาแล้ว?รีบเปิดประตู!”เหล่ากุ่ยกระโดดลงมาจากเตียง
เมื่อประตูเปิดขึ้น คนปลิ้นปล้อนก็เข้ามา ผู้ชายมีหนวดที่อยู่ชั้นสาม เมื่อเห็นเหล่ากุ่ย ก็รีบก้มหัวให้
เหล่ากุ่ยขมวดคิ้วแล้วถุยใส่ จากนั้นพูดว่า:“ไอ้เต่า ทำไมเป็นนาย?”
“หากนายไม่ได้ไปขโมยแบตรถคนอื่น ก็โดนตำรวจจับมา?”
“ฉันจะบอกนายให้นะไอ้เต่า เรื่องแบบนี้คราวหน้า อย่าเอาชื่อฉันไปอ้าง ไม่งั้นฉันจะฆ่านายแน่!”
“ฉันเกลียดคนแบบนาย!”
ส่วนพวกที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็ถุยน้ำลายไปตามๆ กัน
เจ้าหมอนี่เป็นโจรกระจอกที่ว่าง ไม่กล้าทำอะไรใหญ่ๆ ขโมยของใหญ่ๆ ไม่ได้ อย่างมาก็แค่แบตรถ รถจักรยานก็เท่านั้น
เขาอยากจะมาเป็นพวกกับเหล่ากุ่ย แต่ว่า เหล่ากุ่ยและลูกน้องของเขา ต่างไม่เลือกเขา
“พี่กุ่ย ดูพี่พูดสิ”
“เจ้าเต่าอย่างผมสาบานแล้วว่า จะไม่ทำให้พี่กุ่ยเสียหน้า ล้างมือไปแล้ว”
“พี่กุ่ย ผมมาครั้งนี้ มีเรื่องสำคัญจะรายงาน”
เหล่ากุ่ยจุดบุหรี่สูบแล้วพูดว่า:“ยืมเงิน?ไม่มีให้”
เจ้าเต่าเอาเท้าหลบ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า:“พี่กุ่ย ผมมาหาพี่มีเรื่องใหญ่!”
“เรื่องใหญ่มาก!”
“พี่ทายได้ไหม?เมื่อครู่ผมได้ข่าวมาว่า มีคนเก่งกล้าสู้มา ตอนนี้อยู่ที่โรงงานร้างชานเมืองเหนือ”
“แม้แต่กวนซานเย๋ต่างก็ตกใจแล้ว”
“ตอนนี้ กวนซานเย๋กำลังรวบรวมลูกน้องอยู่ กำลังรีบที่จะไปปราบที่โรงงานชานเมืองเหนือ!”
“กวนซานเย๋?”เหล่ากุ่ยเบิกตากว้าง พูดด้วยความตกใจว่า:“คนเก่งกล้าสู้อะไรไปทำให้กวนซานเย๋โกรธได้?”
“แม่งเอ๊ย แบบนั้นเท่ากับหาเรื่องตายดิ!”
เจ้าเต่าพูดอย่างกระตือรือร้น:“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ!”
“ในพื้นที่เมืองเจิ้ง เมื่อกวนซานเย๋ออกโรง ไม่มีเรื่องไหนที่จัดการไม่ได้ ทำให้คนยอมแพ้ไม่ได้”
เหล่ากุ่ยขณะที่ได้สติกลับมา พูดว่า:“นายมาพูดเรื่องนี้กับฉันทำไม?”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน?”
เจ้าเต่ากระทบเท้าแล้วพูดว่า:“พี่กุ่ย ทำไมพี่ยังไม่เข้าใจอีก!”
“นี่เป็นโอกาสที่จะได้แสดงฝีมือไง!”
“พี่ไม่ได้อยากร่วมแก๊งค์กับกวนซานเย๋เหรอ?ตอนนี้พวกเราไปช่วยต่อสู้ เขาอาจจะเห็นพวกเราในสายตาบ้าง?”
“บางทีเขาอารมณ์ดีมีความสุข อาจจะอนุญาตให้พวกเราร่วมแก๊งค์กับเขาก็ได้?”
ใบหน้าเหล่ากุ่ยปรากฏความพอใจ แต่เขาลังเลแล้วพูดว่า:“แบบนี้ไม่ดีมั้ง”
“กวนซานเย๋ไม่ได้เรียกพวกเรา หากพวกเราไป จะเอาเหตุผลอะไรไปอ้าง?”
“เขาจะไม่พอใจหรือไม่?”
เจ้าเต่ากัดฟันแล้วพูดว่า:“พี่กุ่ย ทำไมถึงได้เลอะเทอะแบบนี้!”
“คนเก่งกล้าสู้นั้นมันหาเรื่องคนทั้งเมืองเจิ้ง พี่น้องที่ได้รับข่าว ต่างก็โมโหกันมาก”
พวกเรารีบไปช่วยเอง ก็เพื่อจัดการศัตรูร่วมกัน ปกป้องบ้านของเรา!”
“พี่คิดว่า กวนซานเย๋จะไม่ชอบคนแบบพวกเราเหรอ?”
“จริงด้วยพี่กุ่ย!”
“เจ้าเต่าพูดถูก พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวช้า จะไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ”บรรดาลูกน้องพูดด้วยความดีใจ
พวกเขาอยู่ในเมืองเจิ้งได้แต่รังแกคนแบบเจิ้งจี๋ ทำให้ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ
เมื่อเทียบกับกวนซานเย๋แล้ว แม้แต่รองเท้ายังไม่คู่ควรเลย
พวกเขาได้แต่ฝันว่า อยากจะเข้าร่วมบริษัทของกวนซานเย๋
“เจ้าเต่า ในที่สุดนายก็ทำเรื่องที่สมควรทำ”
“หลังจากเรื่องนี้สำเร็จ ฉันจะเก็บนายไว้เป็นน้องเล็ก”
“หยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้!”
“ไป!”เหล่ากุ่ยดับบุหรี่ กระดุมที่ยังติดไม่ดี ใบหน้ากระตือรือร้นพุ่งออกไป
สถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นใกล้กับโรงงานร้างชานเมืองเหนือ
ขณะตอนที่ขับรถตู้รีบมาถึงอย่างรวดเร็ว ก็เห็นรถเบนซ์จอดอยู่หลายคัน และยังมีรถโรลส์-รอยซ์ด้วย นึกว่ามาช้าไปแล้ว
หากว่ากวนซานเย๋มาถึงก่อนล่ะก็ และจัดการกับคนเก่งกล้าสู้นั้นบี้ไปแล้ว ถ้างั้นพวกเขา ก็หมดโอกาสได้แสดงฝีมือน่ะสิ
แต่ว่าในเมื่อมาแล้ว จะกลับมือเปล่าไม่ได้
เหล่ากุ่ยนำทีม ในมือของแต่ละคนถือกระบอง พุ่งเข้าไปด้วยความโกรธ
ทำไมบรรยากาศไม่ค่อยถูกต้อง?
เมื่อเดินเข้าไปด้าน ราวกับพ่อลูกที่กตัญญูนั่งกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แบ่งเป็นสองแถว เป็นชายรุ่นใหญ่ที่สวมสูตรเป็นสิบๆ คน
ขณะนั้น แต่ละคนดูหงอยเหงาซึมเซา
เมื่อดูด้านในเข้าไปอีก แล้วก็ยังมีผู้ชายจำนวนหนึ่ง ล้มอยู่บนพื้น จับมือและขา ส่วนปากก็ฮึ่มๆ ไม่หยุด
นี่ไม่ใช่คนของกวนซานเย๋นี่
หรือว่า เจ้าหมอนี่ก็คือคนเก่งกล้าสู้ที่พูดถึง ถูกกวนซานเย๋จัดการ จากนั้นก็คุกเข่ารับผิด?
แต่ว่า ดูแล้วไม่ค่อยเหมือน
ไม่เพียงแค่พวกเขาที่กำลังอึ้ง
คนในโรงงาน ที่มองมายังพวกเขา ต่างก็อึ้ง
ฉินเทียนที่อึ้งอยู่นาน อดที่จะพูดไม่ได้ว่า:“นี่คือคนที่พวกนายให้เรียกมาช่วย?”
“นี่น่ะเหรอที่เรียกว่ามือหนึ่งในเมืองเจิ้ง?ล้อเล่นบ้าอะไรอยู่!”
เมื่อได้ยินเสียง เหล่ากุ่ยก็หันมามอง
ในที่สุดก็เห็นพ่อลูกฉีเหรินและฉีชุนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น
สองคนนี้ไม่รู้จักเขา แต่ว่าเขารู้จักฝ่ายตรงข้าม
บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเจิ้ง!
เมื่อเห็นตรงนี้ เหล่ากุ่ยก็ตกใจ
“นี่ไม่ใช่เจ้าบ้านฉีหรอกเหรอ?”
“แล้วยังมีคุณชายฉีด้วย พวกคุณทำอะไรกัน?”
“กวนซานเย๋ล่ะ?ไหนล่ะคนเก่งกล้าสู้?”
ฉีเหรินและฉีชุน ต่างก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
แล้วนี่มีตัวตลกออกมาจากไหนกัน
พวกเขาคิดในใจว่า ไม่ใช่ว่ากวนซานเย๋ไม่ยอมมา จากนั้นส่งไอ้พวกนี้มาหรอกนะ?
ขอร้องล่ะ!
ทีมเสือดำตระกูลฉีของพวกเราต่างก็คุกเข่าแล้ว!
ไอ้พวกนี้จะไปสู้อะไรได้
ขณะนั้น เจิ้งจี๋ที่คุกเข่าพูดอย่างอ่อนแอว่า:“พี่กุ่ย พวกพี่มาช่วยกวนซานเย๋ต่อสู้เหรอ?”
“คนที่นั่งตรงกลางตรงนั้น เขาชื่อว่าฉินเทียน ก็คือคนเก่งกล้าสู้นั้น”
“ถ้าพวกพี่จัดการเขาได้ ซานเย๋คงดีใจมากแน่”
เหล่ากุ่ยเห็นคนที่อยู่ด้านหลังที่เจิ้งจี๋คุกเข่าอยู่ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า:“ฉินเทียน?”
“นายหมายถึงเจ้าหมอนี่ที่แย่งเมียนายไป?”
ตอนนั้น เหล่ากุ่ยก็จำได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังฉินเทียน ก็คือกงลี่ที่อยู่ในรูปภาพนั่น
เมื่อมองไปแล้วเต็มไปด้วยสเน่ห์เย้ายวนใจ ช่างสวยกว่าในรูปซะอีก
ยิ่งทำให้เขาปรารถนามากขึ้นไปอีก ส่วนผู้หญิงอีกคน สวยกว่ากงลี่เสียอีก!
เขาอดที่จะกลืนน้ำลายเอาไว้ไม่ไหว จากนั้นแสยะยิ้มแล้วพูดว่า:“เจิ้งจี๋ นายบอกจะให้เมียนายกับฉัน พูดคำไหนคำนั้น”